เผยเบื้องหลังการกลายพันธุ์ทางพลังงาน ป้าตือ สมบัษร ไอดอลแห่งโลกออนไลน์ในวัย 63 ผู้อยู่ทุกยุค! ที่ยังสนุกกับการทำงานและการใช้ชีวิต เล่าปรับตัวเข้าใจความแตกต่างระหว่างวัย อดีตเคยถูกมองว่าแรง สู่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ทำให้การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เปิดวิชาอยู่ร่วมกับทุกเจนตั้งแต่ Baby Boomer ยัน Gen Z ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และกลุ่มเพื่อนเพื่อสร้างความสุขและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้อย่างกลมกลืน ในรายการ WOODY FM
คนอาจจะยังสงสัยว่า ป้าตืออายุเท่าไหร่แล้ว?
ป้าตือ : 63 สำหรับฉันคือไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอายุ 63 นี่พูดจริงๆ นะ ถ้าคนไม่ถามเรื่องอายุ ก็จะไม่ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเลข 63 ลอยเข้ามา
พลังงานในการเปลี่ยนไป จากที่คนไม่กล้าเข้าหา คนกลัว กลายเป็นว่าคนเข้าหาเยอะมาก โดยเฉพาะเด็กๆ เกิดอะไรขึ้นในตัวป้า?
ป้าตือ : เด็กไม่น่าจะกลัว เด็กคงจะเกรงกลัวด้วย คือถ้าเราไม่ได้พูด จะเป็นคนที่ดูนิ่งที่สุด คิดว่าด้วยภาพรวมและความแบบนิ่งๆ บางทีภาษากายของเรามันเคลื่อนไหวน้อย ถ้าเวลาอยู่นิ่งๆ ภาษากายมันจะไม่พูดอะไรเลย แล้วคนจะจับทางไม่ถูก
...
ประกอบกับการใส่แว่นดำ ประกอบกับการที่เราคิดอะไรอยู่ในหัว มันก็เลยจะไม่ได้แบบว่าโฟกัสกับสิ่งรอบข้าง เป็นไปได้ว่าคนรอบข้างจะรู้สึกว่าคนนี้อย่าไปยุ่งกับมันนะ อาจจะเจออะไรบางอย่างในตัวที่อาจจะตู้ม! ขึ้นมาได้ แต่จริงๆ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ สมองฉันนี่โล่งหมดเลย
เรื่องของการ Connect กับคน เห็นตัวเองว่าต้องปรับอะไรด้วยไหม?
ป้าตือ : จริงๆ เป็นคน Connect กับคนตั้งแต่วัยเด็กแล้วนะ แต่ว่าการ Connect ของเรา มันอาจจะเป็นในเวลาที่ไม่ถูกต้อง คือเป็นคนพูดตรง เป็นคนพูดจริง เป็นคนไม่โกหกคน ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มนุษย์จะไม่สามารถที่จะฟังเรื่องที่เป็นความจริงได้
แต่มันไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้มันเป็นยุคที่มนุษย์สามารถฟังความจริงได้หมดทุกอย่าง และก็ดีเบตกันได้ มันก็เลยทำให้คนเรามันลดการมีแก๊ปเกิดขึ้น สมัยก่อนเป็นคนพูดตรง พูดชัด พูดสิ่งที่ต้องการตรงประเด็น เร็ว กระชับ ไม่มีเวลารอ แล้วคนก็อาจจะรู้สึกว่า คนนี้ Aggressive แต่ว่าจริงๆ แล้วก็คือว่าไม่ ฉันพูดความจริง ความต้องการฉันแค่นี้เอง แต่เธอดันไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันสื่อสารกับเธอ
แล้วทำไมเอเนอร์จี้ที่ตรง กระชับ ในอดีตทำไมสังคมรับเราไม่ได้ แล้ววันนี้กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องรับได้มากขึ้น เพราะอะไร?
ป้าตือ : มันมีคนประเภทนี้เยอะขึ้นในโลกใบนี้ที่พูดชัด พูดตรงประเด็น และพูดซ้ำๆ ซิกมันด์ ฟรอยด์ บอกว่า 16 ครั้ง ครั้งที่ 17 ของขมจะกลายเป็นของหวาน เพราะฉะนั้นจะมีคนประเภทนี้เกิน 16 คนในโลกใบนี้ ฉันเชื่อในทฤษฎี ซิกมันด์ ฟรอยด์ แล้วเป็นอย่างนั้นกับเราด้วยนะ
เราก็มา Adapt ด้วยนะ สิ่งที่เราพูดบางทีเราอาจจะพูดชัด ตรง เสียงดัง เพราะเราหูตึง แต่จริงๆ แล้ว เราเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าคนบางคนถ้าเค้าเป็นคนประเภทนี้ เราจะต้องมีวิธีการพูดชัดตรงแบบนี้กับเขา คือต้อง Tailor-Made ในการพูดใหม่
งั้นสมัยก่อนก็เปิดกว้างเลยเป็นลำโพง คือกระจายเลยไม่ได้ Tailor-Made?
ป้าตือ : มันพูดผ่านไมค์เลย ใครจะคอนโทรลไมค์กับลำโพงได้สมัยก่อน แต่สมัยนี้คือมันอาจจะมีเรื่องของการที่เราอยู่ร่วมกันกับคนหลายๆ ประเภท คือตอนนี้เพื่อนเราไม่ได้เป็นเลเวลเดียวกันตลอด เพื่อนเรามีทั้งแบบอายุมาก อายุน้อยไปจนเด็ก แบบว่าอายุ 20 อายุ 10 กว่าก็มี
มันก็จะต้องมีการที่เราจะต้องอยู่กับเขา ภาษาที่ใช้ หรือวิธีการใช้ชีวิตร่วมกัน มันคือต้อง Tailor-Made แต่ละกลุ่มให้ต่างกันจริงๆ นะ แต่ก็ไม่ได้เฟก ก็คือเป็นในเวย์ที่เราเป็น ถ้าเกิดว่าเราไปอยู่กับกลุ่มนี้ๆ แล้วเราเหมือนกันหมด เราจะไม่มีเพื่อน อันนี้คือสิ่งที่เรียนรู้
...
แล้วเวลา Tailor-Made จาก Gen Baby Boomer ไป Gen Z, Gen X, Gen Y, Alpha สื่อสารยังไงแต่ละกลุ่ม มีวิธีที่ต่างกันยังไง?
ป้าตือ : คือสมมติว่าเพื่อนที่เป็นกลุ่มแบบ Baby Boomer กลุ่มเพื่อนเรา จะรู้ทันทีว่าสิ่งหนึ่งที่เราจะอยู่กับเขา จะไม่พูดเรื่องความแก่ จะไม่พูดในเรื่องดราม่าของชีวิตเขา จะพูดในเรื่องของสุขรายวันกันเถอะ ความสุขที่เหลือ มีความสุขไปวันๆ สุขรายวัน ทำความดีวันละ 1 ข้อ แล้วก็จะพูดอย่างงี้ แล้วก็ Enjoy กิน เที่ยว ใช้ชีวิตด้วยกัน แล้วก็พูดเรื่องที่มันเป็นอดีตที่มันตลก จะไม่พูดเรื่องอดีตที่มันเป็น Trauma และก็จะบอกว่ามันมีสิ่งใหม่นี้เกิดขึ้นมาแชร์กัน
จะไม่มีการพูดเรื่องที่มัน Toxic ไม่มา Gossip อะไรแบบนี้ เราจะสร้าง Environment กับเพื่อนเรากลุ่มนี้ เพราะกลุ่มนี้ 60 กว่าทั้งนั้น และจะไม่พูดเรื่องการตาย เรารู้อยู่แล้วว่าอุโมงค์สุดปลายทางเดินไปตรงไหน แต่เราเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทางไป สำหรับตือนะ เพื่อนกลุ่มนี้เรื่องการเจ็บป่วยของพ่อแม่เขา การเจ็บป่วยของคนในครอบครัวเขา หรือเรื่องเกี่ยวกับ Finance ของครอบครัวเขา เราเลือกที่จะไม่คุย
เพราะว่าถ้าเขาจะคุยส่วนตัว แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มจะไม่คุย เพราะว่าเราถือว่าเรื่องอย่างงี้บางทีมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะต้องมานั่งแชร์ให้หมดเลย มันควรจะเป็นเรื่องที่เรารับฟังแล้วก็ไม่ได้มี Solution ให้เค้านะ แต่จะบอกว่าเธอคิดว่าอยากทำยังไง ฉันเชื่อในการตัดสินใจของเธอ มันคือการให้พลัง ให้กำลังใจกับเพื่อนกลุ่มนี้
กลุ่ม Generation X?
ป้าตือ : กลุ่ม X สำหรับตือ กลุ่มนี้สิ่งที่ตือคุยกับเขา คิดว่าเขาเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะแข็งแรง และก็มีตัวตนแล้ว มีความเป็นอยู่ที่ดี สถานะการเงินทุกอย่างแข็งแรงหมดแล้ว สิ่งที่ตือคุยกับเขาจะไม่คุยเรื่องพวกนี้เลย จะคุยเรื่องเกี่ยวกับว่า เธอ เราไปหาอะไรใหม่ๆ ทำกันดีกว่า เช่น เราไปทำอะไรในสิ่งที่เราไม่เคยทำ
...
เพราะอะไร เพราะคนพวกนี้เขา Secure อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาต้องการการเจออะไรใหม่ๆ อย่างล่าสุด ไปเที่ยวบาร์ข้าวสาร ทุกคนกรี๊ด คือทุกคนก็จะมีความสุขกับว่ามันมีโลกแบบนี้ด้วย แล้วทุกคนก็จะมีความสุขกับการได้ไปเที่ยว หรือว่าพาไปกินอาหารที่มันเป็นเพิง คือปกติมันก็ไป Michelin กันไปต่างๆ แต่เราก็บอกว่า อันนี้อร่อยมากไปกิน คือจะเน้นกิน เน้นเที่ยว เน้น Enjoy
กลุ่ม Generation Y?
ป้าตือ : อันนี้สำหรับตือ เป็นกลุ่มที่คิดว่าเขากำลังเริ่มที่อยากจะมีความมั่นคงในชีวิต รู้สึกว่ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ถ้าเราทำตัวเป็นครู ทำตัวเป็นพี่มันเมื่อไหร่ มันจะไม่อยากคุยกับเราทันที เราต้องเป็นเพื่อน แล้วเราก็รู้สึกว่าการเป็นเพื่อนของมันคือ ถ้าเขาถามเราตอบ และเราจะไม่บอกว่า แกต้องอย่างงี้ๆ อย่าไปแบบอย่าไปทำตัวเป็นแม่ เป็นพี่มัน
คือพอถ้าเราไปทำตัวอย่างงี้ มันจะรำคาญเรา เพราะว่าเขาก็มีสิ่งที่กำลัง Find out กับชีวิตอยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่าบอกว่า แกทำอะไร โอเค เอามานี่ฉันช่วยแก อะไรอย่างงี้ เราก็จะมีวิธีการที่จะเข้าไป Support มาเดี๋ยวฉันช่วย นี่แกฉันมีคนนี้ ฉันแนะนำให้แกรู้จักคนนี้นะ ก็จะมีการเอา Connection ของคนเจนนี้มาผสมกับเจนนี้มาเจอกัน
แต่คนกลุ่มเนี้ยเขาก็จะต้องชอบเที่ยวกลางคืน ดิฉันก็จะต้องกลายเป็นแบบว่าราตรีกับพวกเขาได้ แต่ไม่ได้แบบทุกวัน ไม่ใช่ อาทิตย์หนึ่งครั้งหนึ่ง หรือสองอาทิตย์ครั้งหนึ่ง ดึกสุดได้ถึงตี 5
...
กลุ่ม Generation Z?
ป้าตือ : เราจะไม่พยายามตัวเองที่จะเข้าไปแทรกอยู่ในตัวคนกลุ่ม Gen Z นะ จะเอาคนพวกนี้มาเป็นครูสอนหมดทุกอย่างเลย อยากรู้เรื่องอะไร ถามเค้าแล้วก็ไป Brain อยู่กับเขาแล้วก็บอกว่า เออแก มันอย่างงี้ยังไง ทำเป็นเพื่อนมันเลย แบบเพื่อนสนิทด้วยนะ และก็เรียนรู้จากสิ่งนี้
และคนกลุ่มนี้เขาสอนเราเยอะมาก เขาเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น พูดในสิ่งที่เราไม่ได้พูด แต่พอเราได้คุยกับเขา เขาเป็นครู ฉันเอาเขามาเป็นครู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโซเชียล ไม่ว่าในเรื่องของการกิน การใช้ชีวิต คือคน Gen Z เค้าจะกินไม่เหมือนเรานะ เราจะกินของที่แบบว่าโตมากับการกินอาหาร 7-8 อย่างอยู่บนโต๊ะ แต่เขาจะกินกับอะไรที่มันแบบว่าเป็นคนๆ แล้วก็แบบว่า Comfort ง่ายๆ แล้วก็แบบ Simple ไม่ต้องซับซ้อน แกจะกินอะไรก็เรื่องของแก
ไปถึงปั๊บก็คือกดสั่ง แล้วก็นั่งกินบนพื้น หรือบางคนก็ไปนั่งกินตรงระเบียงแล้วก็ไปนั่งคุยกันตรงระเบียง คือมันไม่มีการมานั่งแบบคนรุ่นเรา จะแบบนั่งดูทีวี เดี๋ยวมานั่งดูรีแคปนางงาม มันเป็นความอิสระมากเลย
แต่ว่าอย่างหนึ่งคือที่เราก็จะไม่ถามเขาว่าแบบทำไมแกต้องอย่างงี้อย่างงั้น ทำไมคือห้ามถามเด็ดขาด กลุ่ม Gen Z ถ้าถามว่าทำไมจะรู้สึกทันทีเลยว่าเราทำตัวสงสัย เริ่มรำคาญ คือไปบ้านมันต้องเตรียมของเราไปเองเลย เขาจัดการระบบชีวิตของเขาเอง
แล้วถ้าเพื่อนจะมาร่วมด้วยให้ร่วมได้นะ แต่ว่าต้องเอามาแชร์กับเขาด้วย ไม่ถามว่าทำไมแต่งตัวอย่างนี้ คือใครจะใส่ชุดนอนมา ในขณะที่เพื่อนอีกคนหนึ่งใส่ชุดเป็น Evening Gown มาเดินลงมา ก็ไม่มีคำถาม คือมัน Mix คือใครจะทำอะไรก็ทำจริงๆ อยากทำอะไรก็ทำ แล้วเราก็ไม่ได้แคร์เพื่อน
แล้วเอเนอร์จี้ของแก๊งหิ้วหวีล่ะ เพราะว่าป้าสนิทมากเลย ได้เรียนรู้อะไรจากแก๊งนี้?
ป้าตือ : เอเนอร์จี้เราเวลาอยู่กับเขา เรากลายเป็นแบบว่าเหมือนแบบเป็นแม่เขา คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องอยู่กันแบบเพื่อน คือเขาก็เรียกเราว่าแม่ เราก็คือแม่ที่สามารถจะแบบว่าคุยทุกเรื่องกับเขาได้ กินทุกอย่างกับเขาได้ ไปไหนกับเขาได้ ลุยกับเขาได้
แต่ขณะเดียวกันเขาอยากทำอะไร เราก็แบบไปเลย Open เต็มที่ สามารถจะไปอยู่ด้วยกันได้โดยที่ไม่ต้องมาบอกว่า แกวันนี้นะแม่มานะ ต้องจัดบ้านให้เรียบร้อย ไม่ใช่วันนี้มาเขานอนเล่นตรงโซฟา เราก็นอนเล่นตรงโซฟา คือทำทุกอย่างเหมือนเขา ขออย่างเดียวคือ ฉันขอใส่ถุงเท้าอยู่ในบ้านเพราะว่าฉันเป็นคนไม่เคยถอดรองเท้าในบ้าน ฉันขอแค่นี้
นอกนั้นนี่ทุกอย่างคือ Blended in หมด กินข้าวก็ไม่ต้องไปวุ่นวายว่าฉันจะต้องนั่งแล้วลูกต้องตัก ไม่ต้อง ไปตักเองทำเอง เราก็ต้องเรียนรู้ในการที่จะอยู่กับคน เรามีความสุขมาก ขอบคุณพวกเขาเลยนะ ขอบคุณมากที่พวกเอ็งมาเติมเต็มความสุขในเวลานี้ของฉัน
พูดตรงๆ เลยนะ เวลาเราเดินไปอยู่ในกลุ่มไหน ไม่เคยคิดว่าจะต้องไป Lead บางทีเราไปเป็น Extra นะ เพื่อซัพพอร์ตให้เขา คิดอย่างงั้นเสมอ แล้วเราก็ไม่ได้จำเป็น คือสมัยก่อนโอเคตอนเป็นเด็ก เราอาจจะมี Mindset บางอย่างที่ว่า I'm not your Extra แต่ ณ วันนี้พอสังคมและโลกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เราก็ต้องกลายพันธุ์ คืออยู่ในที่ๆ เราแฮปปี้แล้วพอใจอยู่ ไม่ใช่ให้เค้าจับวางนะ เราอยู่ในที่ๆ พอใจ
ถึงเวลานี้ Moment นี้คือเพื่อนในกลุ่มทุกกลุ่มมันจะมี Moment ของมัน ในช่วงเวลาที่เจอกัน Moment นี้เราต้องทำตัวเป็นอะไร Extra ใน Moment นี้เราต้องเป็น Leader หรือ Moment นี้เราอาจจะต้องเป็นผู้ฟังเงียบอย่างเดียว แล้วก็กลายเป็นตัว 3 ตัว 4 ไปเลย คือมันขึ้นอยู่กับ Moment ของกลุ่มแต่ละกลุ่มด้วยนะ
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม