ปราโมทย์ วิเลปะนะ เปิดใจเล่าชีวิตที่เคยดิ่งลงเหว ทำธุรกิจก็เจ๊ง ไปร้องเพลงก็ไม่มีคนอยากฟัง จนทำให้ตัดสินใจโพสต์ตัดพ้อถึงชีวิตและคิดอยากตาย แต่สุดท้ายก็ฮึดสู้เพราะมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดได้...
หากย้อนไปเมื่อ 15 ปี หลายคนในช่วงนั้นคงเคยได้ยินเพลงฮิตติดหูที่เปิดแทบจะทุกคลื่นวิทยุ ของนักร้องหนุ่ม ปราโมทย์ วิเลปะนะ ซึ่งในยุคนั้นเพลงของเขาดังเกือบทุกเพลง ไม่ว่าจะเป็น คืนที่ดาวเต็มฟ้า, แค่บอกว่ารักเธอ, ไม่เป็นอะไร, แค่คนอีกคน จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาหลายสิบปี ที่ ปราโมทย์ วิเลปะนะ หรือ โมทย์ หมีพูห์ ได้หายหน้าไปจากหน้าจอโทรทัศน์ ส่วนตามคลื่นวิทยุก็ยังมีได้ยินเพลงของเขาบ้างเป็นครั้งคราว
แต่ใครจะรู้ในช่วงชีวิตที่เขาหายหน้าไปนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เรียกว่า ชีวิตดิ่งลงเหว เลยก็ว่าได้ ล่าสุด ปราโมทย์ วิเลปะนะ ได้มานั่งเปิดใจกลางรายการ "ยิ่งศักดิ์ยิ่งแซ่บ" ถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองโพสต์ข้อความเชิงตัดพ้อ ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า "ไม่เคยเบื่อขนาดนี้มาก่อน อยากทำงานอย่างอื่นแล้ว คงไม่เหมาะจะเป็นศิลปิน" และ "เก็บงานที่รับไว้ แล้วหายไปจากวงการดนตรี น่าจะดีที่สุด ถ้าไม่มีภาระก็อยากจะหยุดหายใจ" จากนั้นก็มีแฟนคลับเข้ามาให้กำลังใจมากมาย โดยปราโมทย์ได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังในรายการ ซึ่งเป็นช่วงที่ชีวิตดิ่งลงเหวอยากมา ให้ฟังว่า
...
ตนเองได้แต่งเพลง คืนที่ดาวเต็มฟ้า มา 15 ปีแล้ว ที่ผ่านมาตนเองร้องเพลงมา 3 ค่าย ได้แก่ ค่ายอินดี้คาเฟ่ จากนั้นมาอยู่ โซนี่ มิวสิค เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (ประเทศไทย) ที่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น บีอีซี เทโร เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และค่ายสุดท้ายคือ แกรมมี่ ส่วนสาเหตุที่ตัดสินใจเดินออกจากแกรมมี่เพราะว่าอยากทำเพลงเอง ช่วงที่หายไป ตนเองไปทำหลายอย่าง ทำธุรกิจเยอะมาก แต่สุดท้ายก็เจ๊งหมด คือไปหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วไม่มีเวลาเข้าไปดู ได้แต่เอาเงินเข้าไปให้จัดการ สุดท้ายก็โดนโกง ด้วยเป็นคนรักเพื่อนด้วย เลยทำให้ไว้ใจเพื่อนมาก
ถามว่ามีงานอีเวนต์มาเชิญให้ไปออกงานบ่อยมั้ย ปราโมทย์บอกว่า ก็มีบ่อย แต่ส่วนใหญ่คนจะจำไม่ได้ เพราะ 3 ปีออกงานครั้งหนึ่ง ที่ไม่ค่อยมีข่าวหรือมีกระแสข่าวให้กับตนเอง เพราะเป็นคนขี้อายมาก
ที่โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊คว่า "ไม่เคยเบื่อขนาดนี้มาก่อน อยากทำงานอย่างอื่นแล้ว คงไม่เหมาะจะเป็นศิลปิน", "เก็บงานที่รับไว้ แล้วหายไปจากวงการดนตรี น่าจะดีที่สุด ถ้าไม่มีภาระก็อยากจะหยุดหายใจ" อันนี้โพสต์ออกมาด้วยอารมณ์ที่รู้สึกว่า เราทำอะไรไม่ค่อยถูกใจคนฟัง ซึ่งงานนี้เป็นงานคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน หน้าร้านติดป้ายบอกว่า ปราโมทย์จะมาเล่นคอนเสิร์ตที่ร้านนี้ แต่คนฟังคงจำตนเองไม่ได้ เพราะไม่ออกทีวีนานแล้ว ทำให้คนมาร้านนี้น้อย ส่วนมากที่มาจะเป็นเพื่อนเจ้าของร้าน หุ้นส่วนร้าน และแฟนคลับตนจริงๆ เพียงแค่ไม่กี่โต๊ะ
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ศิลปินที่ไปร้องเพลงตามร้าน ผับ บาร์ ถ้ามีคนมาน้อยทำให้รู้สึกแย่ไปหน่อยนึง แต่ก็ต้องทำหน้าที่ต่อ บนเวทีในร้านนั้น ตนเองร้องเพลงคนเดียวอยู่บนเวที โดยไม่มีเอ็มซีมาช่วยเอ็นเตอร์เทน และช่วงท้ายๆ ก็มีคนลุกออกจากร้านไปบ้าง ซึ่งในระหว่างที่ร้องนั้น ตนถนัดแต่เพลงช้า ชิลๆ แต่ไม่ถนัดเพลงเร็ว เลยส่งต่อให้มือกีตาร์ร้องแทนในช่วงส่งท้าย ที่ต้องบิวท์คนฟังให้สนุกๆ
...
ยอมรับว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก และดูเหมือนตนเองไม่มีค่า มีคนฟังแต่น้อยมาก เพราะมีแต่คนอยากฟังเพลงสนุกๆ ตนถนัดเพลงช้า เลยเลือกที่จะร้องเพลงชิลๆ ของตัวเองไป และคนฟังก็เริ่มลุกออกจากร้าน ถ้าถามว่า จำนวนคนฟังคนดูและเสียงปรบมือมีอิทธิพลต่อศิลปินมากมั้ย ปราโมทย์บอกว่า มีอิทธิพลเยอะมาก
สิ่งที่คาดหวังว่าอยากได้จากคนฟังก็คือ การปรบมือให้กำลังใจ หันมาสนใจมองบนเวทีบ้าง และช่วยกันร้องตามไปด้วย ที่โพสต์ว่าไม่อยากหายใจต่อไปนั้น เพราะตอนนั้นรู้สึกน้อยใจ ทำอะไรก็ไม่ดี อยู่ว่างๆ รู้สึกคิดเยอะ ทำอะไรก็เจ๊งไปหมด ถ้าไม่ร้องเพลงแล้วจะทำอะไร ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะการร้องเพลงและเล่นดนตรี เป็นเหมือนลมหายใจของเรา เลยคิดว่า ถ้าเกิดว่าไม่ทำก็อย่าไปอยู่มันเลย
สิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันเกิดจากการสะสม เพราะช่วงก่อนหน้าโดนติงมาเรื่องการร้องเพลงมีจังหวะ แต่ก็พยายามเปลี่ยนมาเรื่อยๆ เพราะร้องเพลงช้ามาตลอด แต่ตอนหลังก็มาร้องเพลงเร็วบ้าง แล้วพอมายุคสมัยนี้เค้ามักจะใช้เพลงเร็ว เพลงคัฟเวอร์ซะส่วนใหญ่ อย่างเวลาตนเองไปเล่นดนตรีก็จะแบ่งเพลงสนุกๆ ให้มือกีตาร์ร้อง ส่วนตนเองก็ร้องเพลงช้าไป แล้วพอกลับมาร้องเพลงตัวเองตอนท้ายๆ มันไม่สนุกแล้ว คนก็ลุกออกไปจากร้าน
...
ยอมรับว่าเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัว เลยทำให้ไม่ค่อยเอ็นเตอร์เทนคนฟังเท่าไหร่ นานๆ จะทำที หลังจากได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กไป ก็มีคนเข้ามาให้กำลังเยอะมาก ซึ่งตนเองไม่คิดว่าจะมี ส่วนใหญ่จะเข้ามาให้กำลังใจด้วยถ้อยคำดีๆ
ถ้าถามเรื่องงานในตอนนี้ ก็ยังมีเข้ามาเรื่อยๆ ส่วนธุรกิจที่ผ่านมาทำอะไรก็เจ๊งหมด ลงทุนทำกับเพื่อนก็ต้องปิดตัวไป แต่ก็ยังพอมีเงินใช้อยู่บ้าง เคยมีช่วงที่ไม่มีเงินเลย เพราะช่วงนั้นร้านที่ลงทุนทำกับเพื่อนเจ๊งหมด แล้วตนเองก็ต้องเคลียร์เงินของร้านที่ติดค่าเช่าไว้ ซึ่งร้านเป็นชื่อของตนเอง จนต้องขายรถเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ พอหลังจากขายรถยนต์ก็ไปซื้อมอเตอร์ไซค์ขับไปทำงานแทน แต่ตอนนี้เริ่มกู้วิกฤติได้ ก็เลยดาวน์รถคันใหม่ และเริ่มกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง
ถามว่า ทำไมถึงไม่อยากกลับมาสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในสื่ออีกครั้ง นักร้องหนุ่มบอกว่า เรื่องนี้ก็เคยมีคนแนะนำตนมาเหมือนกัน แต่ว่าตนเองเป็นคนขี้อาย และยังไม่มีเพลงใหม่ด้วย สิ่งที่ช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาแย่ๆ มาได้ ก็คือมาจากแฟนคลับ และคนสำคัญคือ แม่ ที่ตอนนี้อายุ 64 ปีแล้ว ตนเองอยู่กับแม่สองคน พอกลับบ้านไปเห็นแม่ทำนั่นนี่ แม่ยังมีแรงทำ เลยกลับมามองที่ตัวเองว่า เรายังทำอะไรไม่ได้เท่าที่แม่ทำเลย เลยฮึดสู้อีกครั้ง
...
ส่วนสิ่งที่อยากจะทำเมื่ออายุเยอะมากขึ้น ก็อยากที่จะไปเรียนดนตรีเพิ่ม และผันตนเองมาทำงานเบื้องหลัง ตอนนี้ตนเองไม่ได้สังกัดค่ายใด เป็นศิลปินอิสระ หากสนใจจะติดต่องาน สามารถติดต่อผ่านทางเฟซบุ๊กได้ และจะมีเบอร์โทรศัพท์ขึ้นไว้อยู่ โทรมาได้เลย
"ผมขอโทษและรู้สึกแย่มากที่ตนเองคิดอะไรเห็นแก่ตัว ขอบคุณที่ทุกคนให้กำลังใจ เขียนมาบอกแนะวิธีให้ดูใครเป็นตัวอย่าง ซึ่งมีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาในข้อความทางเฟซบุ๊คมาว่า หน้าเฟซบุ๊กคุณมีรูปในหลวงอยู่ ทำไมถึงไม่เอาท่านเป็นแบบอย่าง ท่านไม่เคยท้ออะไรเลย ข้อความนั้นทำให้ความรู้สึกของผมฟื้นขึ้นมาเลย" ซึ่งทำให้คิดได้แล้วกลับมาสู้อีกครั้ง ตอนนี้กำลังทำเพลงใหม่แต่ก็ยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และฝากขอโทษแฟนคลับที่เคยคิดจะฆ่าตัวตายและท้อในชีวิต.