โลดแล่นอยู่ในวงการเพลงมาตั้งแต่อายุ 14 ปี สำหรับนักร้องเสียงคุณภาพ แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร โดย บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ จับเข่าเปิดใจถึงชีวิตรักของผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง ถึงชีวิตคู่ของเธอกับแฟนหนุ่มรุ่นน้อง จิ๊บ อรรถพล โปรดิวเซอร์มือดีของค่ายคริสปี้ ซาวนด์ ซึ่งได้คบหากันมานานเกือบ 12 ปี 

โดยแอมได้เปิดใจเรื่องชีวิตรักให้ฟังว่า “ชีวิตตอนนี้เป็นแบบตายายมาก พี่ 50 แล้วไม่สามารถมีลูกได้ ถามว่า ไม่อยากมีลูกบ้างเหรอ หรือเอาลูกหลานมาเลี้ยง เอาจริงๆ พี่ไม่ชอบแบบนั้น พี่ไม่ชอบเด็กๆ พูดตรงๆ เป็นคนไม่ชอบเด็ก ในที่นี้หมายความว่า ไม่ชอบเด็กเป็นของตัวเอง แต่ไปเล่นกับลูกคนอื่นได้"

"พี่อยู่กับเด็กได้แป๊บเดียว เล่นได้ แล้วเด็กติดด้วยนะ เด็กชอบ แต่ว่าจะเป็นแบบพอแล้วลูกๆ ป้าเหนื่อยแล้ว เป็นคนที่อยู่กับเด็กมากๆ แล้วหงุดหงิด ปวดหัว ไมเกรนขึ้น คือถ้าเด็กพูดกันรู้เรื่อง เราก็ยังโอเค แต่ถ้าเด็กที่ขี้แงโยเย วิ่งจ้าละหวั่นร้องกรี๊ดๆ ไม่หยุด พี่เป็นลมเลยนะ”

ของพี่จิ๊บก็เช่นกัน ไม่ชอบเด็ก? “จริงๆ เล่นกับเด็กได้ทั้งคู่ แต่ถ้าให้มาเลี้ยงอยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่ไหว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้อยู่ด้วยกันได้แน่นอนและลงตัวสุดก็คือ หมากับแมว เป็นคนรักสัตว์ ถ้าพี่ได้แฟนเป็นคนที่ไม่รักหมารักแมว เราเป็นแฟนกันไม่ได้”

...

เลี้ยงเป็นลูก? “ใช่ เหมือนลูกสี่ขา มันอยู่สบายกว่าลูกคนหลายบ้านมาก เราว่าความเป็นพ่อเป็นแม่เราไม่ได้ด้อยไปกว่าการที่เป็นพ่อแม่ของลูกที่เป็นคน เพราะรักเท่ากันกับเหมือนที่เรามีลูกเป็นคน มันอยู่เป็นเจ้าเป็นนาย เราเลี้ยงจนเสียหมา สปอยล์สุดๆ”

ช่วงที่มีข่าวเปิดตัวว่าคบกับแฟน พี่จิ๊บ นักข่าวประโคมข่าว เราตกใจไหมในช่วงนั้น? “ไม่ๆ พี่อยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ พี่ตกใจในช่วงวัยรุ่นเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้พี่อายุมากแล้ว และอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่อายุ 14 จนมาถึงตอนนี้อายุ 52 แล้ว พี่ก็จะเอาเลยๆ พี่ผจญภัยมาหมดแล้ว ทั้งข่าวจริง มั่ว เท็จหรือเขียนเติม ตัวพี่อ่านเองยังงงเลย เอามาจากไหน

คือจากที่ปรี๊ดแตก วิตกกังวล จนกระทั่งชั่วโมงนี้พี่เฉยๆ แล้ว พี่อาจจะต้องปลอบเค้าด้วยซ้ำไป เค้าไม่ชินเท่าพี่ แต่พี่ชินแล้ว เราก็บอกว่าช่างมันเถอะ เราก็ถือว่าเค้ายังให้ความสนใจกับเราอยู่ ถ้าเกิดสมมติว่าเราทำอะไรแล้วเค้าไม่สนใจ นั่นเราอาจจะเดือดร้อน ตกเทรนด์แล้วไม่มีใครสนใจ

อันนี้ขยับตัวไปเที่ยวก็ลงข่าว แสดงว่าเรายังดังอยู่ เขียนอะไรผิดบ้าง ถูกบ้างก็ต้องทำใจ ซึ่งพี่ก็แบบเป็นธรรมดานะ สมัยก่อนนี้จะเป็นเดือดเป็นร้อนกับการทำข่าว พอมาตอนนี้แล้วความที่พี่โดนมาเยอะแล้ว ยังไงก็ได้ เมื่อก่อนจะตามแก้ข่าวนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ตามแล้ว ถ้าอยากรู้มาถาม ตอบได้จะตอบ”

“พี่ก็บอกพี่จิ๊บนะว่า พ่อ เนี่ยมันเป็นเกียรตินะ ดูสิเนี่ยมันเป็นข่าวที่ตีคู่กับข่าวเด็กๆ นะ เรามีพื้นที่กับเค้าด้วยนะ อะไรอย่างนี้ แล้วเราอยู่เรารู้ว่าเราเป็นอะไร ทำอะไร”

อย่างข่าวที่เขียนออกมาว่า แอม เสาวลักษณ์ มีแฟนเด็ก พี่จิ๊บเค้ายังโมโหอยู่ไหม? “ไม่หรอก เค้าก็บอกว่าทำไมไม่เขียนว่าเค้าพาแอมไปเที่ยวบ้าง ทำไมไม่คิดว่าเป็นเค้าพาแอม เสาวลักษณ์ ไปเที่ยวบ้างล่ะ มีแอบน้อยใจต่างๆ นานา คือเค้าก็เบื่อที่เนื้อข่าวเขียนว่า เค้าเป็นหนุ่มรุ่นน้อง นักดนตรี

คือตอนนี้เค้ามีค่ายแล้วไง ตอนนี้เค้าเป็นโปรดิวเซอร์ มีค่ายเพลง เค้าก็โกรธว่า ทำไมสิ่งที่เค้าขวนขวายมาจนกระทั่งดีขึ้นกว่าเดิม ก็ยังไม่เขียน มาเขียนอะไรตอนปีมะโว้ เค้าก็น้อยใจ บอกว่าถ้าให้มาจับกีตาร์ตอนนี้ก็เล่นไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้เป็นเอนจิเนียร์ก็ไม่มีใครเขียนหรอก”

...

อยู่ด้วยกัน เคยมีทะเลาะกันไหม? “มี เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมชาติ” ใครเป็นคนง้อใคร? “ก็คือมันต้องรอให้ใจเย็น ไม่พูดกันตอนโมโห เพราะการพูดตอนโมโห มันไม่ใช่เราพูด มันคือเอาความโมโหพูดกัน ไอ้เมื่อวานนี้มันคืออะไร แล้วเมื่อคืนมันเอาอะไรพูดกัน มันควรหรือไม่ควรที่จะทำ คราวหน้าเราไม่ควรที่จะทำแบบนี้”

คู่ของเรา มีหลักในการดำเนินชีวิตคู่อย่างไร? “พี่ตกลงกันไว้อย่างเดียวคือ ขอให้เราอยู่ด้วยกันด้วยความเป็นมิตร คืออย่าทำร้ายทำลายกัน คืออยู่ด้วยกันด้วยความเป็นศัตรู นั่นแหละพอ คือพี่บอกกันเลยว่า ไม่ต้องรักกันเยอะ ไม่ต้องรักกันมาก

จนบางครั้งมันทำร้ายกัน เท่าที่พี่เห็นมาคือรักกันมากจนทำร้ายกัน ยิ่งรักยิ่งทำร้ายกัน ยิ่งรักยิ่งเรียกร้องทำใส่กัน ทำร้ายกันเพื่อเรียกร้อง จนในที่สุดกลายเป็นเรื่องลุกลาม พี่เห็นมาเยอะ

จนกระทั่งพี่บอกว่า ขอไม่ให้มีเกิดขึ้นกับบ้านเรา ขอให้เราอยู่ด้วยกันแบบว่าเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ถ้ามีอะไรที่มันไปไม่ได้หรือเกิดความขัดแข้ง หรือเห็นไม่ตรงกัน อันนี้ขอให้เรามาคุยกัน นั่งคุยกันดีๆ ว่ามันปรับได้มั้ย สิ่งนี้คุณชอบ สิ่งนี้เราชอบ สิ่งนี้ไม่ชอบ

เรามานั่งหาตรงกลางว่ามันปรับหากันได้แค่ไหน เพราะทุกอย่างมันต้องปรับ มันไม่มีใครที่มาเหมือนกันได้ตลอดเวลา ถ้าโจทย์ถามว่าอยากอยู่ด้วยกันต่อมั้ย ถ้าอยากอยู่ด้วยกันต่อ อย่างนั้นเราจะปรับยังไง ต้องปรับเข้าหากัน เพื่อให้สนองโจทย์ที่จะอยู่ร่วมกันต่อ แต่ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ไม่ต้องปรับงั้นเลิก”

...

“คือมีความรักที่ดีมันดี แต่ความรักมันไม่ได้สำคัญเท่ากับการเป็นมิตร เราต้องเป็นมิตรต่อกัน ถ้าเราเป็นศัตรูกันมันไม่ได้เรียกว่า รักกันนะ เราเห็นมาเยอะแล้ว รักมากเกลียดมาก โกรธมาก แค้นมาก ถึงขนาดที่ไล่ฆ่ากันก็มี นั่นเกิดจากความรักกันทั้งนั้น รักกันมากเกินไปจนไม่สามารถเป็นมิตรกันได้ นั้นคือให้โทษมากกว่า”

พี่แอมขี้หึงไหม? “มาชั่วโมงนี้ ไม่แล้วนะ ตอนวัยรุ่นเรามีบ้าง พี่คิดว่ามันอยู่ที่วัย ตอนวัยรุ่นทุกคนน่าจะขี้หึงมากกว่า แต่ไม่รู้นะ บางคนขี้หึงไปจนแก่ก็มี อยู่ที่นิสัยของแต่ละคน ตอนนี้พี่คิดว่า ทำอะไรก็ให้มันอยู่ในการที่ให้เกียรติกัน เห็นแก่หน้ากันพอประมาณ อย่าให้มันถึงกับต้องเหล่อ่ะ”

ตั้งแต่คบกันมา เคยมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเหล่ไหม? “คือจริงๆ มันไม่ได้มีอะไรจริงๆ เกิดขึ้น แต่มันอาจจะมีการกระทำที่ขาดความระมัดระวังไปบ้าง ไม่ทันคิดไปบ้าง แต่ว่าไม่ได้มีเรื่องขึ้นมาจริงๆ คือเราสะกิดกันได้ว่าอันนี้ไม่โอเค”

พี่จิ๊บเป็นคนเจ้าชู้ไหม? “พี่เคยถามเค้านะ เค้าบอกว่า ไอ้ที่ไม่ดีๆ เนี่ย ทำมาหมดแล้ว แต่เราว่าอาจจะไม่ได้หรอก บางคนกลับมาเป็นคนไม่ดีตอนแก่ก็ยังมี แต่พี่ก็ไม่เป็นไร ให้อยู่กันไปให้มันเป็นปกติธรรมชาติดีกว่า”

...

แสดงว่าก็ไม่ได้มองอนาคต มองแค่ ณ ปัจจุบัน? “คือพี่ว่าเราทำให้ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติมากกว่า เราจะไปรู้ได้ยังไง เราพูดวันนี้ พรุ่งนี้มันจะมีโจทย์อะไรเข้ามา หลายๆ เรื่องในชีวิตของเรา วันนี้เราตั้งใจจะทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีโจทย์อะไรเข้ามา”.