เนื้อพระสมเด็จฯ ที่เรียกว่าเนื้อครูหรือเนื้อมาตรฐาน ที่พบในพระสมเด็จพิมพ์ทรงมาตรฐาน เล่นหากันด้วยราคาค่านิยมสูงมากในปัจจุบันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อปูนปั้นที่มีส่วนผสมของปูนเปลือกหอยเป็นหลัก มีคำถามที่หลายคนอยากรู้ว่า แล้วเนื้อพระสมเด็จฯ แบบอื่นที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ นั้นมีหรือไม่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขอนำท่านผู้อ่านไปร่วมรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อพระสมเด็จฯ แบบอื่นๆ ด้วยข้อมูลที่คัดสรรมานำเสนอดังต่อไปนี้

หนังสือเรื่อง “พระพิมพ์เครื่องรางกับพระพุทธรูปบูชา” ของ ร.อ.หลวงบรรณยุทธชำนาญ (สวัสดิ์ นาคะสิริ) (ต้นฉบับเขียนไว้เมื่อปี พ.ศ. 2488) บุคคลที่ ตรียัมปวาย ปรมาจารย์พระสมเด็จฯ ได้ให้เกียรติยกย่องเป็น “เชษฐาจารย์ทางพระเครื่องฯ” ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ...

“พระสมเด็จพุฒาจารย์ กรุวัดบางขุนพรหมบรรจุในกรุเหมือนกัน แม้แต่ยังไม่เปิดกรุ ก็มีผู้นำขึ้นมาได้ (ตกเอา) เป็นจำนวนมาก เมื่อ ร.ศ. 112 พุทธลักษณะทำเป็นพระนั่งขัดสมาธิบนแท่น 3 ชั้น มีเส้นนูนขึ้นมา 1 เส้น เป็นรูปโค้งครึ่งวงรูปไข่รอบองค์พระ พิมพ์เป็นหน้าเดียว ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งขึ้นทางด้านสูงตามเศียรพระ หนาบ้างบางบ้างพองาม ทำด้วยผงดินสอพองที่ปลูกแล้วผสมหินขาว (หินขาวที่นำมาทำปูนกินกับหมาก) สีจึงขาวเหมือนงาช้าง พระสมเด็จฯ ดำก็มีเหมือนกัน แต่นอกกรุ ทำด้วยผงผสมใบลานเผา บางองค์ลงรักปิดทองที่เรียกว่า พระคะแนน แต่มีน้อย พระสมเด็จฯ ที่มิได้บรรจุกรุมีมากทำแล้วแจกไปทีเดียว เรื่องพระสมเด็จพุฒาจารย์มีมากมายหลายชนิด เนื้อก็มีต่างๆ กัน มีทั้งนั่ง ทั้งยืน ทั้งนอน เหลือที่จะบันทึกลงไว้ให้หมดได้ ขอให้ผู้สนใจจงพิจารณาต่อเอาเองเถิด”

...

จะเห็นได้ว่าถ้าอ้างตามบันทึกฉบับนี้ เนื้อพระสมเด็จฯ นั้นมีหลายประเภท โดยนอกจากเนื้อสีขาวเหมือนงาช้างที่ทำจากหินขาว (เข้าใจว่าหมายถึงปูนขาวที่ทำจากปูนเปลือกหอย คนโบราณใช้กินกับหมากพลู เข้าลักษณะเป็นเนื้อปูนปั้น) ยังมีเนื้อแบบอื่นอีกเช่น เนื้อดำ (เป็นพระนอกกรุ คือไม่ได้บรรจุกรุ) ทำด้วยผงผสมใบลานเผา เป็นต้น

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอว่า เนื้อพระสมเด็จฯ นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มเนื้อมาตรฐาน (เนื้อปูนปั้น) และกลุ่มเนื้อพิเศษ (เนื้อแบบอื่นที่ไม่ใช่เนื้อปูนปั้น)

กลุ่มเนื้อมาตรฐาน

หนังสือปริอรรถาธิบายเล่มที่ 1 ของตรียัมปวายได้จำแนกเนื้อของพระสมเด็จฯ แบบกลุ่มเนื้อมาตรฐาน (เนื้อปูนปั้น) ออกเป็น 3 ประเภท 6 ชนิด ดังนี้คือ

ประเภทเนื้อหนึกหนุ่ม ประกอบด้วย เนื้อเกสรดอกไม้ เนื้อกระแจะจันทน์

ประเภทเนื้อหนึกแกร่ง ประกอบด้วย เนื้อขนมตุ้บตั้บ เนื้อปูนแกร่ง

ประเภทเนื้อผสม ประกอบด้วย เนื้อปูนนุ่ม เนื้อกระยาสารท

นิยามของความแกร่งและความนุ่มนั้น น่าจะพอทำความเข้าใจได้ โดยความแกร่งนั้นอาจจะจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของวัสดุที่มีความแข็งตามธรรมชาติ (โดยทั่วไปเนื้อของวัดระฆังฯ มีความแกร่งน้อยกว่าของวัดบางขุนพรหม) ความนุ่มก็เช่นกันที่อาจนึกถึงวัสดุที่มีความนุ่มโดยธรรมชาติ รู้สึกนุ่มด้วยการสัมผัสด้วยสายตาและความรู้สึก แต่ในความเป็นจริงมีความแข็ง (โดยทั่วไปเนื้อของวัดระฆังฯ จะมีความนุ่มจัดกว่าของวัดบางขุนพรหม) นิยามของความหนึกนั้นค่อนข้างจะเข้าใจยากสักหน่อย เนื้อพระสมเด็จฯ ทุกองค์นั้นจะมีความหนึกอยู่ในตัวไม่มากก็น้อย อธิบายแบบง่ายๆ ให้เห็นภาพว่าผิวพระสมเด็จที่ผ่านการสัมผัส ผ่านการใช้ ยิ่งมากก็จะยิ่งแสดงให้เห็นความหนึกที่ชัดเจนขึ้น ในเรื่องนี้นั้น ตรียัมปวายกล่าวเป็นเชิงสรุปว่า “โดยทั่วไปเนื้อวัดระฆังฯ เป็นความหนึกนุ่ม และของวัดบางขุนพรหมเป็นความหนึกแกร่ง”

สำหรับลักษณะของเนื้อมาตรฐานประเภทต่างๆ นั้น อาจแจกแจงได้ดังนี้ (อ้างอิงตำราตรียัมปวาย)

ประเภทเนื้อหนึกหนุ่ม

เนื้อเกสรดอกไม้ “ไม่ได้หมายความว่าเป็นเนื้อที่สร้างด้วยผงเกสรดอกไม้ล้วนๆ แต่หมายถึงเนื้อที่ประกอบด้วยอนุภาคมวลสารอันละเอียดนุ่มนวล มีปรากฏเฉพาะของวัดระฆังฯ เท่านั้น”

เนื้อกระแจะจันทน์ “คล้ายกับเนื้อเกสรดอกไม้ เป็นเนื้อค่อนข้างละเอียดมีอิทธิวัสดุวรรณะหม่นคล้ำผสมอยู่มาก คล้ายแป้งกระแจะจันทน์ที่จะหม่นคล้ำกว่าแป้งธรรมดา เป็นเนื้อของวัดระฆังฯ โดยเฉพาะเช่นกัน เนื้อชนิดนี้ อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ บอกว่าเป็นเนื้อที่มีความซึ้งจัดที่สุด”

ประเภทเนื้อหนึกแกร่ง

เนื้อขนมตุ้บตั้บ “เนื้อที่มีมวลสารค่อนข้างหยาบ หรือคลุกเคล้ากันในลักษณะหยาบ ไม่สมานเข้ากัน ทำนองเดียวกับขนมตุ้บตั้บ เป็นเนื้อที่ปรากฏทั้งวัดระฆังฯ และวัดบางขุนพรหม”

เนื้อปูนแกร่ง “มีมวลสารของปูนขาวมากที่สุดและมีความแกร่งจัดที่สุดด้วย ลักษณะผิวเนื้อราบเรียบและหนาเป็นสภาพของผิวปูนขาวที่แข็งตัวจับกันแน่น เมื่อกลายจากของเหลวมาเป็นของแข็ง เป็นเนื้อที่มีปรากฏของกรุวัดบางขุนพรหมรุ่นตกเบ็ดเป็นส่วนมาก ของวัดระฆังฯ มีน้อยและแกร่งจัดใกล้เคียงกับของวัดบางขุนพรหม”

ประเภทเนื้อผสม

เนื้อปูนนุ่ม “มีลักษณะสลับแทรกกันอยู่ระหว่างเนื้อเกสรดอกไม้และเนื้อกระแจะจันทน์ แต่มีความแกร่งผสมความนุ่ม (นุ่มมากกว่า) มีปรากฏทั้งของวัดระฆังฯ และวัดบางขุนพรหม”

...

เนื้อกระยาสารท “มีวรรณะหม่นคล้ำจัดหลากวรรณะ มีทั้งหยาบและละเอียดเคล้าคละปะปนกัน เหมือนเนื้อกระยาสารท ปรากฏเป็นของวัดระฆังฯ เป็นส่วนมาก วัดบางขุนพรหมเป็นส่วนน้อย”

กลุ่มเนื้อพิเศษ

ตรียัมปวาย ได้กล่าวถึงพระสมเด็จฯ “เนื้อพิเศษ” ไว้ด้วยเช่นกันในหนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 โดยกล่าวว่าอาจมีการสร้างพระสมเด็จฯ ด้วยเนื้อชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่เนื้อปูนปั้นด้วย เช่น เนื้อผงใบลานเผา (สีดำ) เนื้อชานหมาก และเนื้อปูนน้ำมัน เป็นต้น

ประเภทเนื้อผงใบลาน

สำหรับพระสมเด็จฯ เนื้อผงใบลานนั้น ตรียัมปวายอ้างคำบอกเล่าของพระอาจารย์ขวัญ “วิสิฏโฏ” ว่า “ได้ทราบจากพระธรรมถาวร (ศิษย์ใกล้ชิดสมเด็จโต) อาจารย์ของท่านว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เคยสร้างพระสมเด็จฯ เนื้อชนิดนี้เหมือนกัน แต่มีจำนวนน้อยมาก ทั้งนี้เพราะเป็นการสิ้นเปลืองผงใบลานเผามาก โดยปกติแล้วเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะใช้ผงใบลานเผา ซึ่งเกิดจากการเผาแผ่นใบลานที่ท่านได้จารอักขระและสูตรทางพุทธมนต์ เจือผสมกับเนื้อขาวธรรมดาเท่านั้น”

(จากคำบอกเล่านี้ เมื่อพิจารณาถึงเศษวัสดุสีดำที่พบเจอในพระสมเด็จฯ ซึ่งถือกันว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยบ่งชี้ความเป็นพระสมเด็จฯ แท้ สันนิษฐานว่าเกิดจากก้านธูปบูชาบ้าง เศษผงถ่านจากการเผาปูนเปลือกหอยบ้างนั้น อาจจะเป็นเศษผงที่เกิดจากการเผาใบลานได้เช่นกัน)

ตรียัมปวายยังได้อ้างถึงบันทึกของนายผวน จ้อยชรัส ที่เขียนจากคำบอกเล่าของพระธรรมธร กัน “กันทโม” ซึ่งได้รับข้อมูลมาจากโยมบิดาของท่านผู้เคยบวชที่วัดระฆังฯ และทันท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต (นายผวนสัมภาษณ์พระธรรมธรฯ เมื่อปี พ.ศ. 2496) ไว้ด้วยว่า “หนังสือที่ท่าน (สมเด็จโต) จารคืออักขระเลขยันต์ทางพุทธาคม พอมากๆ เข้าท่านก็หอบเอาใบลานที่จารเหล่านั้น มากองสุมไฟเสียคราวหนึ่งแล้วเก็บเอาขี้เถ้าใบลานเผานั้นไว้ ในตอนนั้นใครๆ เขาพากันว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ บ้าเสียแล้ว แต่ท่านเก็บผงใบลานเผานั้นไว้บดผสมกับสิ่งอื่นๆ สร้างเป็นพระสมเด็จฯ ดำขึ้นมา และเจือผสมเนื้อขาวสร้างพระสมเด็จเนื้อขาวขึ้นมากมาย... พระสมเด็จฯ เนื้อผงใบลานเผาสีดำที่ท่านสร้างขึ้นนั้น โยมเล่าว่าพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์หินมีดโกน พิมพ์ได้ครั้งละองค์ พิมพ์แล้วท่านก็ตากไว้ในกระด้ง พอแห้งดีแล้วท่านก็เก็บใส่ย่ามละว้าใหญ่ของท่าน แล้วเอาไว้แจกชาวบ้าน และที่เหลือไม่ทราบว่าท่านเอาไปไว้ที่ไหนหมด”

...

จากการสืบเสาะหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ตรียัมปวายสรุปว่าพระสมเด็จฯ เนื้อผงใบลานนั้นมีอยู่จริง และสร้างในช่วงที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ชราภาพมากแล้ว พระสมเด็จฯ เนื้อผงใบลานมีอายุใกล้เคียงกับพระสมเด็จฯ เนื้อมาตรฐาน โดยตรียัมปวายบอกว่าสร้างอย่างน้อยก่อนปี พ.ศ. 2414 แต่มีจำนวนไม่มากเนื่องจากต้องใช้ใบลานเผาจำนวนมาก

(พระสมเด็จเนื้อและพิมพ์ทรงมาตรฐานนั้น เริ่มสร้างในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2409 (หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน) โดยอ้างอิงจากหนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 ของตรียัมปวายซึ่งอ้างคำกล่าวของพระอาทรพัตรพิสิฐ (เล็ก อุณหะนันท์) ที่ได้สัมภาษณ์พระธรรมถาวร ว่า “เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เริ่มสร้างพระสมเด็จฯ ของท่านขึ้น เมื่อตัวเจ้าคุณพระธรรมถาวรบวชได้ 2 พรรษาแล้ว (เจ้าคุณพระธรรมถาวร อุปสมบท เมื่อปี พ.ศ. 2407 โดยมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต เป็นพระอุปัชฌาย์)” มีการตีความกันว่าที่พูดว่าบวชนี้ หมายถึงการบวชเณร ไม่ใช่บวชพระ (เจ้าคุณพระธรรมถาวรบวชเณรเมื่อ ปี พ.ศ. 2399) อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงคำบอกเล่าของบุคคลอื่นประกอบด้วย เช่นนายกนก สัชชุกร ที่ได้บันทึกคำบอกเล่าของพระธรรมถาวร ในหนังสือของตรียัมปวายเช่นกันว่า “หลังจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระสมเด็จฯ ที่วัดระฆังฯ ได้ 4 ปี ประมาณ พ.ศ. 2413 เสมียนตราด้วง ผู้ปฏิสังขรณ์วัดใหม่บางขุนพรหม ก็ได้มาอาราธนาท่านให้สร้างพระสมเด็จเป็นพิเศษขึ้นอีกรุ่นหนึ่ง เพื่อบรรจุไว้ในพระเจดีย์ประธานของพระอารามนั้น” นอกจากนี้ นายกนกยังได้อ้างคำบอกเล่าของพระธรรมถาวรด้วยว่า “ท่านบวชได้ 8 พรรษาแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงได้สิ้น (สมเด็จโตท่านละสังขารในปี พ.ศ. 2415)” ข้อมูลเหล่านี้ช่วยยืนยันว่า การที่พระธรรมถาวรบอกว่าท่านเจ้าประคุณสร้างพระสมเด็จฯ ของท่านขึ้นเมื่อตัวเจ้าคุณพระธรรมถาวรบวชได้ 2 พรรษาแล้ว ย่อมหมายถึงหลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระในปี พ.ศ. 2407 เป็นเวลา 2 ปี ไม่ใช่หลังจากที่บรรพชาเป็นเณรเป็นเวลา 2 ปีแต่อย่างใด)

...

ประเภทเนื้อชานหมาก

เนื้อชานหมากหมายถึงเนื้อที่เอาชานหมากของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มากดเป็นพิมพ์พระสมเด็จฯ แทนเนื้ออื่นๆ บันทึกของนายผวน จ้อยชรัส ที่มีการกล่าวถึงในตำราตรียัมปวาย บอกว่า “ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ ท่านฉันหมากเก่ง และท่านมีย่ามละว้าใบใหญ่อยู่ใบหนึ่งในนั้นใส่ของต่างๆ เช่น ตะบันหมากก็อยู่ในย่ามนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านมีฟันอยู่ซี่เดียวอยู่ตรงกลางปาก แต่ทั้งๆ ที่ท่านฉันหมากเก่ง ฟันซี่นั้นก็ขาวอยู่เสมอหาได้ดำเหมือนคนกินหมากเก่งๆ ทั่วไปไม่”

ตรียัมปวายยังได้อ้างถึงคำกล่าวของพระอาจารย์ขวัญ “วิสิฏโฏ” ว่า “เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระสมเด็จเนื้อชานหมากด้วย คู่กับเนื้อผงใบลานเผา ซึ่งเป็นเนื้อที่แตกต่างไปจากเนื้อปูนขาว สำหรับเนื้อชานหมากเป็นพิมพ์ทรงพระประธาน และเนื้อผงใบลานเผาเป็นพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ซึ่งมี 2 แบบคือ ชนิดโพธิ์เมล็ดและโพธิ์ใบ และกล่าวว่าเนื้อพิเศษทั้ง 2 ชนิดนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทูลเกล้าถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และได้ทรงพระราชทานแจกข้าราชการใน พ.ศ. 2416 ซึ่งเป็นปีที่เรียกกันว่าปีระกาป่วงใหญ่ หลังจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้สิ้นแล้วปีหนึ่ง”

ประเภทเนื้ออื่นๆ

ตรียัมปวายยังได้พูดถึงเนื้ออื่นๆ เช่นเนื้อปูนนำมัน โดยบอกว่ามีลักษณะเนื้อฉ่ำ คล้ายมีน้ำมันอยู่ภายใน แต่ไม่ได้มีลักษณะเปียก มีวรรณะเหลืองเจือเขียวอ่อน คล้ายเนื้อฟักทอง มีพิมพ์ทรงทำนองเดียวกับพิมพ์ทรงนิยม แต่ค่อนข้างคมชัดและเน้นเส้นต่างๆ มาก ทั้งลักษณะทางเนื้อและพิมพ์ทรง โดยตรียัมปวายสรุปว่า ไม่สามารถบอกได้ว่าท่านเจ้าประคุณเป็นคนสร้างหรือไม่ เนื่องจากไม่สามารถสืบหาหลักฐานได้เลย สำหรับเนื้อตะกั่วถ้าชานั้น ตรียัมปวายบอกว่า เป็นพระเครื่องสกุลสมเด็จฯ ชนิดหนึ่ง แต่บอกว่าสร้างโดยวัดอื่น (อย่างไรก็ตามในการเปิดกรุพระเจดีย์ใหญ่อย่างเป็นทางการที่วัดบางขุนพรหมเมื่อปี พ.ศ. 2500 นั้น เอกสารที่ออกโดยทางวัดบอกว่า พบพระพิมพ์ชนิดตะกั่วถ้ำชาจำนวน 1 องค์) นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงเนื้อหนังหน้าผากเสือ เนื้อดินเผา เนื้อตะกั่ว ซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าเป็นของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตหรือไม่ ส่วนเนื้อชามสังคโลก เนื้อว่านและเนื้อเหล็กนั้น ที่มีอยู่ในเวลานั้น ตรียัมปวายบอกว่าเป็นของเถื่อนทั้งสิ้น

สรุปความเรื่องเนื้อพระสมเด็จฯ

จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจสรุปได้ว่า พระสมเด็จฯ แบบกรอบสี่เหลี่ยมของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ (เริ่มสร้างตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2409) ถ้าอ้างตามทฤษฎีของตรียัมปวายเป็นหลักแล้ว อาจแบ่งประเภทเนื้อของพระสมเด็จฯ ออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามที่มีหลักฐานสนับสนุนน่าเชื่อว่าเป็นของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ จริง คือ แบบกลุ่มเนื้อมาตรฐานที่ใช้สร้างพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงมาตรฐาน (อาจรวมถึงพิมพ์ทรงอื่นด้วย) และพระสมเด็จฯ แบบกลุ่มเนื้อพิเศษ (บางเนื้อ) ซึ่งแบบหลังนี้อาจจะใช้ในการสร้างพระสมเด็จฯ แบบพิมพ์ทรงมาตรฐานรวมถึงพิมพ์ทรงอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน ที่น่าสนใจคือจากบันทึกต่างๆ ที่ได้ศึกษา ได้มีการพูดถึงพระสมเด็จฯ พิมพ์พิเศษไว้ด้วย ซึ่งมีความเป็นไปได้เช่นกันว่าพระพิมพ์เหล่านั้นสร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำมาเสนอในโอกาสต่อไป

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงามมาก มีเนื้อตุ้บตั้บซึ่งเป็นเนื้อยอดนิยม มีวรรณะขาวอมเหลือง มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯ แท้ 3 อย่างปรากฏให้เห็นค่อนข้างมาก คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีการล้างผิวมาบ้าง ตัดขอบพอดีองค์พระ (ด้านล่างตัดเกินเล็กน้อย) ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบผสมหลังสังขยา มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ทั้งสี่ด้าน ที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า มีคราบรักสีดำปรากฏตามร่องหลุม เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ

@@@@@@

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม