เดินทางกลับประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ ดิว อริสรา เพื่อมารับงานพรีเซนเตอร์อาหารเสริม และเคลียร์ในส่วนของคดีความ

ล่าสุด ดิว ได้เปิดใจพูดกับสื่อมวลชนแบบตรงๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขณะมาร่วมงานเปิดตัวอาหารเสริมแบรนด์ DEEWA ที่ร้านข้าวเหนียว ซอยอารีสัมพันธ์7 พญาไท

- เผยเหตุผลที่รับพรีเซนเตอร์ตัวนี้ เพราะเขาเลือกดิวตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่ได้มีปัญหาอะไร เรามีการคุยกันตั้งแต่สิ้นปีที่แล้ว ซึ่งเราตั้งใจว่าจะเริ่มงานหลังคลอดลูกคนที่ 2 แต่มันมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นพอดี แต่โชคดีที่ทางแบรนด์ไม่ได้ทิ้งเรา เขาซัปพอร์ตเรา

- ถามว่ากลับมารับงานยาวๆ เลยมั้ย ตรงไหนที่ดิวรับงานแล้วดิวทำได้ ถนัด ก็พร้อมทำเต็มที่อยู่แล้ว แต่ก็ต้องดูอะไรที่เราถนัดหรือไม่ถนัด

- ในรูปแบบงานเราก็ไม่ได้เลือกเลย ซึ่งความเป็นจริงเราไม่ได้เป็นคนเลือกมากอยู่แล้ว ดังนั้นในเรื่องรูปแบบงาน ดิวรับได้ทุกแบบอยู่แล้ว ติดต่อมาได้เลย

- โอกาสในการรับงาน มีคนติดต่อเข้ามาเยอะอยู่แล้ว ต้องขอขอบคุณโอกาสและทุกๆ คนที่ติดต่อเข้ามา เพราะเราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้รับโอกาสขนาดนั้น ก็มีติดต่อมาเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการไลฟ์ แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้กลับประเทศไทย ส่งของก็ยาก พิธีการมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่ถ้าเรากลับมาไทยแล้วอะไรก็ทำได้ค่ะ

...

- ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่คนก็ยังเชื่อใจศักยภาพของดิว ดิวบอกว่า อย่าไปพูดแบบนั้นเลย เราได้รับโอกาส และก็ต้องขอขอบคุณโอกาสจากทุกคนมากกว่า ดิวว่ามันคือหัวใจที่มีให้กันมากกว่า

- เมื่อถามว่า หลายคนก็เห็นใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดิวบอกว่า "อย่าซึ้งได้มั้ย จะร้องไห้"

- ถามว่ามีกำลังใจแค่ไหนที่ทำให้เราต่อสู้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดิวบอกว่า "ก็มีกำลังใจแหละค่ะ"

- มันคือการกลับมาเพื่อรีเซ็ตทุกอย่างใหม่หมดไหม ดิวบอกว่า "เอาจริงๆ ดิวว่าการกลับมา ในชีวิตดิว ดิวรู้สึกว่ามันก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้ว และดิวว่าดิวไม่ได้กลัวกับการเริ่มต้นใหม่ เพราะว่าเราไม่ได้เริ่มต้นมาจากศูนย์ (เสียงสั่น) เราไม่ได้เริ่มมาจากศูนย์ คือเราเริ่มมาจากติดลบ ถ้าทุกคนจำดิวตั้งแต่อายุ 16 ได้ คือดิวเริ่มมาจากติดลบ คือดิวขึ้นไป วันนี้มีวิกฤติดึงดิวลงมา วันนี้ดิวขึ้นไปอีก และอาจจะกลับมาติดลบเหมือนเดิม ดิวไม่ได้กลัวที่จะกลับมาเริ่มต้นใหม่อยู่แล้ว ดังนั้นทุกๆ โอกาส ทุกๆ น้ำใจและรอยยิ้ม กำลังใจมันคือแรงผลักที่ทำให้ดิวมีกำลังใจขึ้น (เสียงสั่น น้ำตาไหล) ในการอยู่ในประเทศไทย"

- ดิว ได้สารภาพตามตรงเลยว่า ก่อนกลับประเทศไทยในครั้งนี้ ยอมรับกลัวมาก เราไม่ได้กลัวอะไรเลย แต่เรากลัวคน อยู่ไต้หวันหรืออยู่ต่างประเทศก็กลัวคนไทย มันเป็นความรู้สึกของเราที่เรากลัว และตอนเครื่องจะลง เราก็กลัว แต่พอเราเริ่มสัมผัสไปเรื่อยๆ ขอพูดตรงๆ ว่า วันแรกที่มาถึงก็ไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวเลย ให้เจอคนไปเลย ให้รู้ไปเลยว่าใจเรารับไหวมั้ย แต่ฟีดแบ็กที่เราเจอ เราอาจลืมไปว่า คนไทยเป็นคนน่ารักและให้โอกาสคน มีน้ำใจ และพลังที่ดิวได้จากคนรอบข้าง ช่างหน้าช่างผมคนเดิมๆ หรือแม้แต่พี่นักข่าวซึ่งยอมรับว่ากลัว แต่พอได้เจอ มันก็ไม่ใช่สายตาแบบนั้น เลยทำให้อุ่นใจขึ้นและอยากอยู่ประเทศไทยเลย

- ที่คิดไว้กับความเป็นจริงมันไม่เหมือนกัน เราเจอทุกอย่างถาโถมมา แล้วมาวันนี้สิ่งที่เราสัมผัสมันตรงข้ามกับความกลัวเรา (น้ำตาไหล) มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจว่าสุดท้ายแล้วประเทศไทยมันก็คือบ้านเราเนอะ

- ดิวบอกว่า ที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้เราเสียใจมากที่สุดคือ ตัวดิวเอง ที่ดิวทำผิดพลาดทุกอย่าง ดังนั้นดิวไม่ได้โทษใคร และดิวไม่ได้เสียใจกับคำกล่าวโทษของใครทั้งนั้น แต่สิ่งที่เสียใจคือ แค่รู้สึกว่าคนอย่างดิว "เมื่อไหร่จะมีคำว่า บทเรียนที่จบสักที ไม่อยากพลาดอีกแล้ว" ดิวพูดกับตัวเองแบบนั้น

- ดังนั้นดิวไม่อยากพลาดอีกแล้ว และดิวเบื่อกับตัวเองที่เดี๋ยวก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ เชื่อว่าคนที่ไม่รักดิว ก็เบื่อกับการที่ดิวเป็นแบบนี้ ดังนั้นสิ่งที่ดิวเสียใจมากที่สุดคือ เมื่อไหร่ดิวจะเป็นคนที่ไม่ผิดพลาดกับเรื่องแบบนี้สักที ต่อให้คนให้กำลังใจเรา ว่าคนเราผิดพลาดเสมอ แต่ดิวก็คิดว่าสำหรับเราควรพอได้แล้ว และควรเข็ดได้แล้ว

- ซึ่งเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ใช้ชีวิตให้มีสติมากขึ้น อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง เราก็ต้องแก้ที่ตัวเราเอง แต่ไม่ต้องห่วงว่าเราจะแก้ไม่ได้ เพราะเราเคยขึ้นสุดและลงสุดแล้ว ณ วันนี้ไม่ต้องห่วงแล้วว่าจะแก้ไขตัวเองยังไง เหมือนปลงขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น

...

- ในวันนี้ที่ออกมาพูด เราก็ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะการที่เรามาทำงาน เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ เราต้องตอบแทนคุณเขา และการเจอพี่ๆ นักข่าวเป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว ไม่ได้เกร็งกับการถูกสัมภาษณ์ แต่เกร็งที่สายตาของทุกคนจะมองเราแบบไหน รักกันเหมือนเดิมมั้ย

ในพาร์ตของคดีความ ดิว กับ ทนายได้เผยว่า

- ทนายความเผยว่า ในเรื่องของรูปคดี ตามที่ศาลได้นัดหมาย เราได้มีการเคลียร์ครึ่งหนึ่งให้กับร้านแบรนด์เนมมันนี่ไปแล้ว และตกลงกันว่าจะทำบันทึกทางแพ่งกัน และจะมีการถอนฟ้อง คิดว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็น่าจะเสร็จในส่วนนี้

- ส่วนกระเป๋า 2 ใบ ได้มีการเจรจาเบื้องต้น เพิ่งได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กองปราบ และทางฝ่ายผู้เสียหายว่า ยุติตามที่เราเสนอไปและมีการพูดคุยกัน หลังจากนี้จะส่งบันทึกเพื่อทำบันทึกกัน แล้วก็คงจะจบน่าจะพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ยังไม่แน่ใจ อาจจะนัดเจอกันทุกฝ่ายที่กองปราบ เพื่อจะส่งมอบสร้อย Bvlgari และกระเป๋า 2 ใบคืนให้กับคุณเมย์ วาสนา เพราะฉะนั้นน่าจะจบทุกอย่างในส่วนนี้

...

- ส่วนเรื่องการถอนฟ้อง เรื่องนี้คุณเมย์เขามีเจตจำนงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ว่าถ้าดิวเคลียร์ทุกอย่างจบหมด ซึ่งคุณเมย์เขาเข้าใจและเห็นใจว่ายอดมันเยอะ ก็ให้เวลาคุณดิว จนถึงนาทีนี้ ถ้าทุกอย่างมันเคลียร์จบพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ คุณเมย์ก็ยินดีที่จะถอนฟ้องทั้งหมด

- ดิว เผยว่า ขอขอบคุณพี่เมย์ด้วย คนอาจจะเข้าใจว่าเราทะเลาะกัน แต่ต้องบอกว่าพี่เมย์เป็นพี่ที่น่ารักมาโดยตลอด ต่อให้ข้างนอกจะมองยังไง เราคุยกันว่า พี่เมย์เขาพร้อมจบ เรื่องถอนฟ้องเขาก็บอกว่า สักทีเถอะ

- ทนายเผยต่อว่า ส่วนสร้อย Bvlgari เนื่องจากมูลค่ามันเยอะ คุณเมย์เขาจะช่วยครึ่งหนึ่ง แต่ดิวต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้กัน และชดใช้ผ่อนชำระเมย์ต่อไป เพื่อที่ทุกอย่างจะได้จบ และคุณเมย์จะได้รับของจากร้านแบรนด์เนมมันนี่

- ดิวยังบอกอีกว่า ขอขอบคุณพี่ชายอีกคนหนึ่งด้วย ไม่รู้ว่าพี่เขาจะประสงค์ออกนามมั้ย แต่ถ้าใครเดาได้ว่าเป็นใคร ก็อยากจะให้รู้สึกกับเขาว่าเขาเป็นพี่ชายคนหนึ่งที่ดีกับเรา เรื่องนี้จบได้เพราะเขา พี่เมย์จะไม่มั่นใจเลย ถ้าไม่มีเขาคนนี้ ดังนั้นมันคือหลายๆ อย่าง ซึ่งดิวบอกว่า ไม่ใช่ พี่ไผ่ลิกค์ นะคะ ที่ดิวอยากพูดประเด็นนี้ คือดิวอยากให้ทุกคนรู้ว่าการเคลียร์หรือการกลับมาของดิว มันไม่ใช่แค่ตัวดิว มันมีทั้งพี่ชาย น้องชาย และใครหลายๆ คนที่ยังรักเราอยู่ และเราก็เลยรักตัวเอง

...

- ดิวบอกว่า พี่ชายคนนั้นเขาเป็นคนโทรหาหนูด้วยตัวเอง และเราไม่เคยโทรไปขอความช่วยเหลือจากเขา และไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากใคร แต่แปลกที่พี่ชายคนนี้ทักมาเพื่อจะช่วย ซึ่งเขาไม่ได้ช่วยเรื่องเงิน แต่เขาช่วยประสาน ช่วยไกล่เกลี่ยให้

- เมื่อถามถึงรายละเอียดเรื่องเงิน เหตุใดทำไมต้องใช้ถึงขนาด 60 ล้าน ซึ่ง ดิวบอกว่า ตนเองไม่ได้เอามา 60 ล้าน มันคือประมาณ 20 กว่าล้าน แต่ข่าวที่ออกไปเป็นมูลค่าสิ่งของ 60 กว่าล้าน แต่เงินที่ตนเองใช้มัน 20 กว่าล้าน ไม่ใช่ 60 ล้าน

- เผยมันไม่ใช่ความผิดของใคร แต่เป็นความผิดดิวเอง จะโทษว่าเป็นการใช้เงินเกินตัวด้วยก็ใช่ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เราทำธุรกิจหลายอย่าง และมั่นใจมากๆ กับการทำธุรกิจของเรา เราลงทุนไปและขาดทุนเยอะมาก ต้องสารภาพว่าธุรกิจไม่ได้เป็นไปตามเป้า แต่บวกกับธุรกิจที่เราทำไปตั้งแต่แรก เรามั่นใจว่าทำได้

- ส่วนเรื่องการใช้เงินเกินตัว ดิวยอมรับผิดกับตัวเอง ชีวิตเรามันมีหลายมุมที่อยากให้คนมองและเข้าใจ ไม่ใช่อยากให้มองว่าเอาเงินคนอื่นมาเพื่อซื้อแบรนด์เนมทั้งหมด แต่มันล้มในหลายๆ เรื่องพร้อมกัน แต่มันยังมีภาพบางอย่างที่เราต้องประคองมันไว้ ซึ่งมันคือในวันนี้ที่เราเป็น

- ยอมรับว่า ในวันนี้มันมีบางอย่างที่เราแอบดีใจ ว่าการได้เริ่มต้นใหม่ในแบบจริงๆ ของเรา ในแบบที่เราไม่ต้องประคองภาพบางอย่างของเราไว้อยู่ มันก็สบายตัวและสบายใจดี

- ส่วนยอดเงินทั้งหมดที่ต้องใช้คืน ทนายความบอกว่า มันมีหลายส่วน ก่อนหน้านี้สร้อย Lotus ได้ใช้คืนแล้ว ซึ่งเราได้ทำบันทึกไปแล้ว แต่ถ้าถามยอดรวมก็ประมาณ 20 ล้าน ก็มีการผ่อนชำระไปบางส่วนแล้ว

- ดิวบอกอีกว่า จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืนทั้งหมด ไม่สามารถบอกยอดได้เป๊ะๆ เพราะในระหว่างทางได้มีการจ่ายไปบางส่วนแล้ว ที่หายไปเราไปหาเงินมาจ่ายคืนเรื่อยๆ ที่ไม่ได้ออกมาพูดเพราะไม่สามารถพูดได้ว่า ฉันจ่ายคืนไปหมดแล้ว และเราก็ไม่ได้มีพลังความมั่นใจขนาดนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยอดโดยรวมมันคือ 20 ล้าน ไม่ใช่ 60 ล้าน แต่เราเคลียร์ไปบางส่วนแล้ว

- ส่วนยอดทั้งหมดจะเคลียร์จบเมื่อไหร่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะเหมือนให้ความหวังทุกคน แต่อยากจะบอกว่า ตอนนี้หน้าที่ของเราคือพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และจะพยายามทำให้จบให้เร็วที่สุด

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม