ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และต่อเนื่องจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น เป็นยุคล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตกด้วยข้ออ้างว่าประเทศแถบเอเชียยังคงป่าเถื่อนล้าหลัง
อาจจะด้วยเหตุผลนี้ ประเทศไทยในขณะนั้นจึงมีนโยบายหลายอย่างเพื่อนำประเทศไปสู่ความทันสมัย มีการรับชาวตะวันตกผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มารับราชการในพระบรมมหาราชวัง มีการก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มากมาย เช่น พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ที่เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2419 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเริ่มแรกมีการออกแบบให้หลังคาเป็นยอดโดม แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบยอดปราสาทเพื่อคงเอกลักษณ์งานศิลปกรรมไทยเอาไว้ ทั้งยังมีการถ่ายทอดวิทยาการสมัยใหม่ให้กับข้าราชบริพาร ทำให้เกิดการปรับตัวในหน่วยงานต่างๆ ซึ่งรวมถึงกรมช่างสิบหมู่ที่มีการรับเอาทฤษฎีศิลปกรรมตะวันตกมาประยุกต์เข้ากับงานศิลปกรรมของไทยในยุคนั้นด้วยเช่นกัน
กลุ่มช่างสิบหมู่รวมถึงช่างทองหลวง ที่เข้ามาช่วยท่านเจ้าประคุณฯ สร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ ในครั้งนั้น ก็ได้นำเอาองค์ความรู้สมัยใหม่เหล่านั้นเข้ามาประยุกต์ใช้ในการสร้างพระเช่นเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องก้าวหน้าล้ำยุคสมัยอย่างมากในสมัยนั้น
...
ลักษณะโดยรวมของแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ ในกลุ่มพิมพ์ทรงมาตรฐาน ถือว่าเป็นรูปแบบศิลปกรรมแบบประติมากรรมนูนต่ำแบบตะวันตก ซึ่งในการสร้างสรรค์งานชนิดนี้นั้น ช่างจะต้องมีการคำนึงถึงปริมาตร ความสูง ต่ำ ตามลักษณะที่กำหนดไว้ เพื่อให้ตาเห็นในความเป็นจริง มีระยะใกล้ไกล ตามหลักการของการมองแบบทัศนียภาพ (การเขียนภาพให้ได้ส่วนสัด เช่นเดียวกับที่เห็นด้วยตาจริง หรือแบบ 3 มิติ)
พิมพ์ทรงมาตรฐานพิมพ์ที่มีการประยุกต์ใช้หลักการมองแบบทัศนียภาพที่เห็นชัดเจนที่สุด คือพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่ช่างผู้แกะพิมพ์ได้สมมติว่าได้แกะพระโดยใช้มุมมองของการนั่งมองพระประธานในโบสถ์จากด้านหน้าค่อนมาทางด้านซ้ายมือองค์พระ ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นอัตลักษณ์เชิงช่างอีกรูปแบบหนึ่งที่ช่างผู้แกะได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ สำหรับในพิมพ์ทรงมาตรฐานอื่นอีก 4 พิมพ์ของวัดระฆังฯ คือพิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ทรงฐานแซม พิมพ์ทรงเกศบัวตูม และพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ (อาจจะนับพิมพ์เศียรบาตรอกครุฑเป็นพิมพ์ทรงของวัดระฆังฯ ด้วยก็ได้เป็นพิมพ์ที่ 6 ตามทฤษฎีของตรียัมปวาย อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระเครื่องอาวุโสกรุณาให้ข้อมูลว่า เคยพบพระสมเด็จพิมพ์เศียรบาตรอกครุฑที่มีเนื้อพระเป็นแบบของวัดระฆังฯ ด้วยเช่นกัน) ช่างไม่ได้แสดงอะไรออกมาเป็นที่ชัดเจนนักในเชิงทัศนียภาพ กล่าวคือพิมพ์พระที่แกะออกมาจะมีความสมมาตร (ช่างผู้แกะสมมติว่ามององค์พระจากด้านหน้าตรงๆ) อาจจะมีร่องรอยให้เห็นบ้างแต่ไม่เด่นชัดนักในพิมพ์ทรงเจดีย์ซึ่งเป็นแบบเดียวกันทุกพิมพ์ย่อย กล่าวคือหัวของฐานชั้นที่หนึ่งด้านขวามือองค์พระ (อยู่ถัดลงมาจากพระเพลาหน้าตักองค์พระ) จะเป็นลักษณะของหัวเรือเชิดขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะของทัศนียภาพ ที่คล้ายกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ แต่คล้ายแค่ส่วนเดียวคือเฉพาะฐานชั้นที่หนึ่ง (ส่วนอื่นๆ ขององค์พระจะสมมาตรหมด) ซึ่ง “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ตีความว่า ช่างผู้แกะแม่พิมพ์ต้องการทิ้งสัญลักษณ์ไว้ว่า พระพิมพ์ทรงเจดีย์ชุดนี้ แกะแม่พิมพ์โดยช่างชุดเดียวกับช่างที่แกะแม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่
แม่พิมพ์พระเกิดจากการถอดพิมพ์จากแม่พิมพ์ตัวผู้หรือเกิดจากการแกะแม่พิมพ์
มีที่เป็นข้อถกเถียงในเรื่องแม่พิมพ์ว่า เป็นการถอดพิมพ์จากแม่พิมพ์ตัวผู้หรือเป็นการแกะแม่พิมพ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเหมือนการติดกระดุมเม็ดแรก “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอแนวคิดว่า แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ นั้นเป็นแม่พิมพ์ที่แกะขึ้น ไม่ใช่การถอดพิมพ์จากแม่พิมพ์ตัวผู้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
เหตุผลแรก คือการที่พระองค์ครูนั้นมีความคมชัดมาก ถ้ามีการแกะแม่พิมพ์ตัวผู้ (อาจจะแกะจากงาช้าง หรือไม้) แล้วนำมากดลงบนวัสดุรองรับเพื่อทำเป็นแม่พิมพ์ตัวเมีย จะไม่มีความคมชัดโดยเฉพาะส่วนที่เป็นรายละเอียดขนาดเล็ก ยกเว้นว่าวัสดุที่รองรับเพื่อทำเป็นแม่พิมพ์ตัวเมียนั้นมีเนื้อละเอียดมากเช่นเนื้อเทียน แต่วัสดุประเภทนี้เมื่อแข็งตัวแล้วมักจะไม่มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะทำเป็นแม่พิมพ์ รวมถึงต้องพิจารณาถึงความทนทานต่อการสึกหรอเมื่อใช้กดพระเป็นจำนวนมากด้วย ข้อมูลจากตำราที่น่าเชื่อถือที่กล่าวว่ามีวัสดุอะไรบ้างที่ใช้ทำแม่พิมพ์ควรนำมาพิจารณาด้วย
เหตุผลที่สอง คือการที่องค์พระสมเด็จฯ มีโครงพิมพ์ทรงที่มีหลายแบบแตกต่างกัน ไม่น่าจะเกิดจากการใช้แม่พิมพ์ตัวผู้กดลงบนแม่พิมพ์ตัวเมียด้วยแรงหนักเบาต่างกัน แต่น่าจะเกิดจากการที่ช่างได้แกะแม่พิมพ์เป็นจำนวนหลายตัวต่อพิมพ์ทรงพระหนึ่งแบบ เป็นปัจจัยหลัก โดยที่ช่างคนเดียวกันเมื่อแกะแม่พิมพ์หลายตัวจะมีโครงพิมพ์ทรงที่แตกต่างกันแต่คล้ายกัน (เหมือนลายเซ็น ที่เซ็นแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกันแต่จะคล้ายกัน) ความแตกต่างของโครงพิมพ์ทรงนี้ อาจจะเกิดจากปัจจัยรองได้ด้วย เช่น วิธีการถอดพระออกจากแม่พิมพ์ การหดตัวบิดตัวของเนื้อพระ การเซาะแต่งพิมพ์หรือการสึกหรอของแม่พิมพ์ หรือการสึกหรอจากการใช้งานองค์พระเอง แต่องค์พระจะยังคงเค้าโครงหลักของโครงพิมพ์ทรงที่เกิดจากปัจจัยหลักให้เห็น
...
เหตุผลสุดท้ายที่ทำให้สรุปได้ว่าเป็นการแกะแม่พิมพ์ สังเกตได้จากเมื่อพิจารณาองค์พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครู ที่บริเวณขอบมุมล่างขวามือองค์พระของฐานเขียงที่เป็นฐานชั้นล่างสุด (ยกเว้นพิมพ์ฐานแซมมักจะอยู่ขอบมุมล่างซ้าย) มักจะเห็นร่องรอยการขูดปลายเหล็กแหลม เป็นติ่งเนื้อพระปลายเรียวๆ เกินออกมา ขออนุญาตเรียกว่า “จงอยปากนก” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแกะแม่พิมพ์ตามตำราของช่างสิบหมู่ ถ้าเป็นการแกะแม่พิมพ์ตัวผู้ก่อนย่อมไม่มีเหตุผลอะไรที่ช่างแกะจะทำให้เกิดร่องรอยเช่นนี้บนแม่พิมพ์ตัวผู้ และการที่บางครั้งจะเห็น “จงอยปากนก” บริเวณขอบมุมทั้งสองข้างของฐานเขียงในพระสมเด็จฯ องค์เดียวกัน แสดงว่า “จงอยปากนก” ไม่ได้เกิดจากการที่เนื้อพระมีการยืดออกขณะถอดพระออกจากแม่พิมพ์ (อาจจะเกิดได้บ้างแต่ไม่ใช่องค์ประกอบหลักที่มีน้ำหนักให้นำมาพิจารณา)
วัสดุที่ใช้ทำแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ
หนังสือประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) โดยพระมหาเฮง อิฏฐาจาโร (พระครูกัลยาณานุกูล) แห่งวัดกัลยาณมิตร พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2495 ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2510 ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า “ในชั้นเดิม เจ้าประคุณสมเด็จฯ ดำริจะให้ช่างทางบ้านช่างหล่อ จังหวัดธนบุรี ทำแม่พิมพ์ ภายหลังบรรดาผู้ที่เคารพนับถือและพวกสานุศิษย์ที่สามารถทำแม่พิมพ์ได้ ได้ทำถวาย (เพราะเหตุนี้พระสมเด็จจึงมีรูปลักษณะหลายอย่างต่างชนิดกัน ดังจะกล่าวต่อไปในข้างหน้า) และว่าในตอนแรกใช้หินมีดโกนแกะเป็นแม่พิมพ์ ต่อมาจึงใช้หินอ่อนบ้าง ไม้แก่นบ้าง”
...
ถ้าอ้างตามตำราดังกล่าว วัสดุที่ใช้ทำแม่พิมพ์นั้นมีหลายชนิด มีความเป็นไปได้ว่าแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ ในกลุ่มพระองค์ครู พิมพ์ทรงมาตรฐานที่มีความงดงามคมชัดนั้น ทำมาจากหินสบู่ เพราะเป็นหินที่มีความอ่อนแต่คงทน หินสบู่โดยธรรมชาตินั้น จะสามารถแกะเป็นลวดลายได้ง่ายกว่าหินมีดโกนที่มีความเปราะกว่า ที่ตามตำราบอกว่าใช้ทำแม่พิมพ์ในช่วงแรก ตำราพระมหาเฮงยังบอกว่ามีแม่พิมพ์ที่ทำจากไม้ด้วย เช่น ไม้แก่น พบว่าไม้บางชนิดเช่นไม้โมก มีการนำมาใช้ในการแกะแม่พิมพ์พระในยุคหลัง อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กรุณาให้ข้อมูลว่า เคยมีการพบแม่พิมพ์ไม้สมัยโบราณในกรุกระรอกเผือก วัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ จากการค้นคว้าเรื่อง “การสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องด้วยแม่พิมพ์หินสบู่ช่างหล่อหลวงรัชกาลที่ 4-5” ของ รศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ พบว่าแม่พิมพ์ที่สร้างจากหินสบู่เป็นแม่พิมพ์ที่นิยมใช้ในการสร้างงานศิลปกรรมของช่างหลวงในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงสมัย รัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 5 ช่วงเดียวกับที่มีการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ
ขั้นตอนการแกะแม่พิมพ์
ในขั้นตอนของการแกะแม่พิมพ์นั้น ช่างจะต้องมีการร่างแบบลงบนแผ่นหินสบู่ที่มีเนื้อที่พอสำหรับการแกะพิมพ์พระจำนวนหลายตัวลงในแผ่นเดียวกัน เป็นการแกะกลับด้านซ้ายขวาหรือที่เรียกตามภาษาช่างว่า “พิมพ์กลับ” เอกสารวิชาการเรื่องการแกะแม่พิมพ์หินสบู่ ของศูนย์ศิลปะและการช่างไทย สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2554 อธิบายถึงขั้นตอนการแกะลวดลายลงบนหินสบู่โดยเริ่มจากการร่างแบบเขียนสดไว้ว่า
...
“... ในการร่างแบบเขียนสดลงบนแผ่นหินสบู่นั้น ช่างจะเริ่มร่างแบบโดยการขีดเส้นแกนแนวตั้งและแนวนอน โดยใช้ปลายเหล็กแหลม หรือปลายแหลมของสิ่ว ขีดร่างบนผิวหน้าของหินสบู่ เริ่มจากเส้นนอกสุดเป็นเค้าโครง แล้วจึงร่างรายละเอียดเป็นลำดับถัดมา ... จากนั้นใช้ปลายแหลมสิ่ว ขูดเป็นร่องตามเส้นที่ร่างไว้ หลังจากนั้นจึงไล่พื้นลวดลาย โดยเริ่มจากขอบก่อน แล้วจึงปาดไล่พื้นให้ได้ความลึกที่ต้องการ การจับสิ่วต้องจับให้ได้ระดับราบไปกับพื้นให้มากที่สุด และปาดในลักษณะเฉือนออกทีละน้อย...”
ในการแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงมาตรฐานนั้น เมื่อตีความจากแนวทางของช่างสิบหมู่ ช่างแกะจะเริ่มจากการขูดเส้นกรอบบังคับพิมพ์ (เส้นกรอบกระจก) ตามแนวตั้งและแนวนอนก่อน จากนั้นจึงขูดเส้นเล็กๆ เป็นเส้นขอบด้านในของเส้นซุ้มผ่าหวายจนเป็นวงรอบ สำหรับพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่นั้นพื้นผนังพระด้านในซุ้มผ่าหวายจะเป็นพื้นระนาบเดิมของแผ่นหินสบู่ แล้วจึงเริ่มแกะฐานเขียง (ฐานชั้นล่างสุด) โดยเริ่มจากขูดลงบริเวณขอบมุมด้านล่างขวามือองค์พระของฐานเขียง (ยกเว้นพิมพ์ฐานแซมมักจะเริ่มจากขอบมุมล่างด้านซ้ายมือองค์พระ) ซึ่งจะเห็นเป็นรอย “จงอยปากนก” อย่างไรก็ตามพบว่าบางครั้งช่างอาจจะมีการเริ่มขูดแม่พิมพ์จากมุมทั้งสองด้านของฐานเขียงในแม่พิมพ์เดียวกัน ในการแทงปาดเหล็กจะเซาะแทงเป็นแนวตรง จากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย เมื่อพิจารณาบริเวณเส้นสันขอบของฐานเขียงในองค์พระสมเด็จฯ จึงควรจะเห็นร่องรอยที่สอดคล้องกับลักษณะการแทงปาดเหล็กแบบนี้
จากนั้นช่างจะแกะองค์พระในส่วนอื่นตามลำดับโดยอาจจะแกะจากฐานชั้นที่เหลือขึ้นสู่ลำพระองค์ จนถึงพระเศียรและพระเกศ จากนั้นจึงทำการแกะในส่วนของซุ้มผ่าหวาย (เมื่อสังเกตพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่แบบเกศทะลุซุ้ม จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการแกะพระเกศก่อนซุ้มผ่าหวาย) ในระหว่างแกะช่างจะใช้ก้อนขี้ผึ้งกดลงบนแม่พิมพ์และถอดออกมาดูเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของการแกะ จากนั้นจึงเป็นการปาดแต่งผิวระนาบต่างๆ เช่น พื้นผิวภายนอกซุ้มผ่าหวายให้มีลักษณะการลาดขึ้นสู่ขอบข้างเล็กน้อย เพื่อให้ง่ายต่อการถอดพระออกจากแม่พิมพ์ แล้วจึงมีการเก็บรายละเอียดขั้นสุดท้ายก่อนนำไปใช้เป็นแม่พิมพ์สร้างพระสมเด็จฯ ต่อไป สำหรับการแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้นอาจจะมีวิธีการทำแม่พิมพ์ที่ใกล้เคียงกัน “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขอตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า แม่พิมพ์พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม ที่สร้างเพิ่มในช่วงปี พ.ศ. 2413 บางส่วนเป็นการแกะแม่พิมพ์จากไม้ ด้วยเหตุผลว่าต้องการสร้างแม่พิมพ์จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว อาจารย์ประกิต หลิมกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยตั้งข้อสังเกตว่า หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร ได้มีการนำแม่พิมพ์ไม้ของท่านเจ้าประคุณฯ ไปสร้างพระเครื่องบางพิมพ์ของท่านด้วยเช่นกัน
น่าสนใจว่าถึงปัจจุบันผ่านมาแล้วกว่า 150 ปี แม่พิมพ์พระสมเด็จฯ ของท่านเจ้าประคุณฯ นั้นถูกเก็บไว้ที่ไหน ได้สูญหายไปทั้งหมดแล้ว หรืออาจยังคงถูกเก็บรักษาไว้กับทายาทช่างหลวงในกรมช่างสิบหมู่หรือช่างทองหลวงคนใดคนหนึ่ง
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครู อีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ องค์ตำนาน ที่งดงามอีกองค์หนึ่ง มีแผ่นทองคำเปลวปิดบนองค์พระบางส่วน มีความพิเศษคือสังเกตเห็นคราบปูนขาวโรยพิมพ์ทั่วองค์พระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีเม็ดพระธาตุปรากฏให้เห็นหลายจุด โดยเฉพาะมีเม็ดพระธาตุขนาดใหญ่เป็นลักษณะของเม็ดหลวมที่บริเวณใกล้หัวเข่าซ้ายองค์พระ รอยรูพรุนเข็มมีน้อยสังเกตได้ยาก พื้นผนังองค์พระปรากฏรอยหนอนด้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อพระวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบพอดีกรอบแม่พิมพ์ ด้านหลังเป็นแบบหลังกระดาน มีขอบปริกระเทาะทั้งสี่ด้านที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ
@@@@@@
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์