มีผู้กล่าวไว้ว่า โอกาสพบเจอพระสมเด็จฯ นั้นน่าจะมีในพื้นที่ใกล้เคียงกับวัดที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้เคยไปสร้างพระใหญ่ (หรือสร้างปูชนียสถานต่างๆ) ซึ่งเปรียบเสมือน “ลายแทงพระสมเด็จฯ” คำกล่าวนี้มีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
หนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 ของตรียัมปวายได้อ้างถึงบันทึกของ นายกนก สัชชุกร ที่เขียนถึงคำบอกเล่าของพระธรรมถาวรศิษย์ใกล้ชิดสมเด็จโตไว้ว่า “พระสมเด็จฯ ที่ท่านเจ้าพระคุณฯ ได้ถวายเจ้านายและแจกข้าราชการ ตลอดจนชาวบ้านไปแล้ว ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็มาก และที่ได้ไปจากวัดระฆังฯ เมื่อภายหลังที่ท่านสิ้นแล้วก็มาก ... ครั้นเรียนถามท่านต่อไปว่า ท่านทราบบ้างไหมว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้บรรจุพระของท่านไว้ที่ใดบ้าง ท่านก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปฏิเสธว่าไม่ทราบ แต่ท่านได้กล่าวเปรยๆ ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านชื่อโต ท่านชอบสร้างพระองค์โตๆ”
(นายกนกให้ความเห็นด้วยว่า ที่พระธรรมถาวรกล่าวเช่นนี้ เป็นการบอกใบ้ เพราะปรากฏอยู่ว่าท่านเจ้าประคุณฯ ชอบสร้างพระองค์ใหญ่ๆ ไว้ตามหัวเมืองต่างๆ แม้ในกรุงเทพฯ ก็ได้สร้างหลวงพ่อโตไว้ที่วัดอินทร์ ท่านเจ้าประคุณฯ อาจจะบรรจุพระของท่านไว้ยังที่ใดที่หนึ่งอีก นอกจากที่วัดใหม่บางขุนพรหม และในองค์หลวงพ่อโตวัดอินทร์ฯ)
หนังสือประวัติและเกียรติคุณของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) โดยฉันทิชัย (ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์) ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2509 (พิมพ์ครั้งแรกลงในนิตยสาร “ตำรวจ” เมื่อปี พ.ศ. 2494) ได้บันทึกว่า “นายเทศ ผู้เป็นศิษย์ต้นกุฏิของสมเด็จ เล่าให้พระอาจารย์ขวัญ (“วิสิฏโฏ”) ฟังว่า สมเด็จพูดกับนายเทศว่า เห็นจะสร้างไม่ครบ 84,000 เสียแล้ว ให้รวมเอาพระพิมพ์ครั้งแรกทรง 6 ชั้น 7 ชั้น ซึ่งทำเป็นพระคะแนนห้าร้อยและคะแนนพัน รวมกันให้ครบ 84,000 เถอะ แล้วบรรจุตามวัดหรือพระที่สมเด็จสร้าง ส่วนพิมพ์ 7 ชั้นนั้น ให้บรรจุที่วัดไชโยอุทิศส่วนกุศลให้โยมผู้หญิง”
...
น่าสนใจว่าตลอดช่วงเวลาที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ครองสมณเพศนั้น ได้มีการสร้างพระใหญ่ หรือปูชนียสถานไว้ที่ไหนบ้าง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอ โดยคัดเฉพาะที่ค่อนข้างมีหลักฐานชัดเจนตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลที่ 5 ดังนี้
ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3
อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ให้ข้อมูลว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 (ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2367 ถึง พ.ศ. 2394) พระองค์ท่านจะทรงตั้งท่านเป็นพระราชาคณะ แต่ท่านไม่ยอมรับ จึงคงเป็นพระมหาโตมาตลอดรัชกาล โดยในช่วงนั้น ท่านได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่างๆ กัน โดยหลังจากได้กลับไปจัดงานศพให้โยมมารดา จากนั้นท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการธุดงค์ ทั้งทางเหนือ ลาว และเขมร ช่วงนั้นท่านมีอายุ 54-62 ปี (ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2331 และละสังขารเมื่อปี พ.ศ. 2415) (ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลสารสนเทศคณะสงฆ์ภาค 14)
ในช่วงของรัชกาลที่ 3 ท่านได้สร้างพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร ที่วัดกลางคลองข่อย ตำบลคลองข่อย อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ประมาณปี พ.ศ. 2390 เป็นพระก่ออิฐถือปูน สูง 6 วาเศษ
“เล่ากันว่า ที่ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างพระยืนนั้นเดิมเป็นป่ารก ท่านเอาเงินเหรียญชนิดกลมมาแต่ไหนไม่ทราบ โปรยเข้าไปในป่านั้น ไม่ช้าป่านั้นก็เตียนโล่งไปหมด ท่านก็ทำการได้สะดวก ต่อมาพระโตนี้ชำรุดหักพัง (พระเศียรแตกร้าว พระกรทั้ง 2 หัก) พระอาจารย์อวน พรหมสโร วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในถิ่นนั้น ย้ายมาอยู่วัดกลาง ได้เป็นประธานจัดการบูรณะปฏิสังขรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2474”
ในช่วงเวลาใกล้กัน ได้สร้างพระเจดีย์นอนที่หลังโบสถ์วัดละครทำ ตำบลบ้านช่างหล่อ จังหวัดธนบุรี (ปัจจุบันคือกรุงเทพฯ) ปัจจุบันหักพังหมดแล้ว
“พระเจดีย์นอนที่ท่านเจ้าประคุณสร้างไว้มี 2 องค์ หันฐานหากันห่างราว 2 ศอก แต่องค์ด้านใต้รื้อเสียแล้ว ว่ามีผู้ลักลอบทำลายด้วยประสงค์จะค้นหาพระพิมพ์ (พระสมเด็จ) ของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังคงปรากฏอยู่แต่องค์ทางด้านเหนือ ซึ่งอยู่ในสภาพปรักพังทรุดโทรม เหตุที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างพระเจดีย์นอนนั้น ด้วยจำนงจะให้เป็นที่บรรจุพระธรรม เช่น คาถาแสดงอริยสัจ - เย ธัมมา เหตุปัปภวา ฯลฯ เป็นต้น เป็นข้อสำคัญ เรียกว่า “ธรรมเจดีย์” แต่พระเจดีย์ที่สร้างกันในชั้นหลังต่อมา กลายเป็นเพื่อบรรจุอัฐิธาตุของสกุลวงศ์หรืออุทิศให้ผู้ตาย ดังนี้ท่านจึงได้สร้างพระเจดีย์นอนขึ้นเป็นปริศนาอันหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ต่อไปเบื้องหน้าจะไม่มีใครสร้างธรรมเจดีย์อีกแล้ว”
(ข้อมูลส่วนใหญ่อ้างอิงจากหนังสือประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ของพระมหาเฮง (พระครูกัลยาณานุกูล) พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2495 พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2510 ได้แรงบันดาลใจในการเขียนจากหนังสือ “ประวัติขรัวโต" ของพระยาทิพโกษา (สอน โลหะนันทน์))
ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4
เมื่อเข้าสู่ช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2394 ถึง พ.ศ. 2411) ทรงตั้งท่านเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิติ เมื่อปี พ.ศ. 2395 เล่ากันว่ามีพระราชดำรัสถามว่า “ในรัชกาลที่ 3 หนีไม่รับสมณศักดิ์ คราวนี้ทำไมจึงรับ ไม่หนีอีกล่ะ” ท่านถวายพระพรว่า “รัชกาลที่ 3 ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้า เป็นแต่เจ้าแผ่นดินจึงหนีได้ ส่วนมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะหนีไปข้างไหนพ้น (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก่อนเสวยราชย์ ทรงมีพระยศเป็นพระองค์เจ้า ไม่ได้ทรงเป็นเจ้าฟ้าเช่นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ)” รัชกาลที่ 4 ทรงพระสรวล ไม่ตรัสว่ากระไร ต่อมาอีก 2 ปี พ.ศ. 2397 ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระเทพกระวี ครั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สน) วัดสระเกศ ถึงมรณภาพ จึงทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อปี พ.ศ. 2407
...
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านก็ได้มีการสร้างพระใหญ่ไว้เช่นกันคือ สร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อโต (องค์นั่งเดิม) วัดไชโยวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง เริ่มสร้างประมาณปี พ.ศ. 2410 (สร้างเป็นครั้งที่ 3 เพื่อทดแทนการพังทลายลงขององค์ที่สร้างครั้งที่ 2 สร้างประมาณปี พ.ศ. 2406 – พ.ศ. 2407 – ข้อมูลจากหนังสือสามสมเด็จของอาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์)
“พระองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่เป็นปูนขาวไม่ปิดทอง สร้างไว้กลางแจ้ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้เสด็จมานมัสการและโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดไชโยในปี พ.ศ. 2430 ระหว่างการลงรากพระวิหารทำให้องค์หลวงพ่อโตพังลงมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหลวงพ่อโตขึ้นใหม่ มีขนาดหน้าตักกว้าง 16.10 เมตร สูง 22.65 เมตร แล้วพระราชทานนามว่า "พระมหาพุทธพิมพ์" และสร้างพระวิหารเป็นเรือนองค์พระพุทธรูป ความสูง 1 เส้นเศษ (1 เส้น เท่ากับ 40 เมตร) สร้างพระอุโบสถเป็นมุขลดยื่นออกมาข้างหน้า รวมทั้งศาลารายรอบพระวิหาร รวม 4 หลัง เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2438 รวมเวลาที่ปฏิสังขรณ์นาน 8 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะวัดไชโยขึ้นเป็นอารามหลวงนับแต่นั้นมา”
สร้างหลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร (พระพุทธศรีอริยเมตไตรย) เป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตรขนาดใหญ่ ไว้ที่วัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ โดยเริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2410
“หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร เป็นพระพุทธปฏิมากรขนาดมหึมาอีกองค์หนึ่งของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่ท่านสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์คำนึงถึงสมัยที่ท่านยังเป็นทารก เมื่อโยมมารดาได้นำท่านมาพำนักอยู่ ณ ตำบลบางขุนพรหมนอกนี้ ซึ่งท่านได้สอนยืนและสอนเดินได้ที่นี่ เป็นพระพุทธรูปประทับยืนปางอุ้มบาตร ก่ออิฐถือปูน มีความสูง 16 วาเศษ ชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อโตวัดอินทร์” แต่เจ้าพระคุณสมเด็จฯมิได้สร้างให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ หากได้สร้างไว้เพียงครึ่งองค์ คือสูงได้ประมาณ 6 วาเศษเท่านั้น ท่านก็ได้ละสังขารเสียก่อน ต่อมาได้สร้างจนแล้วเสร็จ และจัดงานสมโภชขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2471”
(ที่วัดอินทรวิหารนี้ ด้านใต้ ท่านเจ้าประคุณยังได้สร้างกุฏิ 2 หลังเคียงกัน ตัวกุฏิก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องไทย ขนาดเท่ากัน กว้าง 1 วา ยาว 1 วา 2 ศอก มีรูปปั้นโยมบิดาอยู่ในกุฏิหลังซ้าย และรูปปั้นโยมมารดาอยู่ในกุฏิหลังขวา ปัจจุบันกุฏิ 2 หลังนี้รื้อหมดแล้ว)
ในช่วงเวลาเดียวกันท่านเจ้าประคุณฯยังได้สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีพระนามว่า “พระพุทธมหามุนีศรีมหาราช” ที่วัดกุฎีทอง (วัดพิตเพียน) ตำบลพิตเพียน อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
“พระพุทธมหามุนีศรีมหาราชนี้เป็นพระโตนั่งกลางแจ้ง ก่ออิฐถือปูน ปางมารวิชัย หน้าตัก 4 วา 3 ศอก องค์พระประทับนั่งหันหน้าไปทางแม่น้ำลพบุรีซึ่งไหลผ่านหน้าวัด ในอดีตมีการปฏิสังขรณ์พระโตนี้หลายครั้ง ครั้งที่ 1 (เข้าใจว่าเดิมสร้างค้างอยู่) ทำเมื่อราว พ.ศ. 2440 และครั้งที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2495 (มีการบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ. 2514 เป็นการยกพระเกศหักพังลงมาบูรณะเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2515)”
(ข้อมูลส่วนใหญ่อ้างอิงจาก หนังสือประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ของพระมหาเฮง (พระครูกัลยาณานุกูล))

...
ช่วงสมัยรัชกาลที่ 5
เมื่อเข้าสู่ช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 (ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2411 ถึง พ.ศ. 2453) ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้สร้างพระพุทธไสยาศน์ไว้ที่วัดสะตือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2413
“เจ้าพระคุณสมเด็จฯได้สร้างเป็นพระนอนขนาดใหญ่มากองค์หนึ่ง ก่อด้วยอิฐถือปูน มีความยาว 1 เส้น 5 วา ความสูงจากพื้นถึงพระเกศ 8 วา พระอาสนะยาว 1 เส้น 10 วา กว้าง 4 วา และสูง 2 ศอก พุทธลักษณะโปร่ง เบื้องพระปฤษฎางค์ทำเป็นช่องกว้าง 2 ศอก สูง 1 วา ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งบริเวณริมคูเขตอุปจารของวัด ผินพระพักตร์ไปทางเบื้องตะวันตก - อ้างอิงข้อมูลจากหนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย”
กล่าวกันว่า การสร้างพระนอนใหญ่ที่วัดสะตือ ก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าท่านเกิดที่นั่น สร้างพระนั่งโต (องค์เดิม) ที่วัดไชโยวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าท่านสอนนั่งได้ที่นั่น และสร้างพระโตยืนที่วัดอินทรวิหาร จังหวัดพระนคร (กรุงเทพฯ) ก็เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าท่านสอนยืนเดินได้ที่นั่น
พระสมเด็จฯที่มีการเล่นหากันในยุคปี พ.ศ. 2490
ฉันทิชัย (ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์) ได้บรรยายถึงการเล่นหาพระในสมัยนั้น (ประมาณ พ.ศ. 2490 - 2495) ไว้ด้วยว่า “แม้สมเด็จท่านจะได้สร้างพระพิมพ์แบบต่างๆ ถึง 73 แบบก็ตาม แต่พระพิมพ์ที่ประชาชนนิยมนับถือกันมาก ในเวลานี้มีอยู่เพียง 4 แบบ (4 วัด) เท่านั้น คือพระพิมพ์แบบวัดระฆัง แบบวัดใหม่อมตรส (ที่เรียกกันว่า สมเด็จบางขุนพรหม) แบบวัดไชโย แบบวัดอินทรวิหาร
เฉพาะวัดระฆังสมเด็จสร้างไว้ 4 อย่างคือ 1.พิมพ์ทรงใหญ่ฐาน 3 ชั้น 2.พิมพ์ทรงเจดีย์ฐาน 3 ชั้น 3.พิมพ์ทรงหูยาน ฐานแซม (ทั้งอกร่องและอกไม่ร่อง 2 อย่าง - น่าจะหมายรวมถึงทั้งพิมพ์ฐานแซมและพิมพ์เกศบัวตูมด้วย) 4.พิมพ์ปรกโพธิ์ฐาน 3 ชั้น โดยทั้ง 4 พิมพ์ทรงนี้เป็นที่นิยมกันมาก มีราคาเช่าซื้อกันในท้องตลาดองค์ละ 1,000 บาทถึง 4,000 บาท
วัดใหม่อมตรส ที่เรียกกันว่า สมเด็จบางขุนพรหมนั้น ปรากฏว่าสมเด็จได้สร้างไว้ 4 อย่างเหมือนกัน เรียกขานกันในกลุ่มผู้สนใจว่า 1.พิมพ์เส้นด้าย (มีทั้งแขนโค้งและแขนทิ้งตามธรรมดา) 2.พิมพ์ทรงใหญ่ 3.พิมพ์ทรงเจดีย์ 4.พิมพ์ฐานแซม (ช่วงเวลานั้น ยังไม่มีการเปิดกรุเป็นทางการ ผู้ชำนาญการท่านอื่นในยุคเดียวกัน เช่นตรียัมปวาย เห็นว่ามีพิมพ์อื่นเพิ่มเติมจากนี้อีกหลายพิมพ์เรียกว่า พิมพ์ทรงมาตรฐานจำนวน 9 พิมพ์ทรง)
ที่วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง สมเด็จท่านก็ได้สร้างพระพิมพ์ไปบรรจุไว้เป็นจำนวนมาก แต่เป็นลักษณะเดียว ที่เรียกกันว่า พิมพ์ 7 ชั้น กล่าวกันว่าเป็นพระคะแนนฐาน 7 ชั้น หูบายศรี อกร่องตื้นๆ เนื้อผงวิเศษขาวนวล สีเหลืองมอๆ (ตรียัมปวายเห็นว่าพระที่เรียกว่า พระสมเด็จเกศไชโยที่พบเจอในเวลานั้น ไม่ใช่พระที่ท่านเจ้าประคุณสร้าง)
สำหรับพระพิมพ์ที่บรรจุ ณ วัดอินทรวิหาร ที่องค์พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ก็มีเพียงพิมพ์เดียวคือพิมพ์ 5 ชั้น (อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้ชำนาญการพระเครื่องอาวุโส ให้ข้อมูลว่า ประมาณปี พ.ศ. 2505 พระสมเด็จฐาน 5 ชั้นวัดอินทร์เล่นหากันที่ราคาประมาณ 100 – 200 บาท)”
มีข้อสังเกตคือ ตรียัมปวาย เขียนไว้ในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่มที่ 1 ตั้งแต่ฉบับพิมพ์ครั้งแรกจนถึงครั้งสุดท้าย (ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่) ว่าพระสมเด็จเกศไชโย ที่ท่านพบเจอนั้นไม่น่าจะเป็นพระสมเด็จฯที่ท่านเจ้าประคุณเป็นผู้สร้าง (แต่บอกว่ามีพระสมเด็จฯแบบที่เรียกว่าพระสมเด็จเกศไชโยที่ท่านเจ้าประคุณฯสร้างไว้จริงแต่น่าจะนำมาบรรจุที่วัดอินทรวิหารและผุพังไปหมดแล้ว) อย่างไรก็ตามในหนังสือพระเครื่องประยุกต์ ของตรียัมปวาย พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ได้ปรากฏภาพพระสมเด็จฯ 3 องค์ แบบพิมพ์ทรง 7 ชั้น พิมพ์ทรง 6 ชั้น และพิมพ์ทรง 5 ชั้น โดยตรียัมปวายอธิบายภาพทั้งสามองค์ว่าเป็น "พระสมเด็จเกศไชโย”
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าพระสมเด็จฯที่เล่นหายอมรับกันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย โดยส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางที่มีการยอมรับพิมพ์ทรงใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่ผ่านไป อาจจะเนื่องด้วยจากการพบเจอพระเป็นจำนวนมากขึ้น มีองค์ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นทำให้พระที่ไม่เคยยอมรับกันมาก่อนได้รับการยอมรับมากขึ้น
บทสรุป
คติการสร้างพระใหญ่ที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้ของสังคมไทยนั้น เมื่อมีการสร้างพระใหญ่หรือแม้กระทั่งพระประธานในพระอุโบสถแล้วมักมีการนำพระเครื่องเข้าไปทำพิธีบรรจุในองค์พระไว้ด้วย ตัวอย่างเช่นการพบพระเครื่องจำนวนมากที่อยู่ในสภาพผุพังในองค์หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณฯ และธรรมเนียมโบราณนั้นมักจะมีการสร้างปูชนียสถานเช่นพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ตามวัดต่างๆ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าทุกครั้งที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระใหญ่ของท่านแล้วจะต้องมีการนำพระเครื่องที่ท่านสร้างไว้เข้าไปบรรจุในองค์พระหรือบรรจุไว้ในปูชนียสถานในบริเวณวัดเหล่านั้น รวมถึงมีการแจกจ่ายพระให้กับญาติโยมในบริเวณใกล้เคียงวัดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะปรากฏว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้มีการสร้างพระโตและปูชนียสถานไว้ยังวัดต่างๆ หลายวัดก็ตาม แต่จากหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนในปัจจุบัน พบเพียงหลักฐานที่เชื่อมโยงกันระหว่างพระสมเด็จฯของสามวัด คือวัดระฆังฯ วัดใหม่อมตรส (วัดบางขุนพรหม) และวัดไชโยวรวิหาร ที่น่าเชื่อว่าเป็นพระสมเด็จฯที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตจริง สำหรับในกรณีของพระสมเด็จฯที่มีรูปแบบแตกต่างออกไปของวัดอื่นนั้นจะต้องทำการเสาะแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อหาข้อสรุปต่อไป
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯองค์ครู อีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์ใหญ่ เกศทะลุซุ้ม องค์ครู ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ระดับตำนาน มีความงดงามมากที่สุดองค์หนึ่ง เป็นพระจุ่มรักน้ำเกลี้ยง เนื้อละเอียดมีความหนึกเห็นได้ชัดเจนบริเวณผิวสัมผัส มีวรรณะขาวอมเหลือง มีเม็ดพระธาตุ มีรอยหนอนด้นปรากฏให้เห็น มีรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา อกมีลักษณะเป็นตัววี ตัดขอบค่อนข้างกว้างซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระพิมพ์นี้ เส้นกรอบบังคับพิมพ์เป็นสันนูนคล้ายเส้นลวด ด้านหลังเป็นแบบหลังกระดานผสมกาบหมาก มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ทั้งสี่ด้านที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ
@@@@@
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์