อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เป็นอีกหนึ่งแขกรับเชิญในรายการ Thairath Talk หลังจากออนแอร์ไปเมื่อตุลาคม 2562 ได้รับกระแสตอบรับล้นหลาม และเป็นเนื้อหาที่หยิบยกมาฟังเมื่อไหร่ก็ได้ข้อคิดอยู่เสมอ หลายประโยคมันลึกซึ้งแบบคนเข้าใจโลก เห็นโลกมามาก เจอคนมาเยอะ แม้จะไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่สวยงาม ไม่ใช่ภาษาที่สละสลวย แต่เนื้อความที่ออกมาจากปากผ่านความคิดบวกประสบการณ์ของ อ.เฉลิมชัย มันกินใจจนต้องหยิบมารวมฮิตให้ชมกันอีกสักครั้ง

กูศรัทธาคนรุ่นใหม่

"โลกมันเปลี่ยน ทุกอย่างมันเปลี่ยน กูเป็นคนแก่ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ กูศรัทธาคนรุ่นใหม่มาก มันเป็นธรรมชาติของโลกที่เปลี่ยนแปลง โลกของกูและพ่อกู เขาก็ไม่เข้าใจ หาว่ากูก้าวร้าว แต่กูก็ได้ดี เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลง ความรู้ไม่ใช่ว่าแก่แล้วดีกว่า เพราะคนรุ่นใหม่มันแข่งกับคนทั้งโลก ยอมรับว่านี่คือโลกใหม่ มันเปลี่ยนทั้งโลก ถ้าคนรุ่นใหม่ไม่เปลี่ยนเร็วแบบนี้ เราก็ตามเขาไม่ทัน

กูรู้ว่าวันเวลาของกูคือล้าสมัย กูจึงใช้เวลาเพื่อสร้างคนเพื่อต่อยอดสมองอันงี่เง่าของกู สมองแก่ๆ จะจบลงแล้ว จึงต้องสร้างสมองใหม่ๆขึ้นมา เราสู้เด็กไม่ได้ เราจงยอมรับซะ กูเห็นว่าเด็กต้องกล้าหาญในการแสดงออก และแสดงความคิดเห็น เป็นความคิดร่วมสมัย นี่คือสิ่งที่ทำให้ชาติเติบโตไปได้"

...

เราต้องตอบแทนให้แผ่นดิน

อาจารย์เล่าว่า มีคนมากมายถามว่า วัดร่องขุ่น กับการลงทุนทั้งเงินและเวลามากมายทำไปเพื่ออะไร อาจารย์ก็ตอบด้วยอารมณ์ตามสไตล์แต่เน้นให้เข้าใจทุกประโยคว่า

"กูถามมึงว่า มึงอยู่ในประเทศนี้แล้วได้อะไร อย่าคิดสิว่าเราอยู่แล้วได้อะไร ต้องคิดสิว่ามึงอยู่ประเทศนี้แล้วทำอะไรให้ประเทศบ้าง คิดสิว่าเมื่อเกิดมาในแผ่นดินนี้จะคืนอะไรให้แผ่นดินนี้บ้าง ไม่ใช่เกิดมาเพื่อกอบโกย เพราะทุกคนเป็นแบบนี้ ทำไมไม่คิดแบบกูบ้าง เมื่อมึงเก่งแล้วไม่คิดคืนให้กับบ้านเมือง หาเงินไปให้พ่อมึงเหรอ กูเลยอยากเป็นตัวอย่างของคนดีที่มีอีกด้านนึง คิดไว้เลยจะสร้างสรรค์แผ่นดินของกูเพื่อบ้านเมืองบ้านเกิดเมืองนอนของกู

กูวางแผนของชีวิตของตัวเองแล้ว นั่นคือการกลับมาตายบ้านเกิด อยากเป็นคนที่เกิดที่นี่ แล้วสร้างความเจริญให้แก่ที่นี่ แล้วก็ตายที่นี่ นั่นคือพื้นฐานของการสร้าง ถิ่นเกิดของตัวเองก่อน เพื่อให้ถิ่นเกิดของตัวเองเนี่ยอยู่ดีกินดี พี่น้องประชาชนคนในจังหวัดเชียงราย จะต้องได้รับอานิสงส์จากสิ่งที่กูสร้าง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกคนมาทั้งโลก อันนี้คือความคิด การมองดูตัวเองตั้งแต่เด็ก จึงรู้ว่าตัวเองเป็นคนเก่งเรื่องวาดรูป จึงคิดว่าเฮ้ยวันหนึ่งข้างหน้า กูจะต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดของประเทศนี้ แล้วกูจะต้องเป็นคนมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศนี้ แล้วกูจะต้องมีตังค์ร่ำรวย แล้วกูจะเอาเงินของกูทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือการสร้างวัด คิดตั้งแต่เด็ก เป็นความคิดเลยนะไม่ใช่ฝัน แต่เป็นความคิดของตัวเองเลย บางทีฝันมึงทำฝันไม่ได้ แต่กูไม่ใช่ฝัน กูคือต้องเป็นเช่นนั้น"

ข้อดีของคำดูถูก

"ถ้าไม่มีใครดูถูกมึงเลยนะ ถือว่ามึงเป็นคนกระจอกฉิบหาย เพราะมึงไม่ได้คิดอะไรที่แปลกออกไป คนที่แหกคอกคือคนที่ได้รับการดูถูก จงรู้เลยว่าถ้าใครวิพากษ์มึง แปลว่ามึงคิดต่างและมีศัตรูเยอะ กูชอบศัตรูเยอะ ขอให้ทุกคนเกลียดกู กูต้องการชนะทุกคน มันเป็นแรงขับเคลื่อนเพราะศัตรูคือยากำลัง เราต้องชนะมัน ทำให้เราขยันหมั่นเพียร เราจะเป็นแบบที่มันพูดไม่ได้

แต่การเป็นนักสู้ที่ดีคือ เมื่อชนะแล้วอย่าเหยียบย่ำเขาอีก การต่อสู้เป็นเกม กูให้อภัยและช่วยเหลือเขา สู้เพื่อให้รู้ว่ากูแน่กว่ามึง"

ชีวิตวัยเด็ก
ลำบากทำให้แกร่ง

พิธีกรถามถึงชีวิตวัยเด็ก อาจารย์เล่าว่า ฟ้าได้ส่งเขามาเกิดในที่ที่เครียดมาก จึงต้องเจอกับความเครียด ครอบครัวไม่อบอุ่น ซึ่งสภาพแวดล้อมแบบนี้อาจารย์เฉลิมชัยกลับมองว่าเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้แข็งแกร่ง

"กูไม่รังเกียจ น้อยใจ กลับรู้สึกว่าดีที่เกิดมาแบบนี้เจอการตบตีทะเลาะกัน เลิกรากัน ทำให้กูแกร่ง คิดอะไรที่แตกต่าง กูมีความฝัน ไม่ดูถูกที่เกิดไม่ดี แต่ทำให้คนดีได้ ที่เกิดไม่เกี่ยว เกี่ยวกับวิธีคิด เห็นธรรมชาติจึงคิด ทำให้มึงเป็นหนึ่งเดียวและยิ่งใหญ่ได้ หาสิ่งที่อบรมตัวเราได้ สิ่งไหนละวางได้ก็ทำซะ เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จ

กูโชคดีที่เป็นนักคิดมาแต่เด็ก มันเลยเร็วกว่าคนปกติ เสือกรู้ว่าการเกิดมา มึงต้องตายนะ ก่อนตายต้องเป็นคนดีสร้างประโยชน์แก่บ้านเมืองด้วยความสามารถ กูมองเห็นว่าตัวเองเก่งเรื่องวาดรูป กูเลยมองเลยว่ากูต้องเก่งที่สุดในประเทศนี้และร่ำรวย สร้างวัด อันนี้คิดมาแต่เด็ก

...

กูต้องฝึกตัวเองให้เฉลียวฉลาด ต้องเก่งการตลาด วางแผน วาดรูป และเป็นนักการปกครอง ซึ่งกูต้องเรียนรู้ทุกอย่าง เรียนทุกอย่างพร้อมกัน กูรู้จักคนทุกคนบนโลกนี้ คนที่รวยสุดและจนที่สุดในโลกนี้ กูอยู่กับมนุษย์ทุกคนได้ กูไม่เหยียดหยาม ไม่ดูถูกใคร ไม่รับของใคร กูเป็นต่อสู้ด้วยตัวกูเอง กูไม่พึ่งพาใครทั้งสิ้น

กูรู้ว่าศิลปินแต่ละคนล้วนได้เงินมาจากผู้สนับสนุน เห็นไหมนั่นคือศิลปินต้องอยู่ใต้อำนาจเงินของผู้อื่น กูอยากเป็นศิลปินที่ไม่อยู่ใต้อำนาจของเศรษฐี เพราะกูเป็นคนมีเงิน หาเงินทุกบาททุกสตางค์เพื่อผลงานของกู เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของประเทศกู เมื่อศิลปะมันยิ่งใหญ่ ประเทศกูก็ยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงของกูคือประเทศของกู ทุกอย่างที่กูมีเป็นสมบัติของชาติ"

จงจำแต่ความดีที่ทำ

อยากให้เราจดจำอาจารย์เฉลิมชัยในรูปแบบไหน อาจารย์เฉลิมชัยตอบทันควันว่า ไม่ต้องจำเกี่ยวกับศิลปินผู้อื่น แต่จงจำสิ่งดีงามที่เขาสร้างเท่านั้นพอ

"ถ้ามึงทำดีจริง คนมันจะจำเอง ไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่เป็นของมวลชน คนทั้งโลกที่เขาจดจำคนยิ่งใหญ่ มึงบังคับเขาเหรอ ผลงานของเขาต่างหาก ทุกวันนี้กูใช้ชีวิตมีความสุขของกู ทำประโยชน์ และก็ตาย ความพึงพอใจของกูที่สุด มากกว่ารอให้คนมาจดจำ"

ชมคลิป

ขอบคุณภาพประกอบจาก facebook กลุ่มคนรักอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

ผู้เขียน : Bouquet Talk

...

กราฟิก : Sathit Chuephanngam