หลักการพิจารณาพระสมเด็จฯ ของเจ้าประคุณสมเด็จโตตามวิธีการของครูอาจารย์ที่สืบทอดกันมานั้น ประกอบด้วยองค์ประกอบสามประการคือ การเข้าใจพิมพ์ทรง การดูเนื้อหามวลสาร และการศึกษาถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งล้วนแล้วต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการพิจารณา
การศึกษาเรื่องธรรมชาติความเก่านั้น เป็นการพิจารณาถึงร่องรอยแห่งกาลเวลา ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงบนองค์พระตั้งแต่เริ่มผลิตมาจนถึงปัจจุบัน โดยพิจารณาตั้งแต่มวลสารวัสดุดั้งเดิม การตำปูนโบราณ การเปลี่ยนแปลงในช่วงผลิต การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกเมื่อสร้างเสร็จ และร่องรอยบนผิวพระเมื่อผ่านกาลเวลามากว่า 150 ปี การเข้าใจถึงลักษณะของธรรมชาติความเก่าได้อย่างถูกต้อง ย่อมทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้พระแท้มาครอบครองบูชา
มวลสารวัสดุดั้งเดิม
ตรียัมปวายได้แบ่งมวลสารวัสดุดั้งเดิมออกเป็น 2 ประเภทคือ ปริมาณวัสดุ และอิทธิวัสดุ สำหรับปริมาณวัสดุนั้นจะเป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ขององค์พระ เช่น ปูนขาว ข้าวสุก กล้วย (สองอย่างหลังนี้เมื่อผสมมาก วรรณะจะอมเหลือง ผิวจะบางซึ่งเป็นลักษณะของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ส่วนใหญ่ซึ่งตรงข้ามกับวัดบางขุนพรหม และเนื้อพระจะมีความนุ่มเพิ่มขึ้น) ส่วนอิทธิวัสดุนั้น จะเป็นวัสดุที่ผ่านพิธีกรรม เช่น ผงวิเศษ 5 ประการ ซึ่งผสมจากวัสดุนานาประการ เช่น ผงว่าน 108 ผงเกสรดอกไม้ต่างๆ เถ้าธูป เป็นต้น (โดยรวมเมื่อผสมเข้าไปมาก มีผลทำให้พระสมเด็จฯ มีวรรณะออกหม่นคล้ำ ผิวจะบาง เนื้อพระหนึกนุ่มจัด)
ปูนขาวนั้นสามารถทำได้จากเปลือกหอยหรือจากหินปูน (แหล่งหินปูนใหญ่อยู่ที่จังหวัดสระบุรี) ในตำราของตรียัมปวาย ได้อ้างคำบอกเล่าของพระอาจารย์ขวัญ “วิสิฏโฏ” ที่รับฟังจากพระธรรมถาวร ศิษย์ใกล้ชิดสมเด็จโตว่า ปูนขาวที่ใช้ทำพระสมเด็จฯ ได้มาจากการเผาเปลือกหอยที่มีอยู่มากในเวลานั้น
...
การตำปูนโบราณ
ปูนปั้น ปูนโขลก ปูนตำ เป็นชื่อเรียกปูนชนิดเดียวกัน ซึ่ง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” อนุมานจากตำราที่น่าเชื่อถือว่าเป็นลักษณะเดียวกับปูนที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต เอกสาร “รายงานองค์ความรู้เรื่องการปั้นปูนในงานสถาปัตยกรรมไทย” โดยสำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ได้อธิบายถึงงานศิลปกรรมประเภทนี้ไว้ว่า งานปูนปั้นมีความหมายถึงลวดลายหรือภาพที่เกิดจากการปั้นปูน เพื่อใช้ประดับตกแต่ง ถือเป็นงานศิลปกรรมของช่างไทยที่มีมาแต่โบราณ โดยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นได้มีการประยุกต์ใช้แม่พิมพ์เข้ามาใช้ในงานปั้นปูนตามแบบอย่างของตะวันตก เพื่อให้สามารถสร้างผลงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยปูนตำมีส่วนผสมของปูนขาวเป็นหลัก นำไปตำหรือโขลกผสมกับทราย กาว และเส้นใย ตามสัดส่วนของช่างแต่ละพื้นที่ (ตัวอย่างเช่น งานปูนตำโบราณของสกุลช่างเมืองเพชรที่มีการสืบทอดกันมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ฝีมือไม่แพ้ช่างส่วนกลางหรือช่างสิบหมู่) เมื่อตำส่วนผสมให้ละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวแล้ว ปูนจะเหนียวเนียน สีขาวนวล เมื่อจับดูจะนุ่ม ทรงตัวอยู่ได้ดี เมื่อปั้นได้รูปทรงแล้ว ปล่อยให้ถูกอากาศจะแข็งตัวในเวลาไม่นานนัก เมื่อเวลาผ่านไปเนื้อปูนจะยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น ปูนตำเป็นปูนที่ใช้ในการตกแต่งศาสนสถาน ปราสาทราชมณเทียรต่างๆ อาคารที่ต้องการแสดงศิลปะที่สวยงาม สำหรับขั้นตอนสำคัญของการทำปูนตำโบราณประกอบด้วย การหมักปูนขาว (โรยปูนขาวลงในน้ำ กวนให้เข้ากันจนเหลวข้น ร่อนบนตะแกรงคัดเศษหยาบออก หมักน้ำ ตากแดด) การผสมกาว (ผสมกาวหนัง น้ำ เคี่ยวบนเตาจนละลาย เติมน้ำตาลทราย กวนจนเหนียวข้นคล้ายน้ำผึ้ง – สันนิษฐานว่าคราบเหนียวสีคล้ายน้ำผึ้งที่พบบนพระสมเด็จฯ อาจจะเป็นกาวหนังนี้ก็เป็นได้) การเตรียมทรายและหมักเยื่อกระดาษ (ร่อนทรายละเอียด ฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กแช่หมักน้ำ จนเปื่อยยุ่ยมีเนื้อนุ่ม เมื่อจะใช้ตำ จึงตักมาพักให้สะเด็ดน้ำ) ขั้นตอนการตำปูนโบราณ (ใส่วัสดุต่างๆ ตามขั้นตอน ตำจนเนื้อปูนแน่นมีความเหนียวหนึบ ไม่ติดก้นครก เป็นอันเสร็จ) ในการตำปูนสำหรับใช้ในการสร้างพระสมเด็จฯ นั้นน่าจะใช้วิธีการที่ใกล้เคียงกับที่กล่าวมาข้างต้น ที่แตกต่างคือการผสมมวลสารไม่ว่าจะเป็นปริมาณวัสดุและอิทธิวัสดุเข้าไปอีกเป็นจำนวนมาก
การเปลี่ยนแปลงในช่วงผลิต
จากการตัดขอบองค์พระ เป็นร่องรอยการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอันหนึ่ง เกิดจากการตัดขอบพระด้วยของมีคม เช่น มีดหรือตอก โดยเฉพาะรอยปริแตกบริเวณขอบข้างด้านหลังองค์พระที่มักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ (รอยปูไต่) โดยอาจเกิดจากการลงตอกตัดจากด้านหลังองค์พระไปด้านหน้าทำให้เกิดแรงกดรั้งเนื้อพระ (ถ้าสันคมตอกยิ่งหนาก็จะยิ่งมีแรงกดรั้งมาก) มีบางท่านบอกว่ารอยปริแตกดังกล่าวอาจเกิดจากการตัดจากด้านหน้าไปด้านหลังแล้วดึงมีดออกด้านข้างทำให้เกิดการแรงดึงเนื้อพระแยกออก โดยสังเกตจากร่องรอยแผ่นครีบเนื้อพระที่เหลือติดอยู่บริเวณขอบข้างด้านหลัง นอกจากนี้การตัดขอบในขณะที่เนื้อพระมีความหมาดตัวก็อาจมีส่วน เนื้อพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่ผสมมวลสารมากทำให้คุณสมบัติความเหนียวตัวลดลงเมื่อเทียบกับเนื้อพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ตรียัมปวายยังพูดถึงเรื่องรอยตอกตัดด้านข้างของพระสมเด็จฯ ว่าจะมีลักษณะเฉพาะตัว (ขอบข้างพระสมเด็จฯ เมื่อผ่านกาลเวลามักจะยุบตัวลักษณะเป็นร่องตรงกลางตลอดแนว คล้ายๆ กับด้านหลังของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่มักจะยุบตัวบริเวณถัดจากขอบข้างและจะนูนตรงกลาง ที่นูนตรงกลางเข้าใจว่ามีความหนาขององค์พระต้านอยู่ทำให้ไม่ยุบตัว สันนิษฐานว่าเกิดจากระเหยของน้ำในปูนรวมถึงการสลายตัวของอินทรีย์วัตถุในมวลสาร บางครั้งอาจยุบตัวเป็นโพรงเรียกว่าโพรงกระรอกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระสมเด็จวัดระฆังฯ)
...
จากการตากแห้ง อาจารย์ประจำ อู่อรุณ อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า พระสมเด็จวัดระฆังฯ และวัดบางขุนพรหมนั้น เมื่อวางกับพื้นเพื่อตากแห้ง พื้นผิวด้านหน้าองค์พระที่สัมผัสอากาศจะแห้งก่อน ความร้อนที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของเนื้อปูนกับน้ำในเนื้อปูน จะระเหยออกทางด้านหน้าทำให้เกิดการปริแตก ส่วนด้านหลังวางแนบกับพื้นทำให้มีความชื้นมากกว่า จึงมักจะไม่ปริแยก (รอยรูพรุนเข็มน่าจะเกิดจากสาเหตุนี้ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากที่เกิดจากการไล่ฟองอากาศช่วงที่มีการกดพระลงไปในแม่พิมพ์ และยังเกิดได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ อย่างไรก็ตามพระที่สร้างในยุคหลังที่ทำด้วยเนื้อปูนก็มีโอกาสเกิดรูพรุนเข็มได้เช่นเดียวกัน)
การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกเมื่อสร้างเสร็จ
ตรียัมปวายได้อธิบายในเรื่องนี้โดยพูดถึงเรื่องของรักเก่าทองเก่าและการลงทองร่องชาด (ล่องชาด - ทาชาดลงในระหว่างสิ่งที่ทาทองหรือปิดทองแล้ว, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ความหมายเดียวกับ ร่องชาด) ไว้ดังนี้
“การลงรักเก่าทองเก่าทำในระยะแรกๆ เมื่อสร้างเสร็จ ... เมื่อเนื้อรักบางๆ ที่ฉาบเนื้อพระได้ล่อนหลุดออกจากผิวเนื้อไปแล้ว ถ้าเป็นเนื้อหนึกนุ่มจะดูดเอาวรรณะของรักซึมลงไปใต้ผิวเนื้อด้วย ทำให้พระหม่นคล้ำจัดขึ้น และเศษรักเก่าทองเก่ายังติดตามซอกเล็กน้อย ทำให้พระเด่นงามขึ้นมาก ถ้าเป็นเนื้อหนึกแกร่งเนื้อรักก็จะแทรกอยู่กับริ้วรอยการแตกลายงาโดยตลอด เรียกว่า ร่องเรขารัก (พระที่มีเนื้อหนึกแกร่งที่มีการจุ่มรักมักจะมีการแตกลายงาเฉพาะด้านหน้าองค์พระ พระเนื้อหนึกนุ่มมักไม่แตกลายงา) ทำให้วรรณะของเนื้อค่อนข้างขาวใสสลับกับหม่นและวรรณะเลือดหมูของร่องเรขารัก เป็นลักษณะลายพร้อย ...”
“การลงทองร่องชาด มีลักษณะทำนองเดียวกับรักเก่าทองเก่า แต่การล่อนของชาดเก่ามีน้อยกว่ารักเก่า และชาดเก่าที่ลงไว้ก็มักจะมีสันฐานหนากว่ารักเก่าด้วย ถ้าเป็นเนื้อหนึกนุ่มจัด เนื้อจะไม่แตกลายงา (เช่นพิมพ์ปรกโพธิ์ที่มักมีเนื้อหนึกนุ่ม) แต่บริเวณที่ชาดกะเทาะหลุดออก เนื้อจะมีลักษณะดูดซึมวรรณะแดงของชาดไว้เช่นเดียวกัน ...”
...
(สำหรับกรณีของคราบกรุที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้น ตรียัมปวาย บอกว่าคราบกรุที่มีความแกร่งตัวจัดและหนา เมื่อลอกคราบกรุแล้ว เนื้อจะมีลักษณะการดูดซึมวรรณะคราบกรุ ลงไปใต้ผิวเนื้อเช่นเดียวกับรักเก่าและชาดเก่า แต่หยั่งลึกไปในเนื้อมากกว่า ทำให้หม่นคล้ำและซึ้งจัดมากขึ้น)
อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้ชำนาญการพระเครื่องอาวุโส ได้อธิบายว่า รักส่วนใหญ่ที่นำมาใช้รักษาผิวพระนั้น เป็นรักจากประเทศจีน ในตอนแรกมีสีดำ มีการนำมาผสมกับหินผงสีแดงมีราคาแพงนำเข้ามาจากประเทศจีนเช่นกัน ช่างลงรักปิดทองจะรู้จักหินผงชนิดนี้ดี รักที่ดีนั้นจะแห้งช้า สำหรับรักน้ำเกลี้ยงหรือรักน้ำใสนั้น มักใช้ในการรองพื้นแล้วปล่อยให้แห้งก่อนปิดทอง รักดำนั้นจะมีความข้นและหนา ถ้าปิดทองบนรักน้ำข้น ทองจะจมลงในเนื้อรักที่มีความหนา
ร่องรอยบนผิวพระเมื่อผ่านกาลเวลา
ตรียัมปวาย กล่าวไว้ว่า ผิวภายนอกผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ตลอดระยะเวลา 100 กว่าปี รวมถึงการทำปฏิกิริยากับอากาศ การดูดซึมความชื้น การสัมผัสจับต้อง หรือการอยู่ในกรุเป็นระยะเวลานาน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกับเนื้อในเลย โดยเมื่อหักพระดูเนื้อในจะบอกอะไรไม่ได้มาก เนื้อภายในส่วนมากของพระสมเด็จฯ จะมีลักษณะขาวๆ (เนื้อภายในจัดๆ มีเช่นกัน โดยเกิดจากโครงสร้างภายใน ของพวกเกสรดอกไม้ ผงว่าน และผงวิเศษ เป็นต้น) โดยเฉพาะเนื้อในของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ที่มีลักษณะไม่แตกต่างมากนักจากพระที่ทำขึ้นภายหลัง ผิวของเนื้อพระนี้เกิดจากชั้นของปูนขาวที่เป็นส่วนที่ละเอียดบริสุทธิ์ ถ้าเนื้อพระมีส่วนผสมของปูนขาวมาก ก็จะทำให้ผิวพระหนาขึ้นและความแกร่งจะเพิ่มมากขึ้น
...
“ทฤษฎีฝ้ารัก” ของ อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มีการอธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า พระที่ไม่ค่อยผ่านการใช้งาน มักมีผิวแป้งปกคลุม หรือเป็นพระบนหิ้ง ไม่ค่อยถูกจับต้อง ไม่ถูกนำมาแขวนคอใช้ เป็นพระที่ขาวแห้ง ตรียัมปวายเรียกว่าเป็น “ความแห้งบริสุทธิ์” พระสมเด็จฯ ส่วนมากจะมีการจุ่มรักเพื่อรักษาเนื้อพระ เมื่อผ่านการเวลารักจะหลุดล่อนออก พระที่ผ่านการใช้นั้นจะสะสมคราบไคลต่างๆ ฝังแน่นลงไปในพื้นผิวพระ ดูซีดเซียวครึ่งๆ กลางๆ วิธีพิสูจน์ทราบง่ายๆ ก็คือจุ่มน้ำอุ่น น้ำอุ่นจะเข้าไปดูดซับเอาคราบฝ้ารารัก ออกมาให้เป็นแผ่นสีแดง เมื่อน้ำแห้ง ฝ้าสีแดงจะจางจมหายไปบ้าง หรืออาจจะเหลือไว้บ้าง เช่นเห็นเป็นคราบสีชมพู
นิรนาม ผู้ชำนาญการพระสมเด็จฯ ได้พูดถึงแนวทางพิจารณาร่องรอยแห่งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ภายหลังพระสมเด็จฯ วัดระฆังฯ ได้ผ่านกาลเวลามาร้อยกว่าปี ซุ้มผ่าหวายจะหดตัวตั้งฉาก ลำแขน ฐานก็เป็นลักษณะเช่นเดียวกัน ... สภาพความแห้งขององค์พระ สภาพความหดตัวของเนื้อพระ ตลอดจนการสลายตัวของมวลสารต่างๆ เช่นเศษอาหารของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ดอกไม้บูชาพระ เกิดผิวเป็นรูพรุนไปทั่วองค์ เรียกว่ารอยรูเข็ม ... พระสมเด็จวัดระฆังฯ มีรอยแยกของเนื้อพระ เป็นเส้นขยุกขยิกเหมือนวัสดุบางสิ่ง ที่จมอยู่ในเนื้อพระได้สลายตัวไป ... เม็ดพระธาตุเป็นส่วนผสมของเนื้อพระที่ต่างกัน ในครั้งแรกคงจะยึดแน่นสนิทเหมือนพระผงใหม่ๆ ทั่วๆ ไป ภายหลังที่ผ่านกาลเวลาพระได้หดตัว เป็นเหตุให้เนื้อพระและมวลสารที่ต่างกัน หดตัวแยกกันเป็นรอยตามธรรมชาติ จุดเม็ดพระธาตุเป็นจุดสำคัญของตำนานการดูพระสมเด็จวัดระฆังฯ ที่สำคัญที่สุด วัสดุที่ต่างกัน อายุต่างกัน จึงหดตัวไม่เท่ากัน จึงเกิดรอยแยกตัวของรอบๆ เม็ดพระธาตุอย่างสม่ำเสมอ ... จะรู้สึกว่า เนื้อผงของพระสมเด็จวัดระฆังฯ จะมีความชื้นตลอดเวลา เพราะน้ำมันที่ผสมอยู่ในองค์พระสมเด็จวัดระฆังฯ จะไม่สลายตัว ... สำหรับน้ำอ้อยจะผสมอยู่บ้างเพื่อความคงทนตามทฤษฎีของคนโบราณ บางจุดนั้นเข้าใจว่าเป็นมวลสารสลายตัวเหลือแต่ปูนที่ผสมน้ำมันตังอิ๊ว จะอยู่คงทนมาก (น้ำมันตังอิ๊วมีโอกาสเสื่อมสภาพลงได้เช่นกันเมื่อผ่านการเวลาอันยาวนาน มีผลทำให้การยึดเกาะกันของเนื้อพระหลุดออกจากกัน เกิดการยุบตัวลง) อย่างเช่นในอดีตกาล ช่างก่อสร้างใช้ปูนขาวผสมน้ำอ้อย แล้วนำมาปั้นเป็นปูนลวดลายต่างๆ เป็นองค์พระพุทธรูปบ้าง เป็นอาคารปราสาทราชวังบ้าง มีอายุคงทนอยู่ได้นับเป็นพันๆ ปี (ปรากฏหลักฐานให้เห็นในงานปูนปั้นโบราณของสกุลช่างเมืองเพชร ที่ใช้น้ำอ้อยเป็นส่วนผสมเช่นเดียวกัน) ... การสลายตัวของมวลสารต่างๆ ตามกาลเวลานั้น มิใช่จะปรากฏเฉพาะบนผิวองค์พระ แต่ในเนื้อขององค์พระ ใต้ผิวขององค์พระ มวลสารต่างๆ ก็สลายตัวได้เช่นเดียวกัน เนื้อขององค์พระสมเด็จวัดระฆังฯ จึงมักจะสว่างอ่อนนุ่มกว่าพระที่ยังไม่มีอายุ ความโปร่งของเนื้อพระสมเด็จฯ เป็นเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนกับพระผงทั่วไป ... เอกลักษณ์ เม็ดพระธาตุ รอยรูเข็ม และรอยปูไต่ จะเหมือนกันทุกพิมพ์ เกิดขึ้นได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในพระสมเด็จวัดระฆังฯ”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้กรุณาให้ข้อมูลที่สำคัญมากว่า “ผิวขององค์พระสมเด็จแต่ละองค์จะมีเอกลักษณ์ที่เป็นพิเศษโดยเฉพาะ ถ้าเป็นพระที่ขาวสะอาด จะเห็นรูพรุนของเข็ม ที่เกิดจากผงธูปบูชาพระ เมื่อเวลาอายุ ผงธูปจะหลุดออกเป็นรูพรุน อาจจะมีส่วนผสมของก้านธูปหั่นเป็นชิ้นเล็ก หรือถ่านก้านธูปเป็นชิ้นเล็กๆ ฝังอยู่ มีรอยหนอนด้นที่เกิดจากส่วนผสมของดอกไม้บูชาพระและเศษอาหารที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้ละกิเลส นำมาตากให้แห้งสนิท ตำให้ละเอียดและผสมอยู่ในมวลสารที่สร้างพระสมเด็จ เมื่อพระสมเด็จได้อายุ มวลสารของพระสมเด็จจะหดและเหี่ยว มวลสารที่เป็นพืชและเนื้อสัตว์จะสลายตัวเกิดเป็นโพรงตามธรรมชาติ เราเรียกว่ารอยหนอนด้น และมวลสารเม็ดพระธาตุทั้งที่เกิดจากมวลสารเก่าและมวลสารใหม่ หดตัวเห็นเป็นรอยแยกของปูนขาวเก่าและปูนขาวใหม่ เราเรียกว่าเม็ดพระธาตุ สภาพการเปลี่ยนแปลงของมวลสารและการหดตัวของมวลสารจะทำให้รูปทรงของพระสมเด็จหดตัว มีผิวที่ตั้งฉาก อันเป็นเอกลักษณ์ของการดูพระแท้ ...”
ในปัจจุบันได้มีการนำวิธีการเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการพิสูจน์พระแท้ หลักสำคัญของการพิสูจน์หลักฐานคือ การที่จะพิสูจน์อะไรสักอย่างว่าแท้หรือไม่นั้น สิ่งที่ใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์นั้นต้องมี “คุณค่าในการพิสูจน์” เพียงพอที่จะนำมาช่วยในการตัดสินใจว่าเป็นของแท้หรือไม่ มิฉะนั้นก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการทำเช่นนั้น ...
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครู อีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง มีเม็ดพระธาตุปรากฏ เนื้อหนึกนุ่ม มีวรรณะขาว มีรอยรูพรุนเข็ม พื้นผนังองค์พระปกคลุมไปด้วยแผ่นทองคำเปลวที่ปิดใหม่ในภายหลังแต่ว่ามีความงดงาม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบพอดีกรอบบังคับแม่พิมพ์ ด้านหลังเป็นแบบหลังกระดาน มีรักหลงเหลือในร่องหลุม มีขอบปริกระเทาะทั้งสี่ด้าน ที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์