หลังจากที่มีกระแสข่าวดาราสาวฮุบกิจการ และมีชื่อของนางเอกสาว ออม สุชาร์ มานะยิ่ง เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก่อนหน้านี้ออมร่วมทำธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอาง Fleen Beauty ร่วมกับ พริม ณัฐชา ชุณหะ แต่สุดท้ายก็มีปัญหากันจนถึงขั้นต้องขึ้นศาล ล่าสุดรายการ “โหนกระแส” ทางช่อง 3 พูดคุยกับ พริม ณัฐชา พร้อมด้วย ศสา พิมพสรณ์ ชีวภาคย์โสภณ อดีตผู้จัดการส่วนตัวของออม สุชาร์ ที่เคยมีหุ้น 4% กับแบรนด์เครื่องสำอางนี้
เริ่มต้นรายการ ศสาเผยถึงสาเหตุที่มาทำธุรกิจ โดยมองว่าอยากได้ความมั่นคง และเห็นว่าพริมเป็นคนเก่ง มีความสามารถ ทำแบรนด์ประสบความสำเร็จมาพอสมควร เลยชวนนักแสดงมาทำ เลยพาออมมารู้จักกับพริม ซึ่งตอนแรกพริมบอกว่าไม่อยากได้นักแสดง แต่ศสาบอกว่าให้เชื่อใจ ทำงานแล้วไม่มีปัญหา
ด้านพริม ณัฐชา บอกว่า เราทำธุรกิจมาก่อน มีเคสนึงที่รู้สึกว่าแยกย้ายดีกว่า หนุ่มถามตรงๆ ว่า น้ำชา (ชีรณัฐ ยูสานนท์) ใช่ไหม ที่เคยมีปัญหากันตอนทำแบรนด์ Rad Cosmetics และแยกย้ายกันไป พริมบอกว่าก็ไกล่เกลี่ยจบกันไป แยกย้ายไปเติบโต เราก็ยังอยู่ในธุรกิจของเรา แค่ปรับให้เข้ากับชีวิตเราในปัจจุบัน แต่ที่มาทำกับออม สุชาร์ เพราะเราเชื่อใจเขา พอพี่ศสาพาให้มาเจอดารา ก็เลยทำแบรนด์ใหม่ เพราะกับ Rad ไม่เข้ากับออม
...
ศสาบอกว่า วันแรกพริมบอกว่าขอหุ้นใหญ่กว่าอีกฝั่ง ส่วนเราน้อมรับหุ้นที่เล็กกว่าอยู่แล้วเพราะเราเข้าใจ แต่นักแสดงก็เคยบอกเหมือนกันว่าถ้าเขาทำ เขาขอเป็นหุ้นใหญ่เหมือนกัน แต่เราบอกเขาว่าไม่ได้จริงๆ เขาชัดเจนว่าเขาขอเป็นหุ้นใหญ่เหมือนกัน ไม่งั้นเขาไม่ทำ นักแสดงเลยยอมหุ้นน้อยกว่า
พริมบอกว่า ธุรกิจดำเนินไปด้วยหุ้น 48 กับ 48 และ 4 เพราะทางดาราต่อรองขอหุ้นเท่ากันทางเรา ซึ่งก่อนที่แบรนด์จะขาย ต้องมีวางแผนกันล่วงหน้า เรารู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง ช่วงก่อนขายเป็นหน้าที่เรา คุยกันเรื่องสัดส่วน แต่พอเปิดแบรนด์ ทางนั้นเรียกเราไปคุย บอกว่าขอไม่เซ็น เป็นคนไม่เซ็นสัญญากับใคร เขาบอกว่าเขาอยากมีความเป็นเจ้าของ จะได้หุ้นเท่ากันกับเรา
เรื่องชื่อแบรนด์คิดร่วมกัน มอบอำนาจให้ฝั่งออมไปทำเรื่องลิขสิทธิ์ทางปัญญา แต่เราต้องเซ็นด้วย เรื่องการขาย เปิดร้าน knowhow ทั้งหมดเราใส่ลงไป เรายอมปันหุ้นให้กับนักแสดง ก็เป็นหุ้น 48% คือเรา อีก 48% คือออม สุชาร์ และ 4% เป็นของศสา อดีตผู้จัดการ เพราะทางดาราต่อรองขอหุ้นเท่ากันทางเรา
ด้าน ศสา บอกว่าตอนแรกถือหุ้น 10% มันมีเรื่องที่ทำให้เหลือ 4% หนุ่มถามว่าเพราะใคร ศสาบอกว่าตอนนั้นน้องทั้ง 2 เองทำร่วมกันมา และมีการลงกันมากๆ เลย เราก็เข้าใจว่าถ้าลงกันคนละ 10-20 ล้านเราก็ไม่ไหว เลยทอนหุ้นลงมา 4% แต่จริงๆ ลงกันปกติ ไม่ได้มีการลงทุนหลายสิบล้านอย่างที่เขากล่าวอ้าง ที่พูดไม่ได้จะว่าใคร แต่อยากพูดความจริงทั้งหมดว่าเป็นยังไง
หนุ่มเล่าต่อว่า หลังจากดำเนินกิจการไปไม่นาน กลายเป็นว่าศสาเสียหุ้น 4% ไป ซึ่งออมถือว่าซื้อมาจากศสาแบบถูกต้อง แต่ศสาบอกว่า ณ วันนั้นอาจจะใช้ แต่หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่ สุดท้ายพริมถูกเอาตัวออกจากการทำงาน ครอบครัวลูกน้องถูกออกมาหมด ตอนนี้กลายเป็นออมถือหุ้น 52% เพราะซื้อหุ้นศสาไป เขาเอาญาติพี่น้อง พ่อ เข้ามาทำ ตั้งค่าพรีเซ็นเตอร์ ตั้งเงินเดือนให้คนนั้นคนนี้ โดยที่ฝ่ายพริมไม่มีสิทธิ์มีเสียง ซึ่งพริมบอกว่าพยายามคัดค้านแล้วแต่ไม่เป็นผล แต่ออมบอกว่าไม่เคยโกงใคร ทำธุรกิจตรงไปตรงมา
พริมบอกว่า วันนั้นร้องไห้เลย เพราะไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ตลอดที่ทำมาเกือบปี วันนั้นก็ถามว่าถ้าหนูไปทำธุรกิจอื่น พี่ออมโอเคมั้ย เขาบอกว่าโอเค คนเราไม่จำเป็นต้องมีธุรกิจเดียว วันนั้นก็เลยออกมาจากบ้านเขา แล้วโทรบอกเขาว่าก็ตามสัดส่วนนั้นแหละ แล้วเราก็ลุยไปด้วยกัน ก็เข้าใจแบบนั้นมาตลอด ตอนที่ตัดสินใจมาทำ Fleen ไม่ได้ไปยุ่งกับ RAD ส่วนแบรนด์ RAD เราเป็นผู้ก่อตั้ง ถามว่ายังมีชื่ออยู่ใน RAD ใช่ไหม ณ ตอนนั้นใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่
...
หนุ่มบอกว่าตรงนี้ก็สำคัญ เพราะเขาก็ฟ้องร้องว่าเราไปค้าแข่งกับ Fleen เพราะพริมมี RAD อยู่ และมาขึ้นแบรนด์ Fleen กับเขา แล้วคุณรู้ไส้รู้พุงของแบรนด์ Fleen รวมถึง RAD ถ้าจะออกโปรดักต์ RAD อาจจะออกโปรดักต์ที่คล้าย Fleen มาก่อนได้ ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งหรือเปล่าที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และควรถือหุ้นมากกว่า
พริมบอกว่า เขารู้อยู่ตั้งแต่แรกว่าเราทำ RAD งงว่าทำไมถูกหาว่าปิดบัง การที่มาทำธุรกิจกันก็คือใช้ความรู้ความสามารถในการทำแบรนด์หรือโปรดักต์ ก็ต้องขอความเป็นธรรมให้ตนด้วย เพราะตนมีอาชีพเดียวคือเป็นคนทำแบรนด์ มันดูถูกเกินไป ใครจะไปก็อปปี้ความคิดตัวเอง จุดขายโปรดักต์แต่ละแบรนด์ก็ไม่เหมือนกัน ลูกค้าก็คนละกลุ่มกัน ทุกอันที่วางไลน์โปรดักต์ในแบรนด์มาจากความคิดตน ในขณะที่ อรรณพ บญสว่าง ทนายความ บอกว่า RAD ควรมาร้องเรียน Fleen มากกว่าว่ามาค้าแข่ง
หนุ่มถามศสาว่าทำไมถึงไปขายหุ้น 4% ให้ออม ศสากล่าวว่า เรื่องเกิดตอนต้นเดือน ม.ค. น้องทักมาบอกว่ามีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับบริษัท เขาไปจับได้ว่าพริมใช้หัวจดหมาย Rad ไปเช็ก material กับทางเกาหลี เขาบอกว่าเรื่องนี้เขารับไม่ได้ เราเลยบอกจริงๆ แล้วเรื่องเล็กมาก อยากให้สอบถามไปเลยว่าเพราะอะไร ซึ่งเขาคงเช็กให้แบรนด์เราแหละ เพราะคิดว่าพริมไม่มีทางทำให้แบรนด์พัง ตอนนั้นก็คุยกัน บางครั้ง 3-4 ชม. แต่เขาขอร้องว่าห้ามโทรคุยกับพริม
จนกระทั่ง 24 ม.ค. เขานัดมาเจอกันที่บ้านและพูดคุยกัน เราไปแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดว่าจะไปถูกขอซื้อหุ้น ก็ไปนั่งฟังปัญหาเขาตั้งแต่ทุ่มนึงถึงตี 2 เขาก็กล่าวหาพริมและสามีของพริมเรื่องปัญหา ทั้งเรื่องอีเมล เรื่องพริมไม่เก่ง บริหารงานผิดพลาด จะทำให้บริษัทขาดทุน จำเป็นจะต้องให้คนอื่นบริหารแทน พอฟังก็เฮ้ย เลยบอกว่ามาเคลียร์กันดีกว่า ถ้าพริมมีจุดไหนพลาด ไม่ถูกต้องก็ปรับกัน
...
แต่ใจเขาไม่ได้แล้ว เขาก็บอกอีกว่าพริมกับม่อน สามี ใช้เงินในทางไม่ชอบ และมีอีกหลายเรื่อง วันนั้นก็มีหลายๆ คนช่วยกันพูด หนุ่มถามว่าถูกหว่านล้อมเพื่อให้ขายหุ้น 4% ใช่ไหม ศสายอมรับว่าใช่ วันนั้นเขาก็ขอซื้อหุ้น 4% เราก็บอกว่าอยากอยู่ยาวๆ เราก็รักแบรนด์นี้ อยากมีความมั่นคง อยากเห็นความสำเร็จ ซึ่งวันนั้นที่เขาขอซื้อหุ้น 4% ตอนแรกขอซื้อในราคา 1 ล้านบาท เราก็บอกว่าขอดูผลประกอบการบริษัทได้มั้ย เพราะไม่เคยรู้เลย เขาบอกว่าเขาไม่รู้เหมือนกัน เราก็บอกเป็นไปได้ไง เขามีหุ้น 48%
พริมบอกว่าจะไม่รู้ได้ไง เพราะในเมื่อสมุดบัญชีอยู่ที่บ้านเขา สามารถเข้าถึงระบบการเงินของบริษัท ส่วนการทำธุรกรรมตนเป็นคนทำและอัปลง google drive ทุกอัน เช็กได้ตลอดเวลา ศสาบอกว่า แต่ฝั่งนั้นยืนยันว่าไม่รู้ ต้องไปบวกเองใน tiktok shopee เราก็อึ้ง ทำไมฝั่งพริมทำแบบนี้ เขาบอกว่าพริมทำบัญชี หนุ่มถามว่าโดนปั่น ศสาบอกว่าก็ต้องเป็นแบบนั้น
หนุ่มถามว่าเขาแจ้งไหมว่าบริษัทขาดทุน ศสาบอกว่าแจ้ง แล้วตนบอกขอให้เขาคุยกับใครก็ได้ที่มาตีค่า value ของบริษัทก่อนเพื่อความชัดเจน เพราะมันเป็นความฝันของเรา ถ้าขายแค่ล้านเดียวก็ชัดเจนว่าไม่ขาย หนุ่มถามศสาว่าขายโดยชอบหรือมิชอบ โดนหลอกให้ขายหรือสมัครใจ ศสาบอกว่า พอมาถึงวันนี้ที่เรารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว มันคือมิชอบ ถูกฉ้อฉล ปกปิดข้อมูลความจริง ว่าบริษัทเหลือเงิน 6 ล้านและเป็นหนี้ inventory เต็มไปหมด และบริษัทตอนนี้มีอยู่ 3 ล้านบาท
...
พริมบอกว่า inventory คือที่จ่ายโรงงาน จริงๆ มันน้อยมาก ตอนที่เขาไปคุยกับพี่ศสาวันที่ 24 ม.ค. ตอนนั้นบริษัทมีเงินมากกว่าจำนวนที่เขาบอก ยอดขายเดือน ม.ค. 68 ทั้งหมด 10 กว่าล้าน จริงๆ มีกำไร ด้านศสาบอกว่าตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเอาเงินไว้ก่อนดีกว่าไม่ได้ ตอนนั้นคิดว่าพริมผิด อยากให้น้องบริหาร ในใจไม่ได้คิดว่าจะเอาเงินอะไรมา ตอนแรกน้องไม่ได้จะให้ราคานี้ด้วย น้องเลยบอกว่าเอางี้ เป็น estimate ราคาต่อปี
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม