หลังจากที่ ข้าวโพด สมิตินันทน์ หนึ่งในผู้เสียหายที่ถูก นานา ไรบีนา ชักชวนลงทุนจนกลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ
ล่าสุดข้าวโพดได้มาเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตในช่วงที่เจอกับปัญหาลูกใหญ่ที่ทำให้ชีวิตและครอบครัวของข้าวโพดต้องเปลี่ยนไปเพราะความไว้ใจและเชื่อใจเพื่อนรักมาก ให้ทุกคนได้ฟังในรายการ sisterhood พอดแคสต์ที่ดำเนินรายการโดย คุณแนท ธนวลัย วัชรพล บน YouTube ของ Mirror Thailand ซึ่งไทยรัฐบันเทิงได้สรุปเรื่องราวคร่าวๆ ที่ข้าวโพดมาเปิดใจเล่าให้ได้ฟัง
- มาพูดคุยวันนี้ข้าวโพดบอกว่าเพื่อให้เป็นบทเรียนชีวิต
- ตอนนี้สภาพจิตใจเริ่มดีขึ้นมาก แต่ช่วงแรกๆ แย่มาก แต่ทุกๆ วันมันดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะกำลังใจ นอกจากกำลังใจก็ต้องมาจากตัวเองด้วย ที่ต้องปลงให้เป็น
- ข้าวโพดยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นโรคกลัวการไม่มีความสุข และชีวิตคนเรามันสั้น ก็เลยคิดว่าการที่จะมานั่งเศร้า วิตกจริต เลยคิดว่าถ้าชีวิตมันแย่ มันจะแย่ลงไปอีก ก็เลยปฏิเสธที่จะให้ตัวเองมานั่งเศร้าตลอดเวลา
- ข้าวโพดจึงเลือกวิธีดูแลตัวเอง อ่านไบเบิ้ล อธิษฐานถึงพระเจ้า ไปพบหมอจิตเวช อยู่กับเพื่อน อยู่กับครอบครัวก็ช่วยทำให้แต่ละวันมันสดใสขึ้นเรื่อยๆ
- แต่มันก็มีวันที่ข้าวโพดดาวน์ เวลาไปอ่านข่าวฝั่งเรา หรือฝั่งเขา จิตตกหมด
...
- หลายคนอาจจะมองว่าข้าวโพดใช้ชีวิต ทำตัวหรูหรา เม้าท์มอยกับเพื่อน แต่ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะตนไม่สามารถทำตัวให้ตกต่ำไปมากกว่านี้ ตนจะต้องมานั่งเศร้า นั่งร้องไห้ในไลฟ์ เล่าว่าชีวิตเราแย่ขนาดไหน เราก็ไม่ทำ เวลาอยู่กับเพื่อนก็จะทำให้ตัวเองมีความสุข
- ข้าวโพดเข้าใจการที่คนอื่นจะคิดลบกับเราในทางโซเชียล มันก็เป็นเรื่องสนุกปาก บางคนสงสารอีกฝ่าย บอกว่าคนล้มอย่าข้าม ทั้งๆ ที่พวกตนนั้นเป็นคนล้ม
- พวกเรามีชีวิตอยู่ดีๆ เดินอยู่ดีๆ แล้วถูกโกง ถูกหักหลัง เหมือนถูกถีบ 2 ขาให้ล้มลง คนที่ล้มคือพวกเรา แล้วพวกเราก็รู้สึกถูกสังคมมองว่าเป็นตัวร้าย ทั้งที่เราเป็นคนล้มจริงๆ
- ฝั่งนั้นเขาอาจจะล้มจริงๆ และถ้าเขาล้มก็เป็นเพราะตัวเขาเอง ต้องแยกแยะให้เป็น
- ข้าวโพดยอมรับว่าข่าวแบบนี้ทำให้ตนนั้นจิตตกเหมือนกัน มันไม่แฟร์ที่คนมองพวกตนแบบนี้ทั้งๆ ที่พวกตนก็เป็นผู้เสียหาย เงินทองก็ไม่เหลือ จิตใจก็แย่
- ถึงแม้จะเห็นข่าวที่เศร้าๆ ของอีกฝ่าย ข้าวโพดก็รู้สึกแย่ตามไปด้วย รู้สึกว่าพวกเราทุกคนมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร จิตตก เศร้า เสียดาย
- ยอมรับว่ามันคือบทเรียน แต่ทำไมบทเรียนถึงต้องแรงขนาดนี้ ต้องโหดร้ายขนาดนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นถ้าจิตไม่แข็งพอก็ทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้เลย แต่ตนไม่อยากเป็นเหยื่อซ้ำซ้อน
- ข้าวโพดยอมรับว่า รับไม่ได้ที่ถูกหลายคนไม่เห็นด้วยและพูดถึงตนในเชิงลบ รู้สึกว่าทำไมตนต้องถูกกระทำซ้ำซ้อน ทำไมคนไม่เห็นใจตน
- แต่ข้าวโพดก็คิดได้ว่า ขนาดพระเยซูเป็นผู้ประเสริฐทุกอย่าง ยังมีคนรักและคนเกลียด
- แต่ทุกวันที่ออกไปไหนคนส่วนมากจะให้กำลังใจ และเข้าใจ แต่มีแค่คนในโซเชียลที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอตัวตนจริงๆ ของเขาไหม ที่คอมเมนต์อะไรที่ไม่ค่อยน่ารัก คนพวกนี้เขาอาจจะไม่รู้จักเราจริงๆ เขามีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนั้น
- แต่อยากให้เขาลองคิด ถ้าเกิดวันหนึ่งเป็นเขาที่โดนคนที่รักและไว้ใจทำแบบนี้ ยังจะพูดอะไรดีๆ ได้อยู่อีกเหรอ ไม่มีใครโอเคหรอก แต่เขาพูดหรือคิดอะไรแบบนี้ได้เพราะเขาไม่ได้ถูกกระทำ ซึ่งตนก็เข้าใจ เราไปเปลี่ยนใครไม่ได้
- เรื่องนี้ที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต จิตใจข้าวโพดบอบช้ำ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไม่ใช่แค่ 2 ครอบครัว
- ข้าวโพดยอมรับว่าตัวเองดูเป็นคนแรง เสียงดัง พูดตรง ดูเป็นตัวร้าย แต่ไม่ได้หมายความว่าข้างในเราจะแรง ตนเป็นแค่หมาเห่าใบตองแห้ง แค่เห่าอย่างเดียว ไม่มีอะไร เป็นคนเซนซิทีฟ จิตใจงดงาม เป็นคนใจกว้าง เป็นคนจริงใจกับคนที่รัก ถ้ารักใครให้เกินร้อย
- ข้าวโพดเป็นคนไม่มีกำแพงกับใคร กำแพงจะเกิดขึ้นทีหลัง ใครพูดอะไรข้าวโพดจะเชื่อหมด จะคิดว่าทำไมเขาต้องมานั่งโกหก ซึ่งเพื่อนๆ ชอบว่าข้าวโพดโลกสวย
- หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เพื่อนๆ ก็จะบอกตนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ได้เรียนรู้มันหรือยัง แต่ถึงจะเรียนรู้ แต่ข้าวโพดก็ยังเป็นคนๆ นั้นอยู่ คนที่มองโลกในแง่ดี มองคนในแง่ดี เรื่องที่เกิดขึ้นแค่ทำให้ตนคิดเยอะขึ้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนตนไป
...
- หลังจากที่เกิดเรื่อง ก็มีคนเข้าหาเยอะขึ้น ทั้งเพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันนาน หรือคนใหม่ๆ แต่ตนก็ปฏิเสธมากขึ้น
- เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการคัดเพื่อนได้มากขึ้น บางคนทักมาถามว่าโอเคไหม ส่งของมาให้ บางคนส่งข้อความมาหา มันทำให้เห็นว่าใครที่ยังรักเราอยู่ คนที่เขามาต้องรักตนจากตัวตนของเราจริงๆ
- ข้าวโพดเล่าว่า เพื่อนที่ทำร้ายจิตใจตนเป็นคนดีมาก เป็นแม่พระเลยแต่คนที่คิดว่าเป็นแม่พระกลับทำกับเราได้ขนาดนี้ เราไม่สามารถดูคนออกขนาดนั้น มันต้องเจอเอง แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอ
- หลังจากที่เกิดเรื่อง ข้าวโพดนั่งคุยกับลูกๆ อยู่หลายวัน เพราะลูกก็คิดถึงเพื่อนสนิทของเขามาก เราเป็นครอบครัวที่เป็นเพื่อนกันหมด ลูกก็คิดว่าเมื่อไหร่จะได้เจอเพื่อน เมื่อไหร่จะได้คุยกัน ตนก็ต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันยาก ลูกร้องไห้เกือบทุกวันในช่วงแรก
- แม้จะมีบางครั้งที่ลูกอยากจะคุยกับเพื่อน แต่ตนก็จะบอกว่า แม่ก็ต้องการกำลังใจ และลูกก็เข้าใจเพราะเห็นแม่และพ่อร้องไห้ เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันหลังจากเรื่องนี้ บ้านของเราระเบิดเลย
- ข้าวโพดเล่าว่า สามีเคยเตือนไว้แล้วว่าอย่าประมาท แต่ตนกลับประมาทและโลภ ถึงจะเป็นเงินของข้าวโพดแต่ก็เป็นเงินของทั้งครอบครัว มันทำให้สามีเสียใจมาก พอทุกอย่างตกตะกอน เราก็จับมืออธิษฐานกันทุกคืนแต่กว่าจะมาถึงจุดนี้เราก็เจอเรื่องโหดร้ายกันมา
- ตอนนี้ครอบครัวข้าวโพดแข็งแรงมากขึ้น อุปสรรคและปัญหาจะหล่อหลอมให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น
- ข้าวโพดไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย พ่อแม่เป็นข้าราชการ ส่งตนไปเรียนเมืองนอกได้แค่ปีเดียว หลังจากนั้นตนต้องเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารตั้งแต่อายุ 15 จนเรียนจบ ถึงจะทำงานหนักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตนชีวิตแย่ แต่เป็นเด็กแกร่ง ชีวิตข้าวโพดไม่ค่อยเจอความผิดหวัง
...
- ข้าวโพดเลือกที่จะไม่ให้คนๆ หนึ่ง คนกลุ่มหนึ่ง มาทำให้ตนเสียใจ เพราะยังมีคนอีกหลายร้อยคนที่เขารักเรา เพราะฉะนั้นจะต้องให้คุณค่ากับคนที่รักเราด้วย จึงทำให้คิดได้
- หลังจากที่เกิดเรื่อง มุมมองความสุขของข้าวโพดเปลี่ยนไป อะไรที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ และอะไรคือเรื่องที่มีความสุขจริงๆ
- ก่อนหน้านี้ข้าวโพดชอบเที่ยวมากๆ แต่หลังจากเกิดเรื่องทำให้รู้ว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากการไปเที่ยวแล้วใช้ชีวิตหรูหรา
- หลังจากที่เกิดเรื่อง ทำให้ข้าวโพดคิดได้หลายอย่าง ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่การไปเที่ยวต่างประเทศ มีกระเป๋าหรู หรือไปกินอาหารแพงๆ แต่บางครั้งแค่อยู่กับครอบครัวพ่อแม่ลูกก็มีความสุขแล้ว ทำอาหารกินกันในครอบครัวก็มีความสุขแบบเรียบง่าย
- ข้าวโพดคิดว่า พระเจ้าคงอยากจะสอนให้ตนมีความสุขแบบเรียบง่ายแบบจริงๆ เกิดเรื่องไม่กี่เดือน ทำให้ความคิดของตนเปลี่ยนไป
- ตอนนี้เห็นหมดเลยว่าความสุขที่แท้จริงแบบไม่ใช้เงินทองมันมีความสุขมากกว่า
- ข้าวโพดรู้สึกเหมือนได้ตัดเนื้อร้ายออกไป มองโลกดีขึ้น และหวังว่าเพื่อนๆ ที่เหลืออยู่จะเป็นเพื่อนที่จริงใจได้เผาผีกันไปจนตาย
...
- ถามว่าให้อภัยเขาไหม ไม่อยากจะโกหก ยังไม่ให้อภัยเขา เพราะมันยากมาก แต่ในใจอยาก ยังเป็นห่วงจิตใจเขาหลังจากที่เห็นข่าว เป็นห่วงหลานๆ เรายังรู้สึกขนาดนี้ แล้วเขาจะรู้สึกขนาดไหน ตนรู้ว่าวันที่จะให้อภัยเขาจะต้องมาถึง เพราะอยากให้อภัย เวลาและสถานการณ์จะเป็นตัวช่วยทุกอย่างในชีวิต
- การให้อภัยก็ไม่ใช่เพราะเขา แต่เพราะตัวเราเอง เพราะการที่เราไม่ให้อภัยมันเหมือนมะเร็งเกาะกินใจเรา มันทำให้เราไม่มีความสุข
- ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะเป็นเพื่อนกับเขา แต่จะไม่ลงทุนกับเขา เพราะไม่อยากเสียเพื่อนและไม่อยากเสียเงิน
ติดตามชมรายการ sisterhood แบบเต็มๆ ได้