กว่าจะเฉิดฉายเป็นตัวแม่ตัวมัม ใช้ชีวิตในสิ่งที่อยากเป็น อดีตพระเอกยุค 90 โก้ ธีรศักดิ์ ต้องต่อสู้ชีวิตมาอย่างโชกโชน เพื่อที่จะเป็น LGBTQ+ ได้อย่างภาคภูมิ งานนี้ขอถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตหมดเปลือก เปิดใจกลางรายการดัง "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์ กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" เล่าชีวิตสุดดราม่าที่ต้องเผชิญเรื่องราวมาแบบสุขเศร้าเคล้าน้ำตา
เป็นอีกหนึ่งคนที่ต่อสู้มากับเสียงวิจารณ์เยอะมากในการเป็นเพศทางเลือก?
"แต่ก่อนคนจะมองว่าเป็นไวรัสชนิดนึงค่ะ ซึ่งคนจะแอนตี้กลัวว่าดูทางบ้านแล้วจะติด"
ย้อนถามถึงชีวิตในวัยเด็ก เรารู้ตัวแต่เด็กเลยมั้ย?
"รู้ตัวตั้งแต่เด็กนะ รู้ว่าเรามาแนวนี้อ้อนแอ้นๆ"
แล้วที่บ้านรู้มั้ยว่าเรามีพฤติกรรมแบบนี้?
"เขาก็พอรู้พอสงสัย แต่ก็ฟาดซะยับเลยค่ะ รู้ตัวมาตลอด พอ ม.1 เป็นเพื่อนกับนุ๊ก สุทธิดา ก็สวยคู่กันมาเลย (หัวเราะ)"
ด้วยความที่ครอบครัวเป็นคนจีนอาจจะต้องเจอดราม่าหนักหน่อย?
...
"มีพี่น้อง 5 คน โก้เป็นคนเล็ก มีพี่ผู้หญิง 3 คนโต ที่บ้านไม่มีใครอนุญาตเพราะสมัยก่อนค่อนข้างที่จะแอนตี้ และด้วยความที่เป็นครอบครัวคนจีนด้วย เราก็จะโดนฟาดโดนตีตลอด เพราะส่วนมากโรงเรียนจะชอบโทรมาฟ้อง เราเรียนอยู่ที่โรงเรียนคริสต์ โรงเรียนชายล้วนที่นั้นจะแต่จะเล่นงาน LGBTQ+ เหลือเกิน ถึงขั้นถูกเชิญออกด้วยเหตุผลเป็น LGBTQ+ ออกทั้งกลุ่มทั้งก๊วนเลยนะคะ เพราะเขาไม่ให้เรียนต่อ"
แล้วทางโรงเรียนจับโป๊ะเราได้ยังไง?
"ก็แสดงออกเยอะนะคะ (หัวเราะ) ก็สมัยก่อนมันก็ต้องมีบ้างนะคะ หน้าขาวปากแดง แต่ที่จะโดนเลยสมัยก่อนเลยคือการค้นกระเป๋า ว่ามีอุปกรณ์อย่างอื่นที่เหนือชายหรือเปล่า อย่างเช่นถ้าเจอแป้ง มาสคาร่าเขาก็จะเชิญผู้ปกครอง ยึดของ มันก็เหมือนกับว่าเป็นความผิดอย่างนึง แล้วพออยู่ที่บ้าน ที่บ้านเองก็ไม่ยอมรับ เขาก็จะมาตรวจดูว่ามีอุปกรณ์แต่งหน้าหรือเปล่า"
ที่บ้านไม่ชอบ ไม่อยากให้เป็นเลยใช่มั้ย?
"ที่บ้านคือไม่ได้เลย ไม่อยากให้เป็น ถือว่ามันผิดแล้วทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย แทบจะโดนขับไล่ออกจากตระกูลเลยนะคะ เรียกได้ว่าบ้านโก้ดุมาก โดนตียิ่งกว่าอีเย็น นางทาส โดนเฆี่ยนแบบว่าโตมากับไม้เรียว"
จนย้ายมาเรียนโรงเรียนสหฯ จนได้มารู้จัก นุ๊ก สุทธิดา?
"ใช่ค่ะ ย้ายมาเรียนบดินทร์เดชา ตอนแรกเพื่อนก็ไม่รู้ แอ๊บๆ ก่อน แอ๊บตอนเข้าใหม่ๆ แต่แอ๊บไปแอ๊บมามันก็หลุด (หัวเราะ)"
สมัยก่อนลำบากมากที่จะต้องใช้ชีวิตในวงการบันเทิง?
“มันยากมากค่ะ เพราะเรามาใช้ชีวิตในบทบาทพระเอก อย่างผู้ลงทุน และผู้บริโภคเขาก็อยากให้เราเป็นในแบบที่เขาอยากจะให้เป็น เราก็ทำแบบนั้นมาเรื่อยๆ เราคิดว่ามันต้องปรับได้เปลี่ยนได้ ที่สำคัญเป้าหมายตอนนั้นเลยคือเราอยากมีรายได้ เราอยากจะได้เงิน ต้องทำเพราะว่านายจ้างเขาชอบแบบนี้"
เคยเครียดกับสิ่งที่ต้องเผชิญในยุคนั้นบ้างมั้ย?
"คือคนรอบข้างที่รู้จักเรา เขาจะบอกว่าสงสารโก้จังเลย ทุกครั้งที่กินข้าวร่วมกับครอบครัวตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้ายคือร้องไห้ทุกวันเลย ตอนรวมโต๊ะกินข้าว โดนด่าโดนว่าโดนตีตลอด คือสมัยก่อนต้องเรียกว่าโดนบูลลี่สารพัด เราก็ถือว่าไม่ซีเรียสอะไร ทำทุกวันให้ดีที่สุด เลยเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราต้องตั้งใจเรียน เพราะอย่างน้อยเราก็เรียนเก่ง"
...
หนักสุดที่ต้องเจอกับปัญหาในตอนนั้น?
"ข้ามเส้นการฆ่าตัวตาย คือมันน้อยใจคิดแบบเด็กๆ เข้าไปในตู้เสื้อผ้าเราปิดประตู และให้อากาศมันหมดพอเราหมดแล้วเราก็เปิดประตูออกมา เพราะเราร้อนเราก็ออกเอามา (หัวเราะ) คนที่คิดจะฆ่าเอาจริงมันไม่ทำหรอก คนที่เขาจะทำคือทำเลย ด้วยความที่เป็นเด็ก เราทำอะไรไม่คิด สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะหนีออกจากบ้านดีกว่า เพราะว่าตอนนั้นเราก็คิดว่าเรามีทรัพย์สินพอสมควรแล้ว
ตอนนั้นก็รอด มาอยู่กับครอบครัวเพื่อน พ่อแม่เพื่อนก็ดีมากเพราะเค้ารู้ว่าบ้านโก้ดุมาก ตอนนั้นเป็นช่วงมหาวิทยาลัยแล้วที่ออกมาอยู่กับเพื่อน สุดท้ายก็เริ่มหารายได้ ไปขายของที่สวนอัมพร เพราะคิดว่าทักษะแบบเราไปขายอะไรก็ขายได้
แต่สุดท้ายพ่อแม่พี่น้องก็มาตามหา ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเรามาขายของที่สวนอัมพร ตอนนั้นเราก็ไม่อยากกลับเพราะเรากลัว เราไม่อยากกลับไปสังคมที่บ้านไม่ใช่บ้าน และทุกคนดุร้ายมาก ใช้คำพูดแต่ละอย่างที่ทำให้เราสะเทือนใจ คิดว่าสมัยก่อนเรียกว่าโรคซึมเศร้าได้เลยนะ แต่เรายังไม่ถึงขั้นแบบนั้นเพราะว่าเราหนีออกมาก่อน"
...
ตอนนั้นใช้วิธีคิดแบบไหนทำให้เราผ่านมันมาได้?
"คิดว่ามันเป็นกรรม คิดว่าต้องทำดีเยอะๆ ชาตินี้จะได้ไม่ต้องมีกรรม ซึ่งวันที่เขามาพากลับไปที่เดิม แม่ก็ร้องไห้ เราก็ไป เพราะเราสนิทกับแม่ เราโตมากับแม่ส่วนใหญ่ ซึ่งพี่สาวก็บอกว่ามันเสียเพราะแม่แหละ เอาใจทุกอย่าง ก็มาพรากเรากับแม่ห่างกัน ให้เราไปอยู่กับพี่ชายแต่ไม่อยากพูด พูดไปมันก็เศร้ามันผ่านมาแล้ว (น้ำตาคลอร้องไห้)"
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม