ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา อดีตนางแบบเป็นนางแบบชาวไทยที่ไปมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในและต่างประเทศระหว่างช่วง พ.ศ. 25372545 ยุ้ยเป็นนางแบบชาวไทยคนแรกของสังกัด Storm Model Management

เธอเคยเป็นนางแบบนิตยสารโวค ฉบับเอเชีย, เดินแบบแฟชั่นในฝรั่งเศส อิตาลี สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ และติดอันดับ 1 ใน 12 ซุปเปอร์โมเดลโลกในช่วงเวลาดังกล่าว และเคยเป็นนางแบบให้กับแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง ชาแนล อีกด้วย 

...

แต่ชีวิตของนางแบบดังต้องพลิกผันเมื่อเธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จนทำให้การเป็นนางแบบระดับโลกของเธอต้องจบลงเช่นกัน ยุ้ย รจนา กลับมาทำงานที่ประเทศไทยอีกครั้ง แต่เพราะพิษของยาเสพติด บุหรี่ และเหล้าที่เธอเคยติดอย่างหนัก ทำให้ยุ้ยไม่สามารถหวนคืนแวดวงแฟชั่นอย่างเต็มที่ได้อีกต่อไป

วันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีตนางแบบชื่อดังระดับโลก จึงไม่พลาดที่จะพูดคุยกับเรื่องราววันวานในอดีตของผู้หญิงไทยคนนี้ที่เคยสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้คนไทยเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งอดีตนางแบบสาวได้เล่าแบบเปิดใจถึงเรื่องราวในอดีตทั้งหมดเพื่อหวังให้เป็นบทเรียนให้กับใครหลายคนอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเหมือนเช่นเธอ

ได้ไปโกอินเตอร์เป็นนางแบบระดับโลกได้อย่างไร?
“คือยุ้ยอยากเป็นนางแบบ แต่ไม่คิดว่าตัวเองสวย ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นนางแบบได้ พอเรียนจบป.6 ก็ย้ายจาก จ.อุบลราชธานี มาอยู่กรุงเทพฯ มาอยู่กับลุงและแม่ แม่ยุ้ยเปิดร้านเสริมสวยค่ะ วันหนึ่งมีโอกาสไปทานก๋วยเตี๋ยว ซึ่งตอนนั้นยุ้ยเรียนภาคค่ำอยู่ที่วัดธาตุทอง จะเรียนให้จบ ม.6 อยากเรียนสูงๆ เลยไปเรียนตอนกลางคืนเอา

ระหว่างที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยว ก็มีพี่คนหนึ่งมาขอถ่ายรูป ด้วยความที่เราเป็นเด็กก็กลัวแต่เขาก็บอกว่าจะชวนไปถ่ายแบบ ด้วยความที่อยากเป็นนางแบบ ตอนก็กลัวว่าเขาจะหลอกเรา แต่สุดท้ายก็อยากลองเลยโทรหาเขา โทรปุ๊บเขานัดไปถ่ายแบบเลย ซึ่งตอนนั้นยุ้ยอายุประมาณ 17 เขาเป็นฝรั่งก็เลยมองคนไทยที่หน้าไทยแบบยุ้ยว่าสวย"

พอไปถ่ายแบบครั้งแรกเป็นอย่างไร จำความรู้สึกได้มั้ย?
“ตอนนั้นยังโพสไม่เป็นเลย กระโดกกระเดก ท่าทางแข็งๆ อยู่เลยค่ะ ถ่ายแบบเขาจัดให้อยู่แบบไหนก็อยู่แบบนั้น (หัวเราะ) ไปถ่ายหนังสือเล่มแรกใช้ไม่ได้เลยเพราะว่าโพสแข็งมาก ต่อมาเขาก็ชวนอีก เราก็คิดนะครั้งแรกไม่ได้ลง ครั้งที่สองจะได้ลงมั้ย ก็ไปถ่ายที่ฟาร์มโชคชัยกันค่ะ เป็นหนังสือชื่อคาราวานแม็กกาซีน

ถ่ายเป็นเรื่องราวของผู้หญิงอินเดีย ซึ่งโดนผู้ชายประมาณสิบยี่สิบคนข่มขืน คือเขาให้เป็นเรื่องราวเราต้องสื่อออกมาเป็นคนนั้น สื่อออกมาทางแฟชั่น ไปถ่ายสามวัน ได้ค่าตอบแทนสูงมาก คือสามหมื่นบาทถือว่าเยอะทั้งๆ ที่เราไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยได้เงินเยอะขนาดนี้ พอได้มาดีใจไปบอกแม่ได้เงินสามหมื่น ตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้น (หัวเราะ)”

“หลังจากนั้นก็เริ่มถ่ายแบบจริงจัง ตอนอายุ 19 และยุ้ยก็ตัดสินใจประกวดซุปเปอร์โมเดล ออฟ ไทยแลนด์ ซึ่งตอนที่ประกวดเราไม่มีความกล้าเลย เรียนจบไม่สูง ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ หน้าตาก็ไม่สวย ด้วยความเป็นเด็กบ้านนอก ซื่อๆ เค้าให้ประกวดก็ประกวด เพราะเขาบอกลองหาประสบการณ์

ซึ่งตอนนั้นประมาณปี 1994 เป็นปีที่มีคณะกรรมการเป็นฝรั่งมาเลือก พอยุ้ยได้ที่ 1 ก็ไปประกวดที่เมืองนอกเลยไป เป็นตัวแทนของนางแบบไทยไปประกวดที่ฮาวาย ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนฝันค่ะ เป็นอะไรที่มันเร็วมาก โชคดีมาก เพราะเราไม่คิดว่าจะได้ที่ 1 ในการประกวดที่เมืองไทย เพราะว่ามีแต่คนสวยๆ เก่งๆ มีประสบการณ์

ยังคิดในใจโลกนี้ยังมีอะไรที่แฟร์อยู่นะ เขาไม่ได้มองที่คนสวยอย่างเดียว เก่งอย่างเดียว เขายังเปิดโอกาสให้ผู้หญิงธรรมดามีโอกาสไปยืนบนเวที ได้ไปแสดงแฟชั่นโชว์ ได้ไปถ่ายแบบ ไปร่วมงานกับโปรเฟสชั่นนอล คือคิดว่าตัวเองโชคดีมากๆ”

...

พอประกวดที่ฮาวายเสร็จยังไงต่อ?
“ได้เข้ารอบ 12 คน ถูกจับเซ็นสัญญา เอเจนซี่แย่งตัวยุ้ยกันใหญ่เลยค่ะ ด้วยความที่เราเป็นคนเอเชีย มีเอกลักษณ์หน้าไทยมาก ไม่เป็นลูกครึ่ง แล้วตอนนั้นเขาต้องการคนเอเชีย เพราะเปลี่ยนหน้าได้หลายแบบ จะเป็นฟิลิปปินส์ก็ได้ ไทย ญี่ปุ่น อินโด ก็ได้ เลยเป็นที่ต้องการของเอเจนซี่ที่นั่น”

ตอนนั้นภาษายังไม่ได้ ทำอย่างไร?
“ไปเรียนเพิ่มค่ะ ตอนแรกๆ ไปเรียนที่อังกฤษ เรียนอยู่กับครอบครัวฝรั่ง เขามีลูกชายสองคน ไปเรียนแล้วก็อยู่ด้วยเลยไปซึมซับภาษา ไปช่วงแรกผู้จัดการยังไปด้วย แต่พอถึงเวลาที่เขาจะกลับ แต่ยุ้ยต้องเรียนภาษาต่อ 3 เดือน ต้องลุยเองทุกอย่างแล้ว ก็อาศัยเซ้นต์ ลองดูค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ทำงานคนเดียวได้”

โดนดูถูกไหม เป็นสาวเอเชียแล้วพูดภาษาอังกฤษไม่ได้?
“เขาก็ไม่ดูถูกนะ โชคดีที่ยุคนั้นที่ยุ้ยไปเขาไม่ดูถูกเลยกัน แต่ถ้าเป็นแนวอิจฉากันระหว่างนางแบบ ว่านางแบบยุโรปกับนางแบบเอเชีย อยู่เอเจนซี่เดี่ยวกันที่อิจฉากันมีค่ะ ประมาณว่าเธองานเยอะกว่า เธอสวยกว่าอะไรอย่างนี้ ถ้าจะเหวี่ยงจะวีนไม่เก็บอาการเลยนะคะ เขาจะแสดงออกมาเลย”

...

ตอนนั้นท้อไหมไปลุยคนเดียวที่เมืองนอก?
“ไม่ค่ะ เพราะว่าตื่นเต้น คิดดูเป็นสาวบ้านนอกนะ ที่อยากจะมีชีวิตอยู่ในวงการแฟชั่น อยากแต่งตัวสวยๆ อยากหาประสบการณ์ชีวิต กับงานที่ทำแล้วได้เจอคนมันก็ตื่นเต้นสนุก แต่ก็มีช่วงที่ไปอยู่ที่นั่นแรกๆ ยุ้ยจะใส่รองเท้าบูตแล้วเจ็บเท้ามาก วันนึงมี 8 งาน เจ็บเท้ามากจนเล็บเราหลุด เล็บขึ้นใหม่เรายังไม่รู้สึกเลยนะ เจ็บเท้าไปหมดเลือดไหลทรมานมากแต่ก็สู้ค่ะ”

โด่งดังจนได้เป็นนางแบบชาแนล ตอนนั้นมันรู้สึกยังไงบ้าง?
“ตอนนั้นดีใจมากและภูมิใจมากๆ เลย คือยุ้ยว่าคนดูถูกผู้หญิงไทยเยอะมาก ว่าเป็นพวกโสเภณีเยอะ ภูมิใจที่เราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงไทยในสายตาคนที่นั่นดีขึ้น ว่าฉันเป็นนางแบบเป็นตัวแทนของสาวไทย

คือคนไทยไม่จำเป็นต้องมาขายตัวอย่างเดียว สาวไทยก็เป็นนางแบบระดับอินเตอร์ ยุ้ยภูมิใจมากๆ เลย เพราะได้ยินมาฝรั่งดูถูกเราแต่เขาเห็นยุ้ยในภาพลักษณ์ที่พรีเซ็นต์ความเป็นโมเดลระดับโลกแล้วมันมีความรู้สึกที่สุดแล้ว ไม่อยากให้เขามาดูถูกผู้หญิงไทย เรารู้สึกไม่ดีที่เขามาดูถูกบ้านเรา ดูถูกคนไทยว่าโง่ขายตัวเป็นโสเภณีเยอะ คือได้ยินมากับหูมันฉุนนะ ไม่ชอบเลย สักวันหนึ่งฉันจะล้างภาพให้ดูพวกเธอได้ดู”

...

ไปฝ่าฟันวงการนางแบบที่นู่นมากี่ปี?
“8 ค่ะ มีงานเดินแบบวันละ 2-3 งานก็โอเคแล้ว เคยทำงานๆ นึงได้เงินหลักล้านค่ะ ไม่กี่ชั่วโมงด้วยค่ะ”

มีเงินเยอะ ส่งมาที่บ้านเยอะไหม?
“ไม่ค่ะ เพราะว่าตอนนั้นเป็นคนที่ใช้เงินเก่งมาก ด้วยความที่เราได้เงินมาง่ายทุกอย่างจะต้องเป็นแบรนด์นะ เสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าใช้เงินแบบไม่คิดเลย คือเกิดมาไม่มีใครสอนว่าใช้เงินยังไง ต้องเก็บเงินนะ ไม่มีใครสอน เพราะว่าพ่อแม่เลิกกันตั้งแต่ 2 ขวบ พ่อไปทางแม่ไปทาง ไม่มีใครสอน อยู่กับป้าแต่เราเรียกแม่ เพราะเขาเลี้ยงเรามา เลี้ยงแบบปล่อยๆ ลุยๆ มันเลยไม่ได้ผูกพันอะไรมาก

ยุ้ยจะกลับมาไทยปีละครั้ง กลับมาทีงานยาวเลยผู้จัดการเตรียมไว้รอ กลางวันทำงาน ตอนเย็นก็ไปเที่ยวผับ รถก็จะมารอรับเยอะเลย อยู่บ้านก็เปิดแอร์ทิ้งไว้ทั้งวันไม่มีคนอยู่ก็เปิด เป็นคนไม่สนใจอะไรเลย ทำงานเหนื่อยแล้วก็ไปเที่ยว ชีวิตเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ไปหาครอบครัวเลย”

เริ่มดาวน์ลงเมื่อไหร่?
“ช่วงที่ติดเที่ยวค่ะ คือไปเที่ยวกลับมาเช้าก็ต้องไปทำงานเลย บางทีก็ไม่ไปทำงานเพราะเที่ยวเมาไปไม่ไหว มันเสียงาน ทุกคนก็เตรียมตัวกันหมด เขารอเราคนเดียว คือตอนนั้นอยู่เมืองนอกด้วยนะ เที่ยวเยอะจนทนไม่ไหว ตอนนั้นยุ้ยไปทำอยู่อิตาลีจนเอเจนซี่ไม่ไหว ต้องส่งยุ้ยก็กลับไทยค่ะ”

พอกลับมาไทยแล้วยังไงต่อ?
“กลับมาก็รับไม่ได้ กลายเป็นคนติดสบาย ติดเมืองหรูติดใช้เงิน พอมาถึงสภาพบ้านเราแย่จังเลย ตอนนั้นแม่ก็มีสามีใหม่ เราก็ไม่ค่อยใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขา พอกลับมาถึงไม่อยู่บ้านเลยนั่งแท็กซี่ไปบ้านผู้จัดการเลย ไปอยู่บ้านผู้จัดการเพราะสะดวกสบายทุกอย่างและเป็นอิสระด้วย บ้านหลังยี่สิบสามสิบล้านอยู่สบาย ติดสบายแล้วรู้สึกว่าปรับตัวกับคนไทยไม่ได้

คือเราชินไปแล้วการทำงานที่ต่างประเทศเขาไม่มานั่งจู้จี้จุกจิกกับเรา พอมาเมืองไทยก็มีงานอยู่ ก็ไปวีนแตกใส่เขานะ บางทีไปทำงานดูเสื้อผ้าแล้วรู้สึกเฉยๆ ก็กลับเลย บางทีแฟชั่นโชว์ไปเขาสั่งทำนู่นนั่นนี่ ก็พูดใส่โทรโข่งเลยว่าเรารับไม่ได้ที่เขาสั่งเรา ไม่ชอบอยู่ใต้อำนาจใคร เราเป็นอิสระตั้งแต่เด็ก”

เพราะมีชื่อเสียงเลยกลายเป็นคนอีโก้เราสูง?
“ใช่ค่ะ อีโก้เรามี เราไม่ยอมใคร คือไม่อ่อนให้ใครเลย ฉันเป็นแบบนี้ ฉันมั่นใจ แต่จริงๆ ติดนิสัยฝรั่งมา เรื่องการพูดกดดันโจมตี เราอยู่ในแวดวงฝรั่งหมดเลย เราคลุกคลีกับฝรั่งเยอะ สำเนียงเราเป็นฝรั่งเลย กลับมาถึงคนไทยก็ว่าเราดัดจริต เพราะเราพูดไทยไม่ชัด (หัวเราะ) ก็ตลกดี”

ตอนมีเงินเยอะ เพื่อนกินเยอะไหม?
“เยอะสิ เราต้องเป็นคนจ่าย ถ้าเขาไม่รีบควักเราก็ต้องควัก เพราะเราเป็นคนขี้รำคาญ แต่ก็ถือว่าเราทำงานได้ เรามีรายได้เยอะกว่า แล้วเราก็มีความสุขที่ได้จ่าย ไปกินสเต๊กจ่ายเป็นพันก็กิน ไปกินที่มันเลิศๆ หรูๆ”

มายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดตอนไหน?
“ตอนที่อยู่นิวยอร์ก ไปเที่ยว ก็ขอเขาลองเพราะอยากลองเองค่ะ พอลองปุ๊บรู้สึกว่ามันดี มันทำให้เราไฮเปอร์ ตื่นเต้น มันอะเมซิ่งมากๆ เลย กินเข้าไปแล้วคึกคัก แต่มีเพื่อนบางคนเขาก็ห่วงบอกว่าอย่าใช้เยอะนะ แต่เราไม่ฟังจนสุดท้ายเราก็ติดมัน

ยุ้ยติดโคเคน แล้วก็พวกเห็ดขี้ควาย พวกยาอี ตอนนั้นยาอีกำลังฮอต แต่ไม่ใช่ยาบ้านะ เป็นพวกยากล่อมประสาท ยาเลิฟ”

รู้ว่าตัวเองติดยาตอนไหน?
“ตอนที่เลิกมันไม่ได้ถึงรู้ว่าเราติดมันแล้ว ติดตั้งแต่อายุ 21-24 ประมาณ 4 ปี แต่ตอนแรกไม่เยอะนะ ก็ค่อยๆ หนักขึ้น ตอนนั้นที่กลับเมืองไทยเพราะเหตุผลนี้ ไม่สบาย เทคหนัก ทำงานหนัก เที่ยวดื่มหนักทำงานร่างกายเราไม่ไหว ปาร์ตี้ตลอดเอเจนซี่เลยให้กลับไทย ไม่ได้ไล่ออกนะ แต่ให้กลับมาพักก่อน

ดีขึ้นค่อยไปทำงาน ช่วงที่ติดยาหนักๆ ตอนนั้นซึม เบลอ ไม่มีความสุข ยิ่งเป็นคนขาดความอบอุ่นตั้งแต่เด็ก ยิ่งรู้สึกทรมาน เหมือนตายทั้งเป็น รักษาตัวอยู่นานเหมือนกัน”

ทุกวันนี้ยังติดบุหรี่-เหล้า อยู่ไหม?
“คือบางทีเข้าสังคมมีบ้าง อาจจะดื่มไวน์ เบียร์ แต่ไม่บ่อยค่ะ เพราะคิดว่าเราหลุดมาจากตรงนั้นแล้ว แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ กินเป็นอาหารเช้าเลยค่ะ (หัวเราะ) กินเป็นวิตามินเลย เช้ามาต้องกินเบียร์ก่อนอันดับแรก แต่ตอนนี้ไม่แล้ว บุหรี่เหล้าเบียร์ลดลง แต่ยาเสพติดไม่ยุ่งเลย โชคดีที่ตัวเองได้ชีวิตใหม่กลับมา”

ฝากข้อคิดให้เด็กรุ่นใหม่อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด?
“อยากให้เป็นคนดีไม่ใช่สวยแต่ภาพลักษณ์ อยากให้โน้มน้าวจิตใจมาเรื่องธรรมะเยอะๆ คิดดีทำดีก็โอเคแล้ว เรื่องยาเสพติดอย่าไปลองเลย อย่าไปอยากลอง มันไม่ดีหรอก หันมาเล่นกีฬาเยอะๆ ดีกว่า

แล้วก็อยากจะให้ทำดีดูแลคุณพ่อคุณแม่ เรียนหนังสือให้จบ ถ้าเรียนอยู่ก็ไม่อยากให้เลิกเรียนแล้วมาทำงานในวงการ ให้เอางานในวงการเป็นงานอดิเรกดีกว่า เรียนให้จบก่อนเพราะว่าถ้าเรามีอาชีพที่ดี เรียนจบเราจะได้ทำงานดีๆ เราจะได้มีความรู้ไม่มีใครหลอกเราได้”

ยังคิดถึงการเดินแบบบ้างไหม?
“คิดถึงค่ะ อยากเล่นละคร อยากเป็นตัวละครตัวนี้จังเลย ถ้าเป็นนางแบบ เราใส่ตัวนี้จะเป็นยังไง จะสวยไหม ถ้าเดินนะเราจะเดินให้ดีกว่านี้ ไม่เดินอย่างนี้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรา”

ไปไหนมาไหนคนยังจำเราได้ไหม?
“จำได้ค่ะ คือโทรมมากหน้าตาไม่แต่งไปเซเว่น แล้วพนักงานจำเราได้ ถามว่าใช่พี่ยุ้ย รจนา รึเปล่าคะ ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้แต่งหน้าเลย เราก็ไม่พร้อมไม่อยากจะถ่ายรูป แต่เขาก็ปลื้มเราไง

ดีใจที่มีคนจำเราได้ เหมือนเขาเป็นกำลังใจ เป็นแฟนคลับเรา เขาอยากเห็นผลงานของเรา ติดตามเราก็ดีใจค่ะ อยากทำให้เขาเห็น ได้ชื่นชมกับเราไปนานๆ เขาก็บอกให้สู้ๆ นะ อยากเห็นเราเป็นนางแบบมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเมื่อก่อน”

หลายคนยังภูมิใจในตัวยุ้ย?
“เพราะอย่างนี้ไงยุ้ยถึงรู้สึกติดค้างอยู่ คือเราเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง วันนึงเราได้ทำเพื่อประเทศ เพื่อผู้หญิงไทย เพื่อศักดิ์ศรีของเรา หรือศักดิ์ศรีของนางแบบไทย เราก็ภูมิใจนะที่ครั้งหนึ่งเราได้ทำ

บางครั้งก็มีความรู้สึกน้อยใจเหมือนกันนะ เราเคยทำดีแต่ทำไมเราถึงตกต่ำ ทำไมคนไม่ให้โอกาสเราเลย เพื่อนที่มีหายหมด ก็คิดน้อยใจ แต่ไม่เป็นไร มันผ่านมาแล้ว วันนี้เราก็พยายามทำในสิ่งที่ดีๆ หลังจากที่ผ่านเคยผ่านเรื่องร้ายๆ มาดีกว่าค่ะ”