พระซุ้มกอ พิมพ์กลาง "พระกำแพงซุ้มกอ" พระเครื่องที่คู่บ้านคู่เมืองแห่งจังหวัดกำแพงเพชร พระพิมพ์ซุ้มกอมีด้วยกันดังนี้
1. พระซุ้มกอพิมพ์ใหญ่มีกนกและไม่มีกนก
2. พระซุ้มกอพิมพ์กลาง
3. พระซุ้มกอพิมพ์เล็ก (พัดใบลาน)
4. พระซุ้มกอพิมพ์ขนมเปี๊ยะ ก่อน 700 ปีขึ้นไป ต่างก็เข้าใจกันว่า เมืองกำแพงเพชรนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของ "ขอม" มาก่อนโดยมีชื่อในระยะนั้นว่า "ชากังราว" จนกระทั่งถึง พ.ศ. 1890 พระยาเลอไทยกษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงองค์ที่ 4 ได้โปรดให้ฟื้นฟูเมืองชากังราวขึ้นพร้อมกับพระราชทานนามใหม่ว่า "นครชุม" ทั้งยังยกเมืองนี้ให้เป็นเมืองลูกหลวงควบคู่ไปกับเมือง "ศรีสัชนาลัย" อีกด้วย
กำแพงเพชรในสมัยสุโขทัยระหว่าง พ.ศ. 1900 ปรากฏว่าเป็นเมืองลูกหลวงที่รุ่งโรจน์ที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะพระมหาธรรมราชาลิไทย (กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยองค์ที่ 5) ได้เสด็จไปสถาปนาพระบรมธาตุและปลูกพระศรีมหาโพธิ์ไว้ที่เมืองนี้ พร้อมทั้งยังได้บำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับการพระศาสนาไว้ที่นี่อีกเป็นอันมาก แต่ระหว่างสมัยอยุธยา นั้นกำแพงเพชรต้องเป็นเมืองหน้าด่านรับศึกกับพม่าอยู่ตลอดมา จนถึงสมัยกรุงธนบุรี (ตั้งแต่ พ.ศ. 1926 ถึง 2317)

...

ศาสนารุ่งโรจน์ขึ้นที่ใดศิลปะก็ย่อมเกิดขึ้นที่นั่น เมื่อ พ.ศ. 1900 พระมหาธรรมราชาลิไทยให้ความรุ่งโรจน์แก่เมืองกำแพงเพชรจนเป็น "นครธรรม" แห่งศิลปะในระยะนั้นจึงตามออกมาอย่างตื่นตาทั้งพระพุทธรูปและพระเครื่อง ปฏิบัติการสร้างประติมากรรมของขลังโดยช่างเมืองกำแพงเพชร พระกำแพง "ซุ้มกอ" นับว่าเป็นเพชรน้ำเอกของทุ่งเศรษฐี เป็นยอดพระเครื่องให้โชคให้ลาภและเป็นยอดพระมหานิยมอันดับหนึ่งอยู่ในวงการพระปัจจุบันนี้ ปฏิมากรรมของขลังของเมืองกำแพงเพชรที่มีชื่อยังมีอีกมาก เช่น พระกำแพงเม็ดขนุน พระกำแพงพลูจีบ พระกำแพงฝักดาบหน้าเงินและหน้าทอง พระกำแพงขาว พระกำแพงเปิดโลก พระกำแพงกลีบจำปา พระกำแพงห้าร้อย พระกำแพงเชยคางข้างเม็ด พระกำแพงพลูจีบ พระกำแพงเม็ดมะลื่อ พระกำแพงท่ามะปราง พระกำแพงกลีบบัว ฯลฯ และพิมพ์อื่นอีกกว่าร้อยพิมพ์


ซึ่งแต่ละพิมพ์จะปรากฏทั้งชนิดเนื้อดินผสมผงเกสร เนื้อชิน เนื้อตะกั่ว เนื้อว่าน และแม้แต่ทั้งเนื้อชินเขียวก็มีสร้าง ส่วนศิลปะของพระเครื่องนั้นที่ปรากฏมากที่สุดจากพระเครื่องเมืองนี้ก็คือแบบ "สุโขทัย" และ "อู่ทอง" ซึ่งได้ให้ความอลังการโดยสกุลช่างกำแพงเพชรเป็นส่วนมากครับ "ทุ่งเศรษฐี" นามนี้ใคร ๆ ก็รู้จักเพราะเป็นกรุพระเครื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรพระเครื่องทั้งหมด
เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย "ทุ่งเศรษฐี" ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนครชุม และเข้าใจว่าเป็นศูนย์กลางแหล่งชุมชนพระบวรพุทธศาสนาของเมืองนั้น แต่ "ทุ่งเศรษฐี" ปัจจุบันนี้คงเหลือแต่ซากโบราณสถานเป็นบางแห่งและท้องทุ่งอันเวิ้งว้าง ซึ่งตั้งอยู่ที่ "ตำบลนครชุม" เท่านั้น ด้านพุทธคุณในใบลานเงินได้จารึกไว้ว่าหากใครมีกูแล้วไม่จน สุดท้ายนี้ ผมขอให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองนะครับ
ราคาตอนนี้ไปไกล 2.5 ล้านบาท แต่ใช่ว่ามีเงินจะได้พระไปครอบครอง.