คงต้องเกริ่นไว้ก่อนว่าควรใช้วิจารณญาณในการรับชมเนื้อหาของบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้ รายการ Thairath Talk ได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์เชียง ปัณณวิชญ์ พิบูลธนาภิรมย์ โดยเราจะจำกัดความอาจารย์เชียงด้วยตำแหน่งหมอดู อาจารย์เชียงก็บอกว่า "ผมไม่ใช่หมอดู" จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้รู้จักอาจารย์เชียงให้มากขึ้นและศาสตร์การพยากรณ์ที่ท่านบอกว่ามองเห็นเป็นภาพสามมิติ นิมิตเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แม่นยำราวตาเห็นอย่างที่คนดัง นักธุรกิจร่ำลือกันหรือไม่ เราคัดลอกบทสัมภาษณ์คำต่อคำ คำถามต่อคำตอบ เพื่อให้คุณผู้ชมตัดสินและพิจารณาเองว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ...
ตอนอายุ 7-8 ขวบ อาจารย์เชียงก็เริ่มมองเห็นภาพนิมิต ซึ่งจะภาพ Visual ในการทำนายทายทักดวง ซึ่งคนดังบอกกล่าวกันมาแม่นยำมาก
"ภาพ Visual เหล่านี้ผมเริ่มเห็นตั้งแต่เด็ก 7 ขวบก็ภาพมาแล้ว แต่ที่เห็นชัดๆ คือ ภาพผับซานติก้า ตอนนั้นอาจารย์เห็นตอนปี 2551 (ผับซานติกาไฟไหม้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552) ภาพที่เห็นคือเห็นคนกำลังดิ้นแบบทุรนทุราย และรู้สึกร้อนมากทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ ต่อจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุน่าสลดใจขึ้นมา
เคยคิดว่ามันเป็นจินตนาการของตัวเองเหมือนกัน แรกๆ ไปโรงพยาบาลไปหาหมอด้วยซ้ำ เราก็สงสัย แต่คุณหมอบอกว่าไอคิว 180 สมองไม่ได้เป็นอะไร และให้ยาบำรุงเส้นประสาทมากินเท่านั้นเอง แต่ผมไปได้คำถามจากพระกรรมฐาน"
...
อาจารย์เชียงมีความฝันอยากเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา ดังนั้นจึงเลือกเรียนจบกฎหมายจบจนปริญญา แต่ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ก็มีลางบอกเหตุสำคัญเกิดขึ้น
"อาจารย์ฝันเห็นช้าง ฝันแบบนี้ซ้ำๆ กัน ในฝันเห็นช้างตัวใหญ่เท่ากับตึกใหญ่ๆ ไล่ตามทุกวัน จนกระทั่งฝันครั้งสุดท้ายอาจารย์หยุดและหันไปบอกว่าจะไม่หนีแล้ว ท่านก็ถามว่ากลัวเหรอ เราก็ตอบไปว่าไม่กลัวแล้ว เป็นไงเป็นกัน ปรากฏว่าช้างใช้งวงจับอาจารย์ขึ้นมา ยกไปวางไว้บนหลัง แล้วก็เดินไป สักพักมีบัวแก้วลอยมาจากฟ้า อาจารย์ก็ใช้มือรับบัวแก้วเอาไว้ หลังจากที่ฝันนั่นเอง อาจารย์ก็มีโอกาสได้เผยแผ่พระพิฆเนศและพระพุทธศาสนาออกไปทั่วโลกเลย"
สัญญาเก่าแต่ชาติปางก่อน
อาจารย์เชียงกล่าวตรงๆ ว่า ไม่เคยเรียนโหราศาสตร์เลย ที่ได้มาถึงจุดนี้เกิดจากสมาธิและการปฏิบัติ เมื่อก่อนอาจารย์ก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเราคืออะไร ก็แสวงหาคำตอบ โดยได้คำตอบจากเจ้าพระคุณสมเด็จเคยเทศน์เคยตรัสหรือเป็นข้อมูลจากในหนังสือปรากฏไว้อยู่แล้ว หรือไปถามจากครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยมคือสัญญาเก่า มันคือสิ่งที่เราสะสมมาตั้งแต่อดีต แล้วนำมาต่อยอดในภพภูมิปัจจุบันให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป เท่ากับตัวความรู้ ไม่ใช่สิ่งที่เราเรียนรู้ในปัจจุบัน แต่เกิดจากการสะสม สิ่งที่อาจารย์ปฎิบัติและยึดถือมาตลอดคือ วันนึงเราจะตายในเมื่อวันนึงเราจะตาย ห้วงเวลาของมนุษย์คือ 100 ปีไม่เกินนี้ ดังนั้นวันนี้เรามีเวลาเหลืออีกเท่าไร เราจะทำอะไร เราจะช่วยสร้างคนในประสบความสำเร็จทั้งภายในและภายนอก เพื่อจะได้มาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาพัฒนาประเทศชาติ
การที่เอาคุณธรรมหรือพลังวิเศษแล้วแต่คนจะเรียก มาสนองตอบกิเลสของตัวเอง ผมเป็นคนนึงที่ไม่ทำ ผมรู้สึกว่า พระธรรมของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน ดับทุกข์ได้จริง บารมีของพระพิฆเนศที่คอยช่วยเหลือมนุษย์ที่คอยศรัทธาพระองค์ท่านไปให้เกิดประโยชน์ ผมเลยอยากจะช่วยเผยแผ่ตรงนี้ให้คนที่ต้องการกำลังใจ หรือกำลังประสบกับความทุกข์ ให้พ้นจากสิ่งนั้น มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเข้ามาหาผมแล้วได้รับพลังใจ ได้รับความสุขในทันทีที่กลับไป ผมใช้คำว่าทุกคนเลยก็ได้ครับ"
ผมไม่ใช่หมอดู
"ผมบอกเสมอนะว่าผมไม่ใช่หมอดู ผมไม่รู้จะดูดวงยังไง ผมไม่ได้เรียนโหราศาสตร์มา ผมใช้คำว่าพยากรณ์พูดตามความรู้สึกของผม แล้วเมื่อคนคนนั้นไปทำตามที่ผมแนะนำไป ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ฮวงจุ้ย หรือไปเติมบุญที่ไหนก็แล้วแต่ แล้วมันประสบความสำเร็จ มันก็เลยกลายเป็นไวรัล ปากต่อปากจนถึงปัจจุบัน"
อาจารย์เชียงขยายความภาพนิมิตของตัวเองว่ามันก็คล้ายกับการที่เราจิตนิ่งแล้วนึกถึงงานหรืออะไรที่ตั้งใจมากๆ ก็จะเห็นภาพปรากฏออกมา "ผมก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกคุณ" อาจารย์เชียงกล่าวเช่นนี้ และสิ่งที่เห็นไม่ใช่เห็นได้พร่ำเพรื่อ ต้องเป็นช่วงเวลาที่มีสมาธิมากพอและเทวดาที่รักษาบุคคลผู้นั้นต้องการเปิดภาพเพื่อให้อาจารย์ชี้แนะแนวทางชีวิต