หลังจากที่ โอปอล สุชาตา ช่วงศรี มิสเวิลด์ 2025 เดินทางกลับถึงประเทศไทย โดยมาพร้อมกับ จูเลีย มอร์ลีย์ ประธานและซีอีโอขององค์กรมิสเวิลด์ ซึ่งหลังจากกลับถึงประเทศไทย ก็ได้มีพิธีต้อนรับจากทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และได้รับช่อดอกไม้พระราชทานจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา อีกทั้งยังได้รับการต้อนรับจากสปอนเซอร์และผู้เกี่ยวข้อง ท่ามกลางแฟนๆ นางงามที่มาต้อนรับแน่นสนามบิน

โดยหลังเสร็จสิ้นพิธีการ โอปอล สุชาตา และ จูเลีย มอร์ลีย์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวอย่างเนืองแน่น เมื่อถามถึงการต้อนรับโอปอลกลับบ้านอย่างอบอุ่นครั้งนี้ โอปอล กล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนมากๆ นะคะที่คอยติดตามเชียร์โอปอลตั้งแต่ตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่วงการนางงาม จนถึงการประกวดมิสเวิลด์ โอปอลเชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ใครหลายๆ คนอยากให้โอปอลเริ่มต้น แล้วมันแฮปปี้เอนดิ้งมากๆ สำหรับโอปอลในวงการนางงาม เพราะมันทำให้โอปอลได้พบเจอคุณค่าหลายๆ อย่าง ทั้งตัวปอลเองและคนรอบข้าง ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เชื่อมั่น และมาต้อนรับอย่างอบอุ่น หวังว่าจะได้เจอทุกๆ คนช่วงพาเหรดและค่ำคืนนี้ด้วยนะคะ”

...

ด้าน จูเลีย กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มาที่ประเทศไทย รักคนไทยมากๆ เพราะว่าคนไทยไปสุดในเรื่องของนางงาม เป็นประเทศที่ผู้คนอบอุ่น เต็มไปด้วยความรัก รอยยิ้ม ดีใจที่ได้มาเพราะว่าในการที่โอปอลได้มงกุฎครั้งนี้ สิ่งที่ยึดมั่นมากที่สุดคือ Beauty with a Purpose ซึ่งในโอกาสนี้จะมีโอปอลเป็นสะพานเชื่อมที่จะนำโครงการนี้มาสู่ประเทศไทย ไม่ใช่แค่ในวันเวย์ แต่เป็นโครงการที่โอปอลและคนไทยสามารถแสดงให้เขาเห็นได้ด้วยว่าพลังตรงนี้ของเขาสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ อย่างที่โอปอลมันไม่ใช่การที่เราเป็นตัวแทนอย่างเดียว แต่ว่าเราเป็นตัวแทนที่จะสะท้อนปัญหาในประเทศด้วย เชื่อว่าด้วยแพลตฟอร์มของเขาที่มีกว่า 140 ประเทศ เราน่าจะช่วยเหลือสังคมได้เยอะ

กับคำถามว่าคิดว่าทำไมถึงได้มา โอปอลกล่าวว่า หนึ่งด้วยความที่เราค่อนข้างรู้จักและใช้เวลาพอสมควร รู้สึกว่าเขาชอบอะไรที่เป็นตัวเอง คุณจูเลียจะบอกเสมอว่าให้เราเป็นตัวเอง ด้านจูเลียกล่าวว่า ตนต้องการคนที่เป็นตัวของตัวเอง ผ่อนคลาย มีเป้าหมายที่ชัดเจน อยากให้ผู้หญิงทุกคนได้รับแรงซัพพอร์ตจากฐานของเขา ทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ อีกส่วนก็คือประสบการณ์ต่างๆ ที่โอปอลหล่อหลอมและได้เรียนรู้จากเส้นทาง สุดท้ายไม่ใช่โอปอลคนเดียวที่ชนะ มันคือประเทศไทย ทั้งตนและทั่วโลกมองเห็นสิ่งนั้น

ส่วนเรื่องภารกิจต่างๆ ในฐานะมิสเวิลด์ตลอด 1 ปี โอปอลกล่าวว่า ก็มีคุยบ้าง แต่ยังไม่ลงลึกชัดเจนว่าจะไปเยือนที่ไหนบ้าง เพราะยังต้องดูเรื่องของการเดินทางต่างๆ แต่ว่าหลักๆ ที่คุยจะเป็นเรื่องการโฟกัสปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งเต้านมที่โอปอลกำลังทำงานโครงการอยู่ ในเรื่องการเดินทางไปช่วยเหลือผู้หญิงทั่วโลก รวมถึงเด็กๆ ด้วย เพราะว่าคุณจูเลียชอบโครงการของเด็ก โอปอลก็ชอบ รู้สึกว่าเราน่าจะโฟกัสกันตรงนี้ตลอดเวลา 1 ปี พยายามที่จะเดินทางไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นตรงกันคือการเดินทางไปช่วยเหลือคนที่ประเทศอื่น บางทีแค่เขามองเห็นเรา มันคือสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เขาต้องการแค่ความหวัง แสงสว่าง สิ่งหนึ่งที่โอปอลเห็นตรงกับคุณจูเลียมากๆ คือการที่เราไป เราไม่ได้แค่สร้างคุณค่าให้กับชีวิตคนที่เขากำลังลำบากหรือต่อสู้ปัญหา แต่เป็นการที่เราเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของตัวเราเองด้วย

ส่วนโครงการต่างๆ ในเมืองไทย โอปอลกล่าวว่า เริ่มต้นคงจะเป็นเงื่อนไขต่างๆ ที่โอปอลเคยทำงานร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถาบันต่างๆ ที่โอปอลร่วมงานด้วยตลอด จะดูว่าสามารถที่จะส่งต่อความช่วยเหลือที่ไหนได้อีกบ้าง เพราะอย่างที่คุณจูเลียบอกว่าการที่โอปอลได้มงจากไทยและมาที่นี่ มันก็หมายความว่าประเทศไทยเราเองต้องแสดงให้เขาเห็นว่าช่วยเหลือตรงไหนได้บ้าง เดี๋ยวค่อยๆ แก้ไขปัญหากันไปเรื่อยๆ

...

กับคำถามว่าตื่นเต้นไหมที่การเดินทางครั้งนี้เป็นจริง เราจะได้เดินทางไปทั่วโลกจริงๆ โอปอลบอกว่า รู้สึกตื่นเต้น ดีใจมาก เพราะว่าเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของเราในการประกวดนางงาม โอปอลอยากใช้แสงตรงนี้ไปในที่ที่เขาต้องการมองเห็นแสงสว่างในชีวิต หลังจากจบภารกิจ 1 ปี คุณจูเลียบอกว่ามันไม่ได้หมายความว่าเราเก่งขึ้น แต่มันหมายความว่าเราไปเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองมากขึ้นในตลอด 1 ปีที่ไปช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

ถามว่าอยู่เมืองไทยน้อยลงไหม โอปอลเผยว่า ถ้าเทียบกับปกติ คงอยู่ไทยไม่บ่อยเท่าแต่ก่อน ด้านจูเลียกล่าวว่า อยากให้โอปอลกลับบ้าน เพราะก็อยากพักกับโอปอลเหมือนกัน เขาไม่อยากให้เราจากบ้านนาน แต่ด้วยภารกิจที่มี ส่วนตัวปอลเองพร้อมทำงานเต็มที่ 1 ปีอยู่แล้ว ซึ่งออฟฟิศหลักอยู่ลอนดอน แต่คิดว่าคงไม่มีที่ไหนที่โอปอลอยู่ถาวร เพราะต้องไปหลายประเทศทั่วโลกเพื่อที่จะช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด

เมื่อบอกว่าโอปอลทำให้คนไทยมีความสุข โอปอลบอกว่า ดีใจ อันนี้เป็นสิ่งที่โอปอลรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ค่อนข้างหายากมากๆ ในชีวิต โอปอลไม่รู้ว่าต้องมีเงินแค่ไหนถึงซื้อความสุขให้กับคนทั้งประเทศได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ตลอดชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้ ปอลก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติมากๆ กับโอกาสนี้ ดีใจที่ทำให้ทุกคนมีความสุข ในขณะที่จูเลียกล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้น ขอบคุณทุกคนที่มา ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น รู้สึกว่ามิสเวิลด์ทุกคนที่มาที่นี่สวยมาก งงมากว่าคนไหนคือตัวจริง

...

โอปอลกล่าวต่อว่า โอปอลรู้ว่าทุกคนมีความสุขมากๆ ภูมิใจมากๆ สิ่งที่สำคัญที่โอปอลอยากให้ทุกคนสัมผัสร่วมกัน โอปอลไม่ได้อยากให้แค่ทุกคนดีใจว่าโอปอลชนะมิสเวิลด์ แต่อยากให้แชร์ความรู้สึกภูมิใจ เหตุผลที่อยากได้มงกุฎครั้งหนึ่งในชีวิต โอปอลอยากให้คนเห็นว่าการที่ประเทศเรามีความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ มีความสุข ไม่ว่าจะวัยไหน สามารถแชร์ด้วยกันได้ มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่ได้รู้สึกบ่อยครั้ง อย่างที่บอกว่ามีเงินมากแค่ไหนแต่มันไม่สามารถซื้อความรู้สึกนี้ได้ อยากให้ทุกคนฮีลความรู้สึกนี้ เป็นความรู้สึกที่อยากแชร์กับทุกคน

เมื่อถามว่าได้ดูคลิปรีแอ็กชั่นคนไทยกรี๊ดตอนคว้ามงหรือไม่ โอปอลบอกว่าเห็น มีได้ดู แต่ดูไม่จบเพราะเดี๋ยวร้องไห้ ถ้าพูดตรงๆ เราใฝ่ฝันที่จะมีโมเมนต์นี้ เราก็มีไปดูรีแอ็กชั่นประเทศอื่นบ้าง ก็ดีใจที่พอถึงเวลาที่เป็นโมเมนต์ของเรา ทุกคนดีใจกับโอปอลจริงๆ ส่วนวินาทีที่จับมือและได้มง โอปอลเล่าว่า ด้วยความที่เราทุกคนก็รู้ว่าการได้มงกุฎมิสเวิลด์ไม่ง่าย ปอลเชื่อว่าหลายๆ คนไม่รู้ว่าจะหวังยังไงแล้ว รอเวลามานานมาก แต่ความจริงโอปอลรู้สึกว่าเหมือนใจเต้นด้วยตั้งแต่วินาทีเข้ารอบแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าพื้นที่มีจำกัด

...

เราทำเต็มที่ทุกอย่าง เพื่อนๆ ทุกคนก็ต้องการเป็นผู้ชนะเหมือนกัน เราก็ค่อนข้างเครียด แต่ไม่อยากคิดเยอะค่ะ เราอยากปล่อยใจจอยๆ เพราะว่าอยากให้มีความสุขที่สุดตอนที่อยู่บนเวที พอตอนประกาศก็ลุ้นว่าให้เป็นประเทศไทย แต่ว่าลุ้นไม่สุดเพราะคุณจูเลียยังไม่ประกาศชื่อประเทศไทย จนประกาศชื่อประเทศไทยก็รู้สึกช็อกมากจริงๆ ปอลใช้เวลาหลายวันมากๆ ในการ process ว่ามันเกิดขึ้นจริง วินาทีมงลง น้ำตามาตั้งแต่ตอนประกาศ

ตอนมงกุฎลงหัวรู้สึกว่าเป็นโมเมนต์ที่เราอยากรู้สึกไปตลอดชีวิต มีทีมงานพูดกับโอปอลว่าเห็นยูหลับตาน่ารักมากตอนที่ใส่มงกุฎ โอปอลบอกว่าบางทีการที่เราหลับตา มันทำให้ประสาทสัมผัสของเราทำงานได้ดีขึ้น มันเป็นสิ่งที่โอปอลอยากทำตอนรับมงเพราะว่ามันเป็นหนึ่งครั้งในชีวิต มันคือความภาคภูมิใจ ไม่ใช่แค่โอปอล ครอบครัว แต่เป็นของคนไทยทั้งประเทศด้วย เราอยากเก็บความรู้สึกนั้นไว้จริงๆ

ส่วนตอนที่ฟังคำถามและทวนอีกรอบ ตอนนั้นมีสติกลับมาตอบได้ยังไง โอปอลบอกว่า ตอนนั้นใจตกเหมือนกัน เราก็พยายามแก้ไขสถานการณ์ มีสติที่สุด พยายามจับใจความคำที่เราฟังออก ดูว่า context ไปทางไหน พยายามตอบให้ตรงและเป็นกลางกับคำถามมากที่สุด หลังจากนั้นใช้ใจตอบจริงๆ

เมื่อถามว่าที่บ้านว่าไงบ้าง โอปอลบอกว่า คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ก็ภูมิใจ ปกติเขาไม่ได้พูดอะไรเยอะ แต่คุณแม่ภูมิใจมากๆ  ถามว่ากลับบ้านมารอบนี้อยากทานอะไร โอปอลบอกว่าอยากทานมะม่วง ก๋วยเตี๋ยวเรือ ส้มตำ คิดถึงอาหารไทย ส่วนรอบนี้คาดว่าจะมาอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ต้องดูคิวงานที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลว่าประเทศต่อไปคือที่ไหน ต้องไปเมื่อไหร่

ปิดท้าย โอปอล สุชาตา กล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ โอปอลเชื่อว่าเส้นทางการเป็นนางงามสามารถที่จะมอบความสุขให้หลายๆ คนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่โอปอลเป็นเกียรติ รู้สึกทรงคุณค่ามากๆ ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันจนถึงนาทีนี้ มันเป็นนาทีที่เราฉลองความสำเร็จนี้ด้วยกันแบบเต็มที่จริงๆ ขอบคุณมากค่ะ”

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม