หลังจากที่เป็นเรื่องเป็นราวกันมาข้ามปี ในที่สุด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ลูกหมี รัศมี ทองสิริไพรศรี นางแบบชื่อดัง โพสต์ภาพและข้อความผ่านไอจีส่วนตัว ระบุว่า

"ในที่สุด ก็จบ!!! ศาลพิพากษา ลูกหมีชนะคดีผิดสัญญาเงินกู้ ลูกหนี้ต้องชดใช้เงินรายละเอียดขอชี้แจ้งพรุ่งนี้ศุกร์ 13 มิ.ย. 68 เวลา 16.00 น. ที่สำนักทนายความเดชา กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจตลอดมาค่ะ"

โดยฝั่งลูกหมี เผยว่าศาลตัดสินให้คู่กรณี ชำระเงินเป็นเงินก้อน 1,739,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 15% ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2567 วันที่ทำสัญญา รวมดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องจ่ายคือ 2,065,062 บาท และค่าธรรมเนียมศาลอีก 3,000 บาทที่อีกฝ่ายต้องจ่าย โดยคดีนี้เป็นศาลชั้นต้น ยังมีศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ทางฝั่งลูกหมีเผยว่าคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะอุทธรณ์และสู้กันต่ออีกศาล

ล่าสุดในวันนี้ ลูกหมี รัศมี พร้อมทนายเดชา และ ทนายกุ้ง ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อพูดถึงเรื่องชนะคดีว่า 

- คดีนี้ลูกหมีฟ้องลูกหนี้ที่เป็นนางงามในความผิดเกี่ยวกับเรื่องสัญญากู้ยืมเงิน 2 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ศาลพิพากษาว่าสัญญากู้เงินต้น 2 ล้านบาทเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด และพิพากษาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง

- เพียงแต่ว่าหลังจากที่ทำสัญญากู้ จำเลยมีการชำระหนี้มาประมาณ 5-6 ครั้ง เป็นเงิน 261,000 บาท โดยประมาณ หักจากหนี้ตามสัญญากู้แล้วเหลือหนี้ประมาณ 1,700,000 บาท

- ประเด็นที่ลูกหมีบอกว่า ลูกหนี้มีการชักชวนลงทุนแล้วจะจ่ายผลตอบแทน ข้อเท็จจริงในการพิจารณาคดีปรากฏชัด ว่ามีการชวนลงทุนจริง ก็ไม่ได้จ่ายเงินปันผล เป็นการชักชวนลงทุนจริง แต่ไม่มีการลงทุนซึ่งลูกหมีได้ฟ้องฉ้อโกง พ.ร.บ.เช็คอยู่ที่ศาลแขวงพระนครใต้

...

- ประเด็นที่มีการจ่ายเช็คหลายฉบับ ประมาณ 9 ฉบับ ฝ่ายลูกหนี้ขอเช็คคืน 9 ฉบับ ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้แพ้คดี เพราะเช็คเหล่านั้นศาลพิพากษาแล้วว่ามีมูลหนี้ เป็นการจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ ไม่ใช่การจ่ายเช็คด้วยการค้ำประกัน ตามที่จำเลยต่อสู้ ศาลจึงไม่คืนเช็คให้

- นอกนั้นลูกหนี้ต่อสู้เกี่ยวกับเรื่องสัญญาปลอม บอกว่าลูกหมีให้สัญญาแบบฟอร์มปลอมแล้วไปหลอกลูกหนี้ให้ลงชื่อ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาคดี ไม่ใช่สัญญาปลอม เป็นสัญญาที่กรอกตัวเลขครบถ้วนตามขั้นตอน

- ประเด็นที่ต่อสู้เรื่องหนี้ผิดกฎหมายก็ไม่มีตามที่จำเลยต่อสู้

- ลูกหมีดีใจที่ศาลท่านยุติธรรม คดีออกมาอย่างชัดเจนเพราะคำพิพากษาค่อนข้างชัดเจนในทุกขั้นตอน ทุกกรณี รู้สึกว่าเป็นคดีตัวอย่าง

- เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า การที่จะไปลงทุนกับใครต้องระมัดระวังในการโกงได้

- ศาลตัดสินให้ชำระเงินเป็นเงินก้อน 1,739,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 15% ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2567 วันที่ทำสัญญา

- รวมดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องจ่ายคือ 2,065,062 บาท และค่าธรรมเนียมศาลอีก 3,000 บาทที่อีกฝ่ายต้องจ่าย

- คู่กรณีตอบโต้มาไม่ได้พูดถึงว่าจะชำระเงิน โพสต์มาว่าจะจ่ายให้ทนายเดชาเลย 3 พันบาท ให้แบ่งกับทนายกุ้งคนละ 1,500 บาท เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องหนี้ พูดถึงแต่ค่าธรรมเนียมศาล

- ต้องยื่นขอออกคำบังคับ มีเวลา 30 วัน ถ้า 30 วันยังไม่ชำระ ทางเราก็ต้องตั้งเรื่องออกหมายยึดทรัพย์ ถ้าสืบทรัพย์แล้วพบว่าไม่มีทรัพย์สินก็ฟ้องล้มละลาย ซึ่งคุยกันแล้วถ้าเขาไม่มีทรัพย์สินจะฟ้องล้มละลายทันที

- ลูกหมีเชื่อ 50-50 เรื่องที่อีกฝ่ายจะมีทรัพย์สิน เพราะมีเจ้าหนี้รายอื่นที่ดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว และศาลก็สั่งให้ชนะคดีแล้วเขายอมความกัน เจ้าหนี้รายนั้นต้องได้รับเงินเดือนละ 3 พันจากคู่กรณี ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 แต่เขาจ่ายแค่เดือนเดียว จนถึงปัจจุบันยังไม่จ่าย

- ลูกหมียอมรับว่ารู้สึกใจเสียมาโดยตลอดกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่จ่ายเงิน

- ตอนนี้มี 5 คดี คดีที่แถลงข่าวคือผิดสัญญาเงินกู้ วันที่ 17 มิ.ย.นี้เป็นคดีฉ้อโกง และอีก 3 คดี เป็นคดีหมิ่นประมาท รวมทั้งหมด 5 คดีที่ลูกหมีฟ้องไป

- ลูกหมีจะดำเนินคดีเพิ่ม คือแจ้งความเท็จเพราะกล่าวหาว่าเป็นนายทุนนอกระบบปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมาย

- หลังศาลตัดสิน อีกฝ่ายมีการโพสต์พูดเรื่องเงินค่าทนาย 3 พันบาท ที่ศาลสั่งให้คู่กรณีชำระ เขาบอกว่า จะโอนให้ทนายเดชา 3 พัน และอย่าลืมแบ่งให้ทนายกุ้งด้วย 1,500 บาท

- คดีนี้เป็นศาลชั้นต้น ยังมีศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ไม่กลัวเพราะหลักฐานของอีกฝ่ายมีนิดเดียว แต่ของตนมีเยอะมาก

- อีกฝ่ายน่าจะอุทธรณ์ เพราะเขาโพสต์ว่าน้อมรับคำตัดสินของศาล และนี่แค่ศาลชั้นต้น เขาก็คงสู้ต่อ น่าจะมีเงินจ่ายค่าทนายเยอะ

- เตรียมตัวสู้ต่อไป ต้องใช้เวลาศาลละ 1 ปี โดยเฉลี่ย

- ที่ชนะคดีนี้เพราะลูกหมีเป็นคนละเอียดรอบคอบ ตอนเอาสัญญากู้มา กรอกข้อความแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วส่งให้จำเลย และเขาก็ลงชื่อเป็นคนแรกในฐานะผู้กู้ และจำเลยส่งเอกสารกลับมา ลูกหมีก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้อีกและลงชื่อเป็นคนที่ 2 ในฐานะผู้ให้กู้ และในฐานะพยาน และส่งไปให้จำเลย พยานหลักฐานอันนี้ทำให้ชนะคดี เพราะจำเลยไม่คิดว่าลูกหมีจะมีหลักฐานตรงนี้อยู่ในคำพิพากษา เพราะอีกฝ่ายต่อสู้ว่าเป็นสัญญาปลอมตั้งแต่ต้น ว่าลูกหมีให้เซ็นกระดาษเปล่า ซึ่งขัดกับพยานหลักฐานที่ลูกหมีถ่ายไว้

- ตามพยานหลักฐานคำพิพากษาก็น่าจะยังเหมือนเดิม เพราะไม่ใช่ปล่อยเงินกู้

- ตอนที่มีการสืบพยานในศาล อีกฝ่ายมีการขอมาว่า จะจ่ายเดือนละ 1 แสนบาท แล้วให้ถอนแจ้งความ 5 คดี และให้ลูกหมีไปออกรายการโหนกระแสไปขอโทษออกรายการ แต่เขาไม่ไปออกรายการด้วย และลูกหมีมองว่า เจ้าหนี้รายอื่นเดือนละ 3 พันยังไม่ได้เลย แล้วตนจะได้หรือ ลงทุนเงินก้อนไป 2 ล้าน แต่ได้มายิบย่อยและต้องไปขอโทษออกสื่ออีก ก็เลยไม่ยอม และดำเนินคดีต่อไปได้เลย

...

- คดีหมิ่นประมาท 4 คดีที่อีกฝ่ายไปแจ้ง ลูกหมีไปพิมพ์ลายนิ้วมือเรียบร้อยแล้ว เสียเวลาและเหนื่อยมาก แต่ทางตำรวจยังไม่มีติดต่อมา

- ส่วนอีกคดีเพิ่งโดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา ที่ สน.ทองหล่อ

- จริงๆ ตั้งแต่เช็คเด้ง ถ้าเกิดยอมความตั้งแต่แรก หรือเจรจา หรือยอมรับผิด มาบอกว่ามีเงินหรือไม่มีเงิน เรื่องจะไม่บานปลายมาจนถึงวันนี้ เหตุเกิดจากการกระทำของเขาเองที่ไม่ยอมรับความผิด และปล่อยให้เรื่องเลยเถิด

- ลูกหมีพร้อมให้อภัยและรอไกล่เกลี่ยตลอดแต่ไม่ได้รับความจริง เลื่อนไปตลอด ซึ่งมีความอดทนให้ 6 เดือน จึงไปแจ้งความ 4 เมษายน ซึ่งได้แจ้งอีกฝ่ายแล้วว่าให้มาโรงพัก ซึ่งเขาก็ออกเช็คอีก ก็รอจนถึง 13 มิถุนายน จึงออกมาเตือนภัยสังคม การกระทำที่เกิดขึ้นเกิดจากตัวเขาทั้งหมด

- อีกฝ่ายโพสต์ข้อความตลอดเวลาอยู่แล้ว โพสต์หมิ่นประมาทลูกหมี ทนายเดชาและทนายกุ้ง ซึ่งลูกหมีมองว่าคนที่อายุจะ 50 และมีการศึกษาไม่ควรทำแบบนี้ เขาต้องหยุดการกระทำและวิธีคิดแบบนี้

- หลายคนเห็นแล้วก็เอาเป็นแบบอย่าง อะไรที่ดีก็ทำตาม คนเรามีคุณค่าในตัวเอง แต่ถ้าทำตัวแบบนี้คุณค่าในตัวก็จะลดลง

- พฤติกรรมการตอบโต้มันเกินจากคนที่มีการศึกษา

- ถ้าใครเป็นหนี้หรือเอาเงินเขามา สิ่งที่ควรจะคิดคือการหาเงินมาชำระหนี้เขา แต่ลูกหนี้บางคนหาเงินไปจ้างทนาย เอาเงินจ้างทนายไปชำระหนี้ดีกว่า

- การที่เรายืมเงินจากใคร ต้องนึกถึงบุญคุณของคนที่เป็นเจ้าหนี้ ไม่ควรที่จะไปฟ้องเขากลับ ไปท้าทาย เยาะเย้ย เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงคนที่ไปให้คำแนะนำปรึกษา ไม่ได้หมายถึงใครนะ ฝากถึงผู้ประกอบวิชาชีพทนาย ให้แนะนำให้ลูกหนี้หาเงินมาใช้เจ้าหนี้ ไม่ใช่เอาไปทำเป็นคอนเทนต์

- เป็นหนี้ต้องใช้ไม่ใช่หาเงินมาจ้างทนาย

...

- เมื่อทนายอีกฝ่ายรู้ว่าไม่ใช่สัญญาปลอมก็ยินดีเจรจาแต่ลูกหนี้คนนี้ไม่แน่ใจว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้หรือเปล่า จะให้ทนายจ่ายก็คงลำบาก