ล่าสุด เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ได้มานั่งในรายการ โหนกระแส ทางช่อง 3 พร้อมกับเปิดวิธีคิดเรื่องการไลฟ์ขายของของตัวเองแบบหมดเปลือก ไม่มีกั๊ก ทำยังไงถึงกวาดยอดขายสินค้าทะลุ 200 ล้านกว่าบาทได้ ซึ่ง เจนนี่ ได้เล่าจุดเริ่มต้นของการไลฟ์แบบมาราธอนในช่วง 4 วันที่ผ่านมาว่า
- จุดเริ่มต้นของการไลฟ์จนเกิดเทศกาลเจนนี่ ก็คือ ตอนแรกแม่เกตุขึ้นไลฟ์ก่อน แล้วแม่ก็พูดรายละเอียดไป แต่หนูรู้สึกว่าสังคมมันคาใจ หนูก็เลยขึ้นไลฟ์ในมุมของหนู และพูดทุกอย่างตามข้อเท็จจริง สิ่งที่อึดอัดมาโดยตลอด เพราะอยากให้มันจบในวันนี้ และก็คิดว่ามันจบแล้ว แต่พอพูดจบคนดูก็ยังอยู่ที่ 300,000
- ด้วยความที่หิวเงิน สายเลือดแม่ค้า เรานั่งร้องไห้อยู่ ก็เลยถามคนดูว่า "หนูขอขายของได้มั้ยคะพี่" คนดูก็บอกว่า ได้ๆ หนูก็เลยปักตะกร้า จนขายหมด แล้วหนูก็เลยบอกว่า ของหนูหมดแล้ว ใครมีของให้หนูขายบ้าง แล้วก็บอกว่าถ้าใครมีของอยากให้ขายก็เอามาได้เลย
- แล้วก็มีเจ้าของแบรนด์ทักมาถามว่า ที่บ้านมีสินค้านี้ไหม ขึ้นให้พี่หน่อย 10 นาที ก็เลยคิดว่าจะคิดเท่าไหร่เพราะหนูไลฟ์ 1 ชม. 200,000 บาท ก็เลยคิด 10 นาที 50,000 บาท พอขายได้ คนแรกได้ยอดไปประมาณ 3 ล้านบาท กลายเป็นว่าคนในไลฟ์ก็เห็นและถามว่าบ้านเจนนี่อยู่ไหน จะส่งแกร็บสินค้าไปให้ ก็มาเรื่อยๆ วันแรกไลฟ์ตั้งแต่ 11 โมง ไปจนถึง 6 โมงเช้า ซึ่งวันแรกได้ยอดทั้งหมด 24 ล้านกว่าบาท
...
- เจนนี่บอกว่า ยอดไลฟ์ทั้งวันทำไปได้เกือบ 200 แบรนด์ ซึ่งทุกอย่างมันเรียลมาก ฟันก็ไม่ได้แปรง น้ำก็ไม่ได้อาบ เอาเงินไว้ก่อน ก็เลยเป็นอย่างที่ทุกคนเห็น
- พอวันที่ 2 ก็เลยเปลี่ยนให้แบรนด์เขามาพูดขายเองดีกว่า เลยปรับเปลี่ยนการตลาดใหม่ โดยจะเป็นการวิดีโอคอลแบรนด์ สำหรับแบรนด์ปกติทั่วไป แต่สำหรับพี่ๆ ดารา อินฟลูฯ ที่สามารถเพิ่มเอนเกจเมนต์ให้กับการไลฟ์ได้ เราก็จะมีการเชิญมาที่บ้าน
- ส่วนการคิดเงิน เริ่มต้นเลยคือปกติหนูคิดค่าไลฟ์ 1 ชม. 200,000 บาท แต่ทีนี้ลูกค้าเยอะมาก เลยมาคิดว่าเราจะทำยังไงไม่ให้ลูกค้าหลุดมือ เลยมาปรับวิธีคิดใหม่เป็นแบรนด์ละ 10 นาที ได้ 50,000 บาท แต่มันมีกติกาคือให้แค่ 1,000 ออเดอร์ และหนูขอออเดอร์ละ 50 บาท เท่ากับว่าได้ 50,000 บาท แต่ถ้าสมมติขายหมดตั้งแต่ 2 นาที แล้วเหลือ 8 นาที หนูจะถามแบรนด์ดีลสดเลยว่า พี่จะไปต่ออีก 1,000 ออเดอร์ไหม ก็แปลว่าพี่ต้องจ่ายหนูอีก 50,000 บาท ก็เป็น 100,000 บาท และพี่ๆ เขาก็ไปต่อ จนมันแตก 1 หมื่นออเดอร์ 2 หมื่นออเดอร์ แล้วทุกแบรนด์ก็เอาแบบนี้กันหมด
- ส่วนพี่ๆ ดารานักแสดงที่เขาเริ่มรู้ว่าไลฟ์แบบนี้ก็เพราะว่าวันที่ 2 คนดูลดลงเหลือแสนกว่า ก็เลยนั่งคิดว่าเราจะปรับยังไงเพื่อให้คนดูมาดูเหมือนเดิม โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อย และเราก็รู้จักแบรนด์ที่มีพี่ๆ คนดังเยอะมาก และเป็นคนใกล้ตัว เราก็การันตียอดขายขนาดนี้ ก็เลยให้ผู้จัดการดีลมา พอดีลมาก็เป็นตัวอย่างให้พี่ๆ เขา เขาก็บอกต่อๆ กัน
- ซึ่งเราพูดตรงๆ กับลูกค้าทุกคนว่า ทำไมถึงให้พี่ๆ ดาราแทรกคิวได้ ไลฟ์ก่อนได้ทั้งๆ ที่เขามาทีหลัง เพราะมันเป็นการเพิ่มเอนเกจเมนต์ อย่างเช่นถ้าเจนนี่ขึ้นสินค้าคุณตอนนี้ ได้คนดู 80,000 แต่ถ้าขึ้นหลังสินค้าของพี่หนุ่ม จะได้คนดู 400,000 คุณจะเอาตอนไหน
- และถ้าเอาสินค้าที่เป็นเจ้าใหม่มาขึ้นติดกัน 5 ตะกร้า เอนเกจเมนต์จะไม่ขึ้น แต่ถ้าเราเอาสินค้าที่ติดลมบนขึ้นเอนเกจเมนต์ก็เปิด TikTok ก็จะส่งคนมา เพราะเขาเป็นแพลตฟอร์มที่ฉลาดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นแผนหน้างานที่ให้มันโฟลว์มากที่สุด และทุกคนได้ประโยชน์มากที่สุด
- เจนนี่บอกว่า ตัวเองเข้ามาเล่น TikTok ตั้งแต่มันเปิดใหม่ๆ และพยายามจับทางให้ถูก จนกระทั่งรู้ว่า TikTok ชอบความเรียล บวกกับดราม่าที่ผ่านมาทั้งหมดมันสะสมมา จนกลายเป็นส่งให้มีเอนเกจเมนต์และยอดผู้ติดตามกว่า 19 ล้านคน
...
- เจนนี่บอกเหตุผลที่ทำไมไลฟ์มา 4 วันแล้ว แต่ยังไม่มีระบบการจัดการที่ดีขึ้น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ไม่อยากทำแบบนั้น อยากให้ทุกอย่างมันเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มั่นใจว่าคนดูชอบหนูที่แบบเป็นนี้ บ้านๆ เราอย่าปรับเปลี่ยนอะไรที่มันมากเกินไป มันจะกลายเป็นว่าเราขายอย่างเดียว แต่ไม่เสิร์ฟอะไรให้คนดูเลย ซึ่งมันหนักมากกับการที่ทำให้คนดูอยู่กับเราจนถึงตี 4 ตี 5
- เคยเห็นคนดูตัดพ้อว่า เพราะเขาไม่มีทีมโปรดักชั่น หรือไม่มีทีมงานไลฟ์แบบยิ่งใหญ่ แต่ความจริงคือเขาคิดไปเอง เพราะทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยการลงมือทำ เลยอยากทำให้เขาเห็น ทำแบบง่ายๆ
- เราไม่จำเป็นต้องหวงวิชา เพราะมันฟีเวอร์มาก และเราได้ประโยชน์จากมันมากๆ เลยไม่ใช่เรื่องที่เราควรเก็บไว้คนเดียว ทุกคนควรได้ประโยชน์จากตรงนี้ให้มากที่สุด
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม
...