รายการ “โหนกระแส” ทางช่อง 3 พูดคุยกับ พริม ณัฐชา ชุณหะ พร้อมด้วย ศสา อดีตผู้จัดการส่วนตัวของนางเอกสาว ออม สุชาร์ มานะยิ่ง ที่เคยมีหุ้น 4% กับแบรนด์เครื่องสำอาง Fleen Beauty ซึ่งทั้งคู่เล่าถึงจุดเริ่มต้นการทำแบรนด์ Fleen Beauty โดยที่พริมและนางเอกสาวมีหุ้นเท่ากันคนละ 48% ส่วนศสามีหุ้น 4% ก่อนจะมีปัญหาเพราะการขายหุ้น 4% ของศสาให้กับออม
ซึ่งทางรายการได้เปิดคลิปในวันที่ ออม-ศสา เซ็นซื้อขายหุ้น Fleen Beauty เป็นจำนวน 1 หมื่นหุ้น จำนวน 2.5 ล้านบาท เมื่อ 24 ม.ค. 2568 ซึ่งฝ่ายออมเป็นคนถ่ายไว้ รูปแบบการถือหุ้นของบริษัทก็เป็นออม 52% และพริม 48%
โดยศสาบอกว่าการถูกขอซื้อหุ้นจากข้อมูลฉ้อฉลทุกอย่าง เราไม่ได้ตั้งตัวว่าเขาจะอัดวิดีโอ แต่ก็ยินดีให้อัดเพราะเขาร้องขอ และยินดีเซ็นเพราะรู้ไม่ทัน ส่วนเรื่องขอเงินปันผลปี 2024 จากทางเขา เราถามเขาหลังจากนั้นนานแล้ว
แต่เรื่องที่ศสาขายหุ้นให้ออม ศสาก็บอกไม่ได้ เพราะเซ็นสัญญารักษาความลับในการซื้อขายหุ้น ถ้าข้อมูลรั่วจะถูกปรับจำนวนเงิน 500,000 บาท โดยห้ามเอาเรื่องนี้ไปพูดที่อื่น และไปพูดกับพริม
...
ด้านพริมบอกว่าตนไม่ทราบตั้งแต่ต้นว่าศสาขายหุ้นไป มารู้อีกทีเดือน 3-4 ซึ่งทางพริมก็ทราบตอนที่คุยกันในที่ประชุม โดยบอกว่า เป็นการประชุมว่า บริษัทมีปัญหา พริมเลยบอกว่า ถ้าบริษัทมีปัญหาก็ต้องแจ้งเขา (ศสา) ให้รู้ด้วย ทางนักแสดงก็เลยบอกว่า ไม่ต้องโทรไปแล้ว เพราะซื้อหุ้นไปแล้ว 4%
แต่มันผิดแปลกตอน ก.พ. ที่เขาบอกว่าจะปลดพริมออกจากกรรมการ ก็แปลกใจเพราะว่าเป็นไปไม่ได้ หุ้นเราก็เท่ากัน แต่เขามั่นใจมากว่าปลดเราให้ได้ จนมารู้จากปากดาราว่าถูกซื้อไป กลายเป็นว่าหนังสือปลดกรรมการ เปลี่ยนแปลงกรรมการ เปลี่ยนแปลงการโอนเงิน มันกำลังจะเกิดขึ้นกับเรา และช่วง เม.ย. ก็ได้นำหุ้นของพี่ศสามานับรวมและปลดเราจากกรรมการ กรรมการใหม่ก็แต่งตั้งเข้าไปเป็นครอบครัว นำตนเอง และเปลี่ยนแปลงให้เซ็นคนเดียวพร้อมตราประทับ
ซึ่งทางพริมพยายามคุยกับออมตลอด แต่ไม่ได้มีการพูดคุยตรงไปตรงมากับออมคนเดียว เพราะมีคนอื่นรอบๆ อยู่ หนุ่มถามว่าหมายถึงแอมป์ พิธาน หรือเปล่า พริมบอกว่าขอไม่เอ่ยดีกว่า
ก่อนจะเล่าต่อว่าหลังถูกปลดก็ถูกตัดสิทธิ์อะไรหลายๆอย่าง เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบหลังบ้านได้ ไม่สามารถเข้าถึงระบบโซเซียลมีเดีย ไม่สามารถเห็นยอดขาย เรียกว่าโดนทวงสิทธิ์คืน หุ้นมีเท่าเดิม แต่สิทธิ์ไม่เหลือเลย แล้วจะมีหุ้นไว้ทำไม เรื่องปันผลก็ไม่ได้ เงินเดือนก็ไม่ได้ มีการลบวิดีโอที่พริมทำคอนเทนต์ บอกเล่าการสร้างแบรนด์ พอจัดงานอีเวนต์ก็ไม่เคยถูกเชิญไปร่วมงานเลย ถามว่าเขาขอซื้อหุ้นไหม เขาบอกว่าให้แค่ 10 ล้าน เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการกฎหมายด้วย ซึ่งพริมมองว่ามันควรจะมีบริษัทกลางมาตีมูลค่าหุ้น ให้มันเป็นทางการมากกว่านี้
จากนั้นศสาเล่าว่า พอทราบเรื่องว่าบริษัทไม่ได้ขาดทุน แถมมีกำไรด้วยซ้ำ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอก ก็เลยจะขอคืนเงิน 2.5 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืน แต่เขาปฏิเสธ และถูกทางออมฟ้องในข้อหาละเมิดการเก็บความลับ 5,500,000 บาท และข้อหาทำให้ถือครองหุ้นโดยไม่ปกติสุข 5,000,000 บาท
เพราะเราไม่ได้เซ็นตราสารการโอนหุ้น มันขาดไปอีกอย่าง คือนอกจากสัญญา มันมีเอกสารที่น้องสาวของนักแสดงส่งมาให้ มันเป็นตราสารการโอนหุ้น แต่เรายังไม่ได้เซ็น ไม่อยากเซ็นเพราะไม่สบายใจ เลยรอให้ทุกอย่างกระจ่างก่อนดีกว่า แต่พอเขาฟ้องมาจากนั้นเราก็ฟ้องกลับในข้อหาการถูกซื้อหุ้นไปแบบฉ้อฉล ถูกปกปิดข้อมูลที่เป็นความจริง
...
ด้านพริมเผยฟ้องออมในเรื่องการเอาเรื่อง 4% มาประชุมกันมันไม่ถูกต้องตามกฏหมาย ในขณะที่ออมก็ฟ้องพริมในประเด็นเรื่องคู่ค้าแข่ง (RAD Cosmetics) อย่างเดียว จากนั้น อรรณพ บุญสว่าง ทนายความของพริม เล่าว่า ทางฝ่ายออมแต่งตั้งกรรมการใหม่ มีการแตกหุ้นให้คนในครอบครัว โหวตพรีเซนเตอร์ พริมบอกว่า ทางบริษัทมีการประชุมกัน โดยมีการโหวตให้ออมมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ มูลค่าจ้าง 9.5 ล้านบาท
ซึ่งทนายอธิบายว่า เขามีการแตกหุ้นบริษัท ให้ทางครอบครัว จากนั้นโหวตให้ออมมาเป็นพรีเซนเตอร์ คือลดตัวเองมาเป็นลูกจ้าง อาศัยคนใกล้ชิดโหวตให้จ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งในทางกฎหมายทำได้ เพราะกฎหมายบอกว่าบรรดาผู้ถือหุ้นจะโหวตให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ ส่วนเรื่องที่เขาลดหุ้นตัวเองและให้ตัวเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ เขามีเจตนาอะไรก็ไม่รู้ จากนั้นพริมบอกว่าตนแย้งจุดนี้ไปว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะวันแรกที่มาทำแบรนด์ เราตกลงกันว่าจะไม่มีค่าตัว เพราะทุกคนมีมูลค่าของตัวเอง
ด้าน ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยา บอกว่า คุณสัญญาด้วยวาจา แต่ทางฝั่งนั้นเขาจับคุณเซ็นหมดทุกอย่างที่เป็นเอกสารทางกฎหมาย ดังนั้นในแง่กฎหมายไม่ผิด แต่ในแง่ศีลธรรมความเชื่อใจในหุ้นส่วนทางธุรกิจ เป็นผมไม่คบ
...
ดร.ตฤณห์ กล่าวต่อว่า “เคสนี้ดีนะ เพราะมันคือเรื่องที่ทุกอย่างมีหลักฐานทางกฎหมาย แต่ในด้านศีลธรรมเป็นเรื่องที่รับไม่ได้นะ และจะมีหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อการกระทำแบบนี้ นี่คือการใช้ช่องว่างทางกฎหมายและการไม่เห็นถึงเฟรนด์ชิป นี่คือการทำร้ายทั้งความรู้สึก ถือเป็นอาชญากรรมทางการเงินและเศรษฐกิจได้ ถ้ามันถูกหลอกลวงฉ้อฉลตั้งแต่แรก ถ้ามันเป็นอย่างที่พูดจริงๆ”
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม