การสร้างพระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตนั้นถือว่าเป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องอาวุโส บอกว่า “ในการพิจารณาพระสมเด็จฯ นั้นให้มองเป็นงานศิลปะ โดยพระแต่ละองค์นั้นจะมีความคล้ายกันแต่จะไม่เหมือนกัน” ซึ่งเรื่องนี้นั้นถือว่าเป็นหลักการสำคัญของการพิจารณาพระสมเด็จฯ และยังมีความสอดคล้องกับหลักการพิสูจน์หลักฐานอีกด้วย พระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบกรอบสี่เหลี่ยมนั้นมีการพัฒนารูปแบบพิมพ์ทรงมาโดยตลอด โดยถ้าอ้างตามตำราตรียัมปวายจะเริ่มตั้งแต่พระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ที่ถือว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบกรอบสี่เหลี่ยมในยุคแรก หลังจากนั้นได้มีการปรับปรุงพัฒนามาเป็นลำดับ จนในที่สุดจึงได้พระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบพิมพ์ทรงมาตรฐานที่มีความวิจิตรงดงามมากที่สุด ในการทำความเข้าใจในเรื่องนี้สามารถนำทฤษฎีวิวัฒนาการทางศิลปะมาช่วยอธิบายได้เช่นกัน

ทฤษฎีวิวัฒนาการในงานศิลปะ

ทฤษฎีประวัติศาสตร์ศิลป์มีหลายรูปแบบ แต่ที่น่าสนใจคือทฤษฎีวิวัฒนาการในงานศิลปะของกรีกซึ่งมีรูปแบบของการวิวัฒนาการที่ใกล้เคียงกับการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ โดยแบ่งออกได้เป็น 4 ยุค (อ้างอิงทฤษฎีของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นิพนธ์ ทวีกาญจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลป์) ดังนี้

ยุคเริ่มต้น หรือยุคพริมิทิฟ เป็นงานศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปั้นดินเผาและงานประติมากรรมขนาดเล็ก อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ อธิบายว่าพระปิดตาหลวงพ่อแก้ว พิมพ์ปั้น วัดปากทะเล จังหวัดเพชรบุรี ที่มีลักษณะบ้านๆ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ใช้อธิบายในเรื่องนี้ได้

...

ยุคกลาง หรือยุคอาเคอิก นิยมปั้นไหและแจกันโดยเขียนสีตกแต่งแสดงเรื่องราวต่างๆ ประติมากรรมรูปคน มีลักษณะเรียบง่าย ค่อนข้างกระด้างไม่นิ่มนวลมากนัก

ยุคปลาย ยุคสูงสุด หรือยุคคลาสสิก ยุคนี้งานศิลปะมีความโดดเด่นที่สุดทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม

ยุคสุดท้าย ยุคเฮเลนนิสติค เป็นยุคที่งานศิลปะของกรีกเริ่มเสื่อมลง

ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ ขออนุญาตนำเสนอแนวคิดเพื่อเทียบเคียงให้เข้าใจง่ายๆ ว่า พระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่สร้างขึ้นมาในช่วงแรกๆ นั้น เปรียบเสมือนการออกผลิตภัณฑ์รุ่นแรกๆ ผลงานที่ได้จึงอาจจะยังไม่มีความสมบูรณ์มากนัก มักจะขาดความงดงามและความคงทน เป็นลักษณะแบบพื้นบ้าน หรือยุคปฐมภูมิหรือยุคพริมิทิฟ ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาปรับปรุงขึ้นมาตามลำดับ เปรียบเสมือนการพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ออกมา มีลักษณะของวิจิตรศิลป์ที่งดงามมากขึ้น เป็นยุคอาเคอิก จนในที่สุดได้ช่างหลวงเข้ามาช่วยในการสร้างเป็นยุคที่มีการพัฒนาถึงขั้นสูงสุดหรือยุคคลาสสิก ได้พระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่มีความงดงามที่สุดทั้งทางด้านพิมพ์ทรงและเนื้อหา หลังจากนั้นจึงเกิดการเสื่อมถอยเนื่องจากขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ละสังขาร ผลงานการค้นคว้าของ รศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2561 พบว่าลวดลายของการแกะงานศิลปกรรมลงบนหินสบู่ในสมัย รัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 5 ผู้เชี่ยวชาญในสถานศึกษาชั้นนำทางด้านศิลปกรรมของประเทศไทยได้ให้ความเห็นว่าเป็นฝีมือที่อาจเรียกว่าเป็นระดับช่างเทวดา โดยช่างที่มีอยู่ในยุคปัจจุบันไม่มีทางที่จะทำได้วิจิตรงดงามในระดับนั้น

วิวัฒนาการของพระสมเด็จฯ

บันทึกของนายกนก สัชชุกร ตามคำบอกเล่าของพระธรรมถาวร ศิษย์ใกล้ชิดสมเด็จโต ในหนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 ของตรียัมปวาย กล่าวว่า “เนื้อที่ใช้สร้างพระสมเด็จฯ นั้นแต่เดิมใช้ ผงวิเศษ 5 ประการ ผงเกสรดอกไม้ ปูนขาว และข้าวสุก เท่านั้น ซึ่งเมื่อถอดพิมพ์และตากแห้งแล้วปรากฏว่า เนื้อพระมักจะร้าวและแตกหักเสียเป็นส่วนมากเพราะความเปราะ ต่อมาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทดลองใช้ กล้วยหอมจันทน์และกล้วยน้ำว้า ทั้งเนื้อและเปลือกผสมโขลกลงไปด้วย เมื่อเนื้อพระแห้งแล้วมีสีเหลืองนวลขึ้น และการแตกร้าวลดน้อยลง แต่ก็ยังไม่ได้ผลทีเดียวนัก ในระหว่างที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ หมกมุ่นในการแก้ปัญหาเรื่องการแตกร้าวของเนื้อพระเมื่อตากแห้งแล้วนี้เอง หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองในราชสำนักสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้มาเยี่ยมเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านจึงหารือขอความเห็นในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ หลวงวิจารณ์เจียรนัยจึงได้แนะนำท่านให้ทดลองใช้น้ำมันตังอิวผสมลงไปในเนื้อด้วย คุณภาพของน้ำมันจะช่วยประสานเนื้อได้ดี เมื่อเนื้อพระแห้งแล้วอาจจะไม่แตกชำรุดอีก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงได้ทดลองตามคำแนะนำนั้น และได้ผลเป็นที่พอใจ เนื้อพระที่ผสมด้วยน้ำมันตังอิว เมื่อตากแห้งแล้วไม่ปรากฏว่าปริหักเช่นแต่ก่อน ฉะนั้น การสร้างพระต่อมาอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ใช้น้ำมันตังอิวผสมด้วยตลอดมา”

...

จะเห็นได้ว่าพระที่สร้างในยุคต้นตั้งแต่ยุคพระพิมพ์ ต่อเนื่องมาจนถึงยุคพระสมเด็จฯ แบบกรอบสี่เหลี่ยมในช่วงแรกๆ ช่างผู้สร้างหรือช่างชาวบ้าน ยังขาดความรู้ความชำนาญ ทั้งในเรื่องของพุทธศิลป์พิมพ์ทรงที่ยังขาดความสวยงาม เนื้อหาส่วนผสมองค์พระที่ยังไม่ลงตัว กระบวนการสร้างที่ยังไม่ได้มาตรฐาน ทำให้พระเกิดการแตกหักเสียหายทั้งในระหว่างการสร้างหรือเมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ อาจจัดพระกลุ่มนี้ให้อยู่ในศิลปะยุคปฐมภูมิ หรือยุคพริมิทิฟ

ต่อมาเมื่อมีการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบกรอบสี่เหลี่ยมยุคแรกที่เป็นแบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น หรือที่เรียกกันว่าพระสมเด็จเกศไชโยนั้น เป็นพระที่ผ่านการพัฒนาขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว อาจจัดเป็นศิลปะแบบศิลปะยุคปฐมภูมิ หรือยุคพริมิทิฟ ต่อเนื่องจนถึง ยุคกลาง หรือยุคอาเคอิก และพระสมเด็จพิมพ์ทรงมาตรฐานที่มีความงดงามวิจิตรที่สุดที่สร้างในช่วงท้ายนั้น อาจถือว่าเป็นศิลปะยุคปลาย หรือยุคคลาสสิก

ช่างผู้สร้างพระสมเด็จฯ

พระสมเด็จฯ แบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น นั้นจากพยานหลักฐานต่างๆ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตอนุมานว่าสร้างโดยช่างฝีมือชาวบ้าน (บ้านช่างหล่อ) ร่วมกับช่างหลวงหรือช่างสิบหมู่ ที่เห็นค่อนข้างเด่นชัดคือพระสมเด็จเกศไชโย พิมพ์ 7 ชั้นนิยม ที่มีความงดงามคมชัด ตำราของตรียัมปวายมีกล่าวว่า พระสมเด็จเกศไชโยพิมพ์ 7 ชั้นหูประบ่านั้นสร้างในช่วงแรก (ซึ่งพิมพ์ทรงยังขาดความสวยงาม น่าจะสร้างโดยช่างที่ยังไม่ชำนาญมากนัก) และต่อมาในช่วงท้ายมีการสร้างพิมพ์ 7 หูบายศรี (7 ชั้นนิยม ซึ่งน่าจะสร้างโดยช่างที่มีฝีมือระดับช่างหลวงหรือช่างสิบหมู่)

พระสมเด็จพิมพ์ทรงมาตรฐานนั้น มีหลักฐานสนับสนุนทั้งวัตถุพยานและพยานเอกสารว่าน่าจะทำโดยฝีมือระดับช่างทองหลวงในราชสำนัก และน่าจะได้รับความสนับสนุนจากช่างสิบหมู่ด้วยไม่ว่าจะเป็นช่างปูนปั้น ช่างหล่อ ช่างเขียน ช่างรัก เป็นต้น

...

สำหรับกรณีพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น สันนิษฐานว่า สร้างโดยช่างฝีมือชาวบ้าน (บ้านช่างหล่อ) ร่วมกับช่างหลวงหรือช่างสิบหมู่ เป็นช่างชุดเดียวกับที่แกะแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ

อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องอาวุโส กรุณาให้ข้อมูลว่า พระสมเด็จฯ ที่เรียกในปัจจุบันว่าพิมพ์ของวัดบางขุนพรหมนั้น เคยเห็นเนื้อวัดระฆังฯ มาแทบทุกพิมพ์ (แต่มีปรากฏน้อย) “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” อนุมานว่าอาจเกิดจากสองสาเหตุ สาเหตุแรกคือแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ บางพิมพ์ มีการแกะมาก่อนสร้างพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ในปี พ.ศ. 2413 และใช้สร้างพระสมเด็จฯ เนื้อวัดระฆังมาก่อน (คนละประเด็นกับพระสองคลองหรือพระสองวัด) สาเหตุที่สอง มีการสร้างพระเนื้อวัดระฆังฯ ในภายหลังอีกครั้งโดยใช้แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม (สร้างหลังปี พ.ศ. 2413) หนังสือ “อนุสรณ์ ครบ 100 ปี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2515 ได้มีการอธิบายรูปพระสมเด็จฯ หลายแม่พิมพ์ โดยเขียนกำกับว่า เป็นพิมพ์พระสมเด็จ “วัดระฆังฯ-วัดบางขุนพรหม” ซึ่งน่าจะมีนัยยะหมายถึงว่าสร้างจากแม่พิมพ์ที่ใช้สร้างพระสมเด็จฯ ทั้งสองวัด

การถ่ายทอดพิมพ์ทรง

พระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบฐาน 3 ชั้น แบบพิมพ์อกครุฑเศียรบาตร ที่ออกแบบโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั้น มีความเป็นไปได้ว่ามีการเริ่มสร้างในช่วงเดียวกับการสร้างพระสมเด็จฯ แบบ 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น เช่นกัน เปรียบเสมือนเป็นศิลปะยุคต้น จากนั้นจึงมีการพัฒนาพิมพ์ทรงมาเป็นลำดับ

...

พระสมเด็จฯ พิมพ์เศียรบาตรอกครุฑนั้น เนื้อพระจะมีทั้งแบบวัดบางขุนพรหม แบบพระสมเด็จวัดระฆัง (ข้อมูลจาก อาจารย์ประจำ อู่อรุณ) และน่าจะมีเนื้อแบบวัดเกศไชโยด้วย เหมือนกับพระสมเด็จวัดเกศไชโย ที่พบทั้งเนื้อแบบวัดเกศไชโย และแบบวัดระฆังฯ เช่นเดียวกัน (และน่าจะมีเนื้อแบบบางขุนพรหมที่แก่ปูนอีกด้วย) โดยอาจจะมีการออกแบบและแกะแม่พิมพ์ซ้ำโดยช่างสิบหมู่หรือช่างที่มีทักษะระดับช่างหลวงในภายหลังอีกก็เป็นได้ โดยเลียนพิมพ์จากต้นแบบที่ออกแบบโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยน่าจะรวมอยู่ในพิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑที่เป็นพิมพ์ทรงนิยมเนื้อวัดบางขุนพรหมในปัจจุบัน พระสมเด็จฯ พิมพ์เศียรบาตรอกครุฑน่าจะมีอิทธิพลต่อการออกแบบพระสมเด็จฯ พิมพ์อื่นเช่นกัน

พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซมนั้นเป็นพิมพ์ที่พบเจอมากที่สุดในบรรดาพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงมาตรฐานทั้งหมด มีความเป็นไปได้ว่า ในการแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ แบบฐาน 3 ชั้นที่มีกลุ่มช่างสิบหมู่และช่างทองหลวงเข้ามาช่วยนั้น ได้เริ่มแกะพิมพ์ฐานแซมก่อน (ภายหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้มีการออกแบบพระสมเด็จฯ ฐาน 3 ชั้น พิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑด้วยตัวท่านเอง) พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซมนั้น มีลักษณะพิมพ์โดยรวมที่ค่อนข้างตื้นเมื่อเทียบกับอีก 4 พิมพ์ทรงที่เหลือ มีลักษณะที่เซียนพระรุ่นโบราณเรียกว่า “อกร่อง หูยาน ฐานแซม” พระอุระเป็นลักษณะอกร่อง ซึ่งเป็นลักษณะของสังฆาฏิ (อาจจะมีบางองค์หรือบางพิมพ์ย่อย ที่อกค่อนข้างตัน หรืออาจจะเป็นร่องลึกกว่าปกติ ซึ่งอาจจะเกิดจากแม่พิมพ์สึก การเซาะแต่งแม่พิมพ์ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น) มีลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงกับลำพระองค์ของพระสมเด็จวัดเกศไชโยที่มีลักษณะของการบำเพ็ญทุกรกิริยา ที่มีพระวรกายผ่ายผอม (พระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบฐาน 3 ชั้น จะมีพระวรกายสมบูรณ์ ครองจีวร เป็นลักษณะของการที่ทรงตรัสรู้) องค์พระจะตั้งแบบลอยองค์อยู่บนฐาน ไม่เหมือนกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์อื่นอีก 4 พิมพ์ ที่องค์พระจะมีลักษณะเหมือนนั่งแบบถ่ายน้ำหนักตัวลงไปบนฐาน ฐานจะมีลักษณะเหมือนอ่อนตัวรับ ฐานแต่ละฐานทั้ง 3 ชั้น (รวมถึงเส้นแซมเหนือฐาน ที่เป็นที่มาของชื่อพิมพ์) จะมีลักษณะเหมือนลอยตัวเป็นอิสระต่อกัน ไม่สอดประสานรับกันเหมือนฐาน 3 ชั้นของพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์อื่น ใบหูจะเป็นลักษณะของหูยาวที่ชัดเจน มีความใกล้เคียงกับหูของพระสมเด็จวัดเกศไชโย ที่มีลักษณะใบหูยาวเช่นหูบายศรี (รวมถึงพิมพ์ 7 ชั้นหูประบ่า) เอกลักษณ์ประการหนึ่งของพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ฐานแซมก็คือเส้นกรอบบังคับพิมพ์ด้านซ้ายมือองค์พระด้านบนจะป้านออกด้านข้าง พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมพิมพ์ฐานแซมจะมีลักษณะเดียวกัน

การออกแบบพิมพ์ทรงของพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงฐานแซมน่าจะได้รับอิทธิพลค่อนข้างมากจากพระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น และ 7 ชั้น ที่เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ แบบสี่เหลี่ยมในยุคแรก เมื่อเปรียบเทียบกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์อื่นอีก 4 พิมพ์ และยังเป็นต้นแบบของการออกแบบพิมพ์ทรงของพระสมเด็จบางขุนพรหมในช่วงปี พ.ศ. 2413 อีกหลายพิมพ์ เช่นพิมพ์ทรงฐานแซมแบบของวัดบางขุนพรหม พิมพ์ทรงฐานคู่ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก พิมพ์ทรงสังฆาฏิ (ทั้งแบบมีหูและไม่มีหู) เป็นต้น

พระสมเด็จวัดระฆังฯ กลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐาน ทั้ง 5 พิมพ์อันประกอบด้วย พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ทรงฐานแซม พิมพ์ทรงเกศบัวตูม รวมถึงพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ นั้นน่าจะมีการออกแบบในคราวเดียวกัน และล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการออกแบบพิมพ์ทรงของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมในพิมพ์ที่มีพิมพ์ทรงใกล้เคียงกันด้วยเช่นกัน

กล่าวโดยสรุป อาจกล่าวได้ว่าแรงบันดาลใจในการออกแบบพระสมเด็จวัดระฆังฯ กลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐานนั้นส่วนหนึ่งได้มาจาก พระสมเด็จฯ พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร อีกส่วนมาจากพระสมเด็จวัดระฆังฯ ในยุคต้นที่เป็นแบบฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น 7 ชั้น ที่เห็นชัดเจนที่สุดคืออิทธิพลต่อพระสมเด็จฯ แบบพิมพ์ทรงฐานแซม ที่ต่อมาน่าจะมีการพัฒนาไปเป็นแบบพิมพ์ทรงเกศบัวตูม แบบพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ส่วนพิมพ์ทรงเจดีย์ และพิมพ์ทรงพระประธานนั้น น่าจะเป็นการพัฒนาขั้นสุดท้ายที่มีการตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็นแบบใกล้เคียงของจริงที่มีปรากฏค่อนข้างมากในสามพิมพ์แรกออกไปและนำองค์ความรู้ของศิลปะแบบตะวันตกที่เป็นแบบประติมากรรมนูนต่ำเข้ามาประยุกต์เข้ากับงานศิลปกรรมไทย

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์ครู เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์อกครุฑเศียรบาตร ที่งดงามมากองค์หนึ่ง มีคราบขี้กรุปกคลุมทั้งองค์ มีวรรณะขาว พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา มีเอกลักษณ์ของพิมพ์ทรงคือจะไม่มีเส้นซุ้มด้านล่าง มีความคมชัด ขอบพระไม่ปรากฏขอบปลิ้นชัดเจนนัก ซึ่งขอบปลิ้นมักจะพบในพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เส้นกรอบบังคับพิมพ์ไม่ค่อยปรากฏการนูนขึ้นมากนัก มีลักษณะใกล้เคียงกับแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม

@@@@@@

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม