แอนนี่ บรู๊ค เผยทุกวันนี้ไม่มีงานในเมืองไทย ต้องบินไปร้องเพลงที่เมืองนอก ไม่แคร์คนมองไปขายตัวเพราะไม่ได้ขอใครกิน ทุกวันนี้มีความสุขดี

ส่วนน้องฑีฆายุใกล้จะ 7 ขวบแล้ว ไม่เคยถามถึงว่าพ่อเป็นใคร ตนเองไม่มีแฟนใหม่และไม่คิดจะมองหาใคร อยากทำงานเก็บเงินเพื่อลูก ตั้งใจว่าถ้าลูกโตกว่านี้จะพาไปอยู่เมืองนอก...

เพราะงานในวงการบันเทิงหดหาย เลยทำให้ต้องตัดสินใจหันไปรับงานร้องเพลงและเอ็นเตอร์เทนคนดูที่ต่างประเทศ สำหรับอดีตนักแสดง แอนนี่ บรู๊ค

ล่าสุดได้มีโอกาสเจอแอนนี่พาลูกชาย น้องฑีฆายุ วัยใกล้ 7 ขวบ มาดูการแสดง "เดอะ เมจิคัล เซอร์คัส ออฟ สยาม" ที่เอเชียทีค เดอะรีเวอร์ฟร้อนท์ เจ้าตัวเลยได้เปิดใจกับบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ถึงชีวิตในทุกวันนี้ที่ต้องไปทำงานเมืองนอก บินไป-กลับทีละ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง

ส่วนลูกชายตอนนี้อยู่กับพ่อแม่บุญธรรม ชีวิตแฮปปี้มาก และไม่เคยเอ่ยปากถามถึงพ่อเลยว่าเป็นใคร 

เป็นยังไงบ้าง? “ช่วงนี้เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกค่ะ ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ คิดว่าอาจจะต้องกลับไปอีก ไม่ออสเตรเลียก็บาหลีค่ะ จริงๆ แล้วมันจะมีงานอีกอย่างหนึ่งคืองานเอ็นเตอร์เทน เป็นตลกอ่ะ เพราะเราร้องเพลงแล้วเราสามารถที่จะซิงค์เป็นตลกได้ สนุกดีค่ะ ชอบอันนี้เพราะเป็นงานใหม่”

ไปร้องเพลงที่โน่นเราต้องร้องเป็นภาษาอะไร? “ภาษาอังกฤษค่ะ ภาษาไทยเค้าก็ฟังรู้เรื่องเหมือนกัน สมมติเราจะเล่นเป็นเพลงตลก เปิดเพลงพี่เบิร์ดมา แล้วเราแต่งเป็นผู้หญิง บางทีก็แต่งเป็นพี่เบิร์ดออกมาลิปซิงค์ก็จะเป็นเพลงอีกผลงานหนึ่งที่เอ็นเตอร์เทนคนเข้ามาในร้านค่ะ สนุกดี ชอบมาก”

...

ที่เราเคยขายของ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำแล้วเหรอ? “อ๋อ ขายครีมตอนนั้นเหรอ ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วค่ะ เพราะแอนนี่ว่าคนทำเยอะ เราเลยพอแล้ว”

แล้วเห็นไปขายส้มตำด้วย? “ถ้ามีเป็นออกบูธเคยไปขายค่ะ ขายอาหาร คือแอนนี่ทำอาหารได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอาหารอีสานเราถนัดมากค่ะ”

ไม่มีงานที่เมืองไทยเลยเหรอ? “ไม่มีเลยค่ะ”มีคนติดต่อเข้ามาคุยบ้างไหม? “ไม่มีเลยค่ะ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ไม่อยู่เฉยๆ ค่ะ เพราะว่าลูกเราต้องเรียนหนังสือ เราอยากให้เค้าเรียนให้สูงที่สุด

เพราะฉะนั้นเนี่ยไม่มีงานในวงการบันเทิงก็ไม่เป็นไร เด็กเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน และสื่อมีเดียทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เช่น มีไลฟ์เฟซบุ๊กเกิดขึ้น ใครๆ ก็สามารถเป็นดาราได้ แค่มีโทรศัพท์เครื่องเดียว”

ตอนนี้น้องฑีฆายุกี่ขวบแล้ว? “เดือนหน้า 7 ขวบเต็มค่ะ เรียนอยู่ชั้น ป.1 จะจบป.1 ขึ้นป.2 แล้วค่ะ” ตอนนี้โสด? “โสดค่ะ ไม่มีคนเข้ามาเลย เพราะว่าแอนนี่ทำงานอย่างเดียว ถึงมีก็ถ้าเค้าดูแลเราไม่ได้ แล้วเราต้องไปดูแลเค้าแทน เราก็ไม่เอาแล้ว ถือว่าเข็ดค่ะ”

เข็ดจากเรื่องครั้งก่อนในอดีต? “หลายๆ อย่างบวกๆ กันด้วย แล้วอีกอย่างหนึ่งก็แก่แล้วนะ อยากจะดูแลลูกก่อนเพราะเค้าจะ 7 ขวบแล้ว”

หรือเราอยากจะโฟกัสเรื่องลูกก่อน แล้วค่อยมองเรื่องความรัก? “คงไม่มีแล้วแหล่ะ เพราะว่ามันไม่ได้มองหาเลยอ่ะ และอีกอย่างหนึ่งพอเราเหนื่อยจากงาน เวลามีใครมาจุกจิกใส่ เราก็ไม่ไหว เทเลยจ้ะ

คือเมื่อก่อนไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ ตอนนี้เป็นแล้ว จะเอาตังค์อ่ะ จะทำงานอ่ะ พอมาจุกจิกๆ ใส่ ก็เทหมดเลย คือเราไม่สวยนะ แถมเรื่องมากอีก”

จากข่าวครั้งก่อน ตอนนี้มีผลกระทบอะไรถึงเราไหม? “ทุกวันนี้สังคมก็คือให้เราทำงานอ่ะ เท่าที่อ่านนะ เค้าไม่ได้มองในเรื่องของอดีต เค้ามองในเรื่องปัจจุบันเราทำอะไรอยู่

แอนนี่ว่าคนไทยอ่ะ ในตอนที่มีข่าวอาจจะดูเหมือนใจร้าย แต่พอวันเวลาผ่านไป เราพิสูจน์ตัวเองแล้ว เค้าเข้าใจหมดและค่อนข้างน่ารัก เจอเราส่วนตัวก็จะแบบว่า พี่แอน เป็นกำลังใจให้นะ น่ารักดีค่ะ”

ส่วนมากคนที่เจอเรา เค้าเข้ามาหาเรายังไง? “บางคนเค้าจะพูดว่า ที่ผ่านมาไม่รู้เป็นยังไงนะ แต่ว่าวันนี้คุณทำดีที่สุดแล้ว” ตอนนี้ชีวิตโอเคกว่าเดิมมากๆเลย? “โอเคมากค่ะ มีความสุข ไม่มองหาสิ่งส่วนต่างส่วนอื่นแล้ว ไม่ได้มองหาแฟนหรือว่าผู้ชายแล้ว อย่างที่บอกถ้ามีไม่ดี อย่ามีดีกว่า เพราะแอนนี่ดูแลตัวเองได้ ผู้หญิงทำงาน ดูแลตัวเองได้ ไม่สนใจแล้วผู้ชาย”

...

ถ้าเกิดสมมติว่า ในอนาคตลูกชายไปเสิร์ชข่าวเก่าๆ แล้วเจอข่าวในสมัยนั้น เราเตรียมคำตอบไว้ให้เค้ายังไง?

“แอนนี่ว่าทุกวันนี้เค้าก็เห็นอยู่แล้ว แต่เผอิญว่าเค้ามีความรู้สึกว่า เค้าไม่ถามอะไรเลยนะ แปลกมากมั้ย” เค้าถามไหมว่า พ่อเป็นใคร? “ไม่ เค้าบอกว่า เนี่ยเค้ามีพ่อแม่ครบหมดเลย ทุกวันนี้มีครบหมดแล้ว เค้ามีความอบอุ่น เค้ามีคุณพ่อแล้ว เค้าไม่ต้องการอะไรแล้ว เค้าพูดเอง แอนนี่ไม่ได้สอน ทุกคนไม่ได้บอกนะ

...

เค้าบอกเลยว่า เค้ามีปาป๊าแล้ว เค้ามีคุณแม่แล้ว เค้ามีมัมแล้ว เค้ามีแด๊ดแล้ว แล้วแด๊ดเค้าก็บอกว่า นี่ไม่ใช่ปาป๊านะ นี่เป็นคุณลุงนะ เค้าก็บอกว่า ไม่ เค้ามีปาป๊าแล้ว”

ตอนนี้ก็แฮปปี้ดี? “แฮปปี้ดีมากๆ เพราะว่าแอนไม่อยู่ ครอบครัวก็เลี้ยงดีมาก ไม่รู้อยู่กับแอนสองคน จะเลี้ยงดีเท่านี้มั้ย เพราะว่าเค้าเลี้ยงดีมาก อาจจะซน อาจจะดูไฮเปอร์นิดนึง

เนื่องจากว่า เด็กผู้ชายถ้าเราไปกดเค้า ให้เค้าเรียบร้อยตลอดเวลาก็ไม่ได้ เคยเห็นมั้ย พ่อแม่สมัยก่อน อย่านะ อย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นยังไงล่ะพอโตเป็นวัยรุ่น”

ถ้าในอนาคตเราต้องย้ายไปอยู่เมืองนอกจริงๆ จะพาน้องไปอยู่ด้วยไหม? “มีโครงการ แต่ขอให้น้องโตก่อน ตอนแรกจะไปตั้งแต่น้องเล็กๆ แล้ว ที่เคยเป็นข่าวใช่มั้ยคะ แต่ทีนี้เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราไปตั้งแต่ตอนนั้นจะมีวัฒนธรรมไทยเลย

แล้วจะไม่รู้จักการกราบไหว้ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาดีพอ รู้จักศาสนาของเราตั้งแต่เริ่มต้นที่อยู่ที่นี่ ดีกว่าไปรู้จักที่ต่างบ้านต่างเมือง เดี๋ยวสักมัธยมค่อยไป”

...

แล้วถ้าการงานที่โน่นเรามั่นคงแล้ว จะย้ายไปอยู่ที่นั่นเลยไหม? “พี่คิดว่า ไปๆ มาๆ แต่ว่าตอนนี้คือที่ยังติดเป็นห่วงคือแม่แอนนี่ เพราะคุณแม่ก็ยังอยู่ก็ยังเจ็บไข้ได้ป่วยออดๆ แอดๆ อยู่ ถ้าไม่มีคุณแม่แล้ว สิ้นบุญแม่ก็ไม่แน่ อยากให้น้องไปอยู่

อยากให้เค้ามีอนาคตที่ดีกว่าเรา ไม่ใช่ว่าเมืองไทยไม่ดีนะคะ แต่ว่าภาษาอังกฤษเค้าได้ ภาษาเค้าได้ เค้าอยากเป็นอะไร ก็ให้เค้าเป็นเลยค่ะ” ถ้ามีคนมองว่าเราไปทำงานต่างประเทศ ไปขายตัว เราจะรู้สึกยังไง? “ไม่เป็นไรค่ะ เพราะแอนนี่ไม่ได้ไปขอใครกินค่ะ”.