- บอย ถกลเกียรติ สิ่งที่รักเปลี่ยนชีวิต ต้องมีสักวันได้ทำสิ่งที่ชอบ
- เคยมีความฝันอยากเป็นนักแสดง แต่สุดท้ายได้มาทำงานเบื้องหลัง
- ละครเวทีทำแล้วคุ้มค่า ได้หลายสิ่งหลายอย่างจากการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
ชื่อของ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ เป็นชื่อที่คุ้นหูของคนในวงการบันเทิง บอย ถกลเกียรติเป็นผู้บริหารที่มีฝีมือ เป็นทั้งผู้กำกับละครโทรทัศน์ และละครเวที โดยเฉพาะละครเวทีมิวสิคัล ที่เป็นสิ่งที่เจ้าตัวนั้นทำด้วยความรัก
และวันนี้เราได้มีโอกาสที่ได้พูดคุยกับคุณบอย ถึงเรื่องราวความรักในละครเวทีมิวสิคัล จนได้มาทำในสิ่งที่รักนี้อย่างยาวนานผ่านทางรายการ THE STORY OF… ทางช่องยูทูบ Thairath Variety - ไทยรัฐวาไรตี้
จุดเริ่มต้นของความรัก
เราเริ่มต้นที่คำถามแสนจะเบสิกกับคำถามที่ว่า เริ่มทำละครเวทีมิวสิคัลเพราะความชอบ อยากให้เล่าถึงความชอบนี้ให้ฟังอีกสักครั้งหนึ่ง ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งคุณบอยเล่าถึงความชอบนี้ให้เราฟังด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาที่เล่าถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้เราฟัง
"ผมหลงรักในละครเวทีมิวสิคัลมาตั้งแต่ผมอายุ 12 ตอนนั้นครั้งแรกเลยคือเป็นคนดู คุณพ่อพาไปดูละครเวทีเรื่อง เดอะสตาร์ออฟมิวสิค ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่ซานฟรานซิสโก และได้ไปดู แล้วก็รู้สึกทึ่ง รู้สึกว้าวกับมันมาก ว่า เฮ้ย ความว้าวมันคือการเปลี่ยนฉาก เริ่มจากการเปลี่ยนฉากก่อนว่าจากฉากบ้านดีๆ มันกลายเป็นฉากภูเขา
...
หลังจากนั้นก็มารับรู้ว่าเพลงทั้งหมดที่ได้ยินในวันนั้น ทั้งการร้องและตัวดนตรีก็คือเป็นการแสดงสดหมด เล่นดนตรีก็เล่นกันสดๆ การร้องก็ร้องกันสด เราก็เลยรู้สึก โอ้โห ทำไมมันเป็นศาสตร์ที่มันอะเมซิ่งมากๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในการแสดงสด มันมีอะไรผิดคิว ผิดอะไรได้ มันง่ายมาก แต่ว่ามันไม่ผิดเลย และด้วยเรื่องราวของมัน ด้วยการแสดงของเขาก็คือมันพากันไปหมดเลยมันเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย
หลังจากนั้นก็ได้ดูภาพยนตร์เรื่องเดอะสตาร์ออฟมิวสิคแล้วก็หลงรักมัน หลังจากนั้นก็ได้ดูภาพยนตร์เพลงอีกหลายเรื่องนะครับ รวมถึง เดอะคิงแอนด์ไอ มายแฟร์เลดี้ แล้วก็ยังนึกถึงบรรยากาศที่แต่เรื่องเหล่านั้นมันก็มาจากละครเวทีหมดเลย ก็เลยนึกถึงบรรยากาศว่าถ้าได้ดูละครเวทีเรื่องพวกนั้นอีกครั้งหนึ่งมันก็น่าจะดี แล้ววันหนึ่งก็ได้ดู แล้วหลังจากนั้นก็ติดกับดัก ติดอกติดใจคราวนี้
ในความชอบด้วยสตอรี่ที่มันทัชกับเราในความเป็นเด็กของเรา ณ ตอนนั้น มันก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้น เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จนเราหลงรักแบบฟอร์มหรือศาสตร์ที่เรียกว่าละครเวทีเดอะมิวสิคัล"
ละครเวทีเปลี่ยนชีวิต ได้ทำตามความฝัน
จากนั้น คุณบอย เล่าถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต หลังจากที่ได้ไปดูละครเวทีเรื่องดังอย่าง A Chorus Line ละครเรื่องที่คนไปดูบอกต่อกันปากต่อปากว่า ใครที่ชอบละครเวทีมิวสิคัลห้ามพลาดเรื่องนี้ และหลังจากที่ดูจบ ก็ทำให้แนวความคิดของคุณบอยเปลี่ยนไปตลอดกาล
"ละครเวทีเรื่อง A Chorus Line อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าเปลี่ยนชีวิต คือนอกเหนือจากที่มิวสิคัลให้ความบันเทิงกับเราแล้ว ได้เอนเตอร์เทนเราแล้ว บางทีหลายๆ เรื่องก็ให้ข้อคิด มันมีแมสเสจอะไรที่เราไปดูแล้วมัน Hint เรา มันโดนเราอย่างจังมากๆ
อย่างเรื่อง A Chorus Line ตอนนั้นผมอายุสัก 14 เพิ่งเริ่มๆ ดูมิวสิคัล แล้วเขาก็บอกว่ามันมีมิวสิคัลเรื่องนี้ที่ดีมากๆ โด่งดังมากๆ และก็เป็นหนึ่งในตัวท็อปของสมัยนั้น ยุคนั้น A Chorus Line เป็นเรื่องของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มาออดิชันสำหรับละครเวทีเดอะมิวสิคัล ก็เป็นเหมือนเรื่อง behind the scene ของมิวสิคัล
แต่ว่าคนที่มาออดิชันสำหรับคอรัส สำหรับออลซัมโบ ของละครเวทีเดอะมิวสิคัลเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็เป็นที่จินตนาการขึ้นมา แต่พอว่ามาออดิชันก็จะเป็นกลุ่มคนประมาณ 10 คนมาออดิชัน แต่ว่าในเรื่องผู้กำกับให้เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองมาหน่อยสิ ชีวิตผ่านอะไรมาบ้าง บางทีมันอาจจะไปแมสกับตัวละครในเรื่อง ไหนลองเล่าชีวิตของคนเหล่ามา
...
แล้วปรากฏว่าพอได้ฟังชีวิตของคนเหล่านั้น ตอนแรกเขาบอกว่าเป็นเรื่องแบบนี้ เราก็บอก เดี๋ยวๆ มันน่าดูยังไง มันสนุกตรงไหน มันน่าดูตรงไหน แล้วเห็นภาพจากละครมันไม่มีฉากอะไรเลย มีแต่กระจก แล้วคอสตูมก็เป็นชุดเดียวกัน ชุดออดิชัน ชุดเดิมทั้งเรื่อง เราก็แบบ มันสนุกตรงไหน จากที่เราเคยว้าวกับฉาก มันอะไร มันน่าดูตรงไหน ก็คิดว่าจะดูไหม แต่คนที่เขาชื่นชอบมิวสิคัลเขาก็บอกว่า ไปดูเถอะถ้าคุณชอบเดอะมิวสิคัลคุณต้องไปดูเรื่องนี้ อ่าๆ ไปดูก็แล้วกัน
พอไปดูมาแล้วเรื่องนั้น พอดูจบแล้วมัน อย่างที่เขาบอก ดูหนัง ดูละครแล้วมันเปลี่ยนชีวิตเราได้ มันเปลี่ยนจริงๆ คือด้วยแมสเสจของเรื่องมันเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่มาออดิชันสำหรับละครเวทีแล้วเราเห็นชีวิตของเขาแต่ละคนทำไมเขาถึงมาออดิชันในวันนี้ บางคนก็ มันเป็นงาน
บางคนก็ไม่รู้จะทำอะไรกิน ทำอันนี้ ทำสิ่งนี้ได้ ก็ต้องทำไปมันไม่มีอย่างอื่น ไม่ได้เรียนหนังสือมาสูงๆ หรือว่าไม่ได้อะไร แต่ชอบใจรัก เรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก บางคนก็บอกมันเป็นหน้าที่ ตอนนี้กำลังจะแต่งงานแล้วต้องมีรายได้ บางคนก็บอกว่ามันเป็นความฝัน บางคนก็บอกว่าฉันเพิ่งมาจากต่างจังหวัดอยากจะมาอยู่ในมิวสิคัลดีๆ สักเรื่องหนึ่ง
หรือบางคนก็จะบอกว่าฉันก็ทำมาตั้งแต่อายุ 20 กว่าตอนนี้ฉัน 30 กว่าแล้ว รู้ว่าเวลาฉันใกล้หมดแล้ว จนตอนท้ายแมสเสจมันบอกว่า ชีวิตเรา ตัวละครเหล่านั้นเขาอยากทำในสิ่งที่เขารัก แล้วมันก็มีเพลงหนึ่ง ชื่อว่า What I Did For Love แล้วเหมือนกับว่าในชีวิตนี้ชีวิตหนึ่งของเรา เราจะได้ทำในสิ่งที่เรารักหรือเปล่า ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารักเราก็ทำมัน เพราะวันหนึ่งเราคงจะไม่ได้ทำมัน
พอดูเรื่องนี้จบผมก็ ผมจำได้ ผมเหมือนกับเบลอไปครึ่งชั่วโมง แล้วเราก็นึกในใจว่าเราโดนอะไร ไปโดนอะไรมา นั่งรถเมล์กลับบ้านนึกถึงตรงนี้ เพลงนี้ตลอดเวลา แล้วถามตัวเองว่า อายุ 14 นะครับ ในชีวิตนี้ฉันจะได้มีโอกาสที่จะร้องเพลง เพลงนี้แล้วได้ความหมายอย่างลึกซึ้งอย่างที่ตัวละครเหล่านี้ได้ไหม ประเด็นคือ ชีวิตเราจะได้ทำในสิ่งที่เรารักไหม
...
ตั้งแต่วันนั้นมันเลยเปลี่ยนชีวิตเรามากๆ เพราะว่า สมัยเด็กๆ เราไม่รู้นะว่า เห็นคุณพ่อไปทำงาน คุณพ่อไปทำงานก็เคยไปทำงานคุณพ่อ ก็จะมีโต๊ะ ก็เป็นโต๊ะทำงาน พอกลับมาบ้านคุณพ่อก็จะมีแฟ้มมาแล้วก็มาเซ็นแฟ้ม เราก็ อ๋อ การทำงานคือการไปนั่งที่โต๊ะทำงาน จะประชุม จะนู้นนั่นนี่ จะเซ็นแฟ้ม นั่นคือทำงาน
แต่เราแล้วเราก็บอกว่า โห ถ้าเกิดโตขึ้นแล้วเราต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานแบบนั้นมันเป็นสิ่งที่เรารักหรือเปล่า เราคิดว่ามันคงน่าเบื่อมั้ง เราไม่อยากทำแบบนั้น เพราะเราก็ไม่ได้สนุกกับตัวเลขหรืออะไรก็ไม่รู้ตอนนั้น
เอ๊ะ ถ้าเผื่อเราทำอะไรที่มันเป็นในวงการบันเทิงที่จริงๆ มันมีงานของมันแบบนี้นะ มีอาชีพแบบนี้นะ เราไม่รู้ แต่นี้คืออีกอาชีพหนึ่งที่มันทำได้ แล้วก็ถามตัวเองว่าเราจะได้ทำไหม หลังจากนั้นมันก็เลยกลายเป็นแรงบันดาลใจที่จะให้เราจะได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ในสิ่งที่เรารัก ในสิ่งที่เราอยากทำ"
อยากเป็นนักแสดง แต่สุดท้ายได้ทำงานเบื้องหลัง
เราพูดคุยกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงเรื่องที่คุณบอยบอกกับเราว่า "มีความฝันอยากเป็นนักแสดง" ซึ่งคุณบอยเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงชีวิตตอนนั้นให้เราฟังด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเหมือนกับเรื่องราวที่เล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน
...
"ตอนที่ผมเรียน ผมเรียนละครเวทีอยู่ที่อเมริกา คือแรกเริ่มผมอยากเป็นนักแสดง ความฝันอยากเป็นนักแสดง แล้วก็เรียนละครเวที แล้วปรากฏว่าเวลาไปออดิชันเราก็ไม่ค่อยติดหรอก ติดน้อยมากแล้วกัน แล้วเราก็ในความเป็นเด็กเราก็จะโทษว่าทำไมเราไม่ติด
อ๋อ ดูดิหน้าเรา ผมเรา หน้าเราเอเชียขนาดนี้ ผมเราดำขนาดนี้เล่นเป็นญาติโกโหติกาของใครก็ไม่ได้หรอก มันก็มักจะไม่มีบทเขาก็ฝรั่งกันหมด เราก็จะโทษในสิ่งนั้นเสียเยอะ แต่มันกลายเป็นว่า มันก็มีบางบทคนหน้าตาอย่างเอเชียก็เล่นได้ แต่ทำไมไม่ได้เล่นนะ เอ๊ะ หรือว่า จริงๆ เราไม่ถึง เราไม่ได้มีความสามารถในการที่จะเป็นนักแสดง ก็เฟลนะ แต่โชคดีที่รับได้เร็ว
เอาวะ ถ้าเราเป็นนักแสดงไม่ได้ ตอนนั้นอาจารย์มาบอกว่า ไอกำลังจะทำละครเรื่องนี้ Amadeus มหาวิทยาลัยกำลังจะทำ ไอต้องการ ผู้จัดการเวทีมาทำไหม ผู้จัดการเวที ตัวติดกับผู้กำกับ แล้วต้องเป็นคนพอถึงเวลาแสดงจริงๆ คือรันคิวทั้งหมด มีหูฟังและคอยบอกคิวว่า ฉากไป ไลท์ติ้งไป ซาวด์ไป คือรันคิวทั้งหมด
ปรากฏว่าไหนๆ ก็ไม่ได้เล่น มาทำเบื้องหลังแล้วกัน ไม่ได้คิดว่าจะสนุกนะ ไม่ได้คิดเลยว่าจะสนุก ปรากฏว่าเรื่องนั้นอุปสรรคเยอะมาก นักแสดงเล่นไม่ได้ต้องเปลี่ยนตัวเอกแบบหนึ่งอาทิตย์ก่อนเล่น คือแบบแล้วเราต้องทำนู้นทำนี่ทำนั่น
พอสุดท้ายมาเป็นตัววันแสดงจริงๆ แสดง โรงละครที่มหาลัยมันประมาณ 500 ที่นั่ง แล้วคนที่เป็นผู้จัดการเวทีก็จะอยู่ข้างหลังสุด แล้วก็มีกระจกคั้นอยู่แล้วเป็นห้องมาคอยบอกคิวว่าคิวที่ 1 ไป คิวที่ 2 ไป เรานั่งอยู่ตรงนี้ข้างหลัง ตรงนู้นคือเวที แล้วระหว่างทางคือคนดู คนดู 500 กว่าคน
พอตอนจบพอนักแสดงออกมาโค้งแล้วคนทั้งฮอลล์ยืนขึ้นแล้วเราอยู่ข้างหลัง เฮ้ย ทำไมเรา ทำไมเราฟิน ทั้งๆ ที่เขาหันหน้าไปทางนู้นเขาหันหลังให้เรา แต่เรารู้ว่านั่นคืองานเรา เราก็รู้สึกว่า เออ ไม่ต้องมีใครรู้จักเราก็ได้ ไม่ต้องมีใครรู้จักหน้าเราก็ได้ ไม่ต้องมีใครรู้ว่าเราเป็นคนทำ แต่เราเติมเต็มกับตัวเราเองแล้วว่าเราได้ทำ แล้วนั่นคืองานเราจริงๆ
เราเลยรู้สึกว่า เออ ไอ้ความฟินของคนเบื้องหลังมันก็คืออย่างนี้นี่เอง หลังจากนั้นเราก็เลย เออ เราคิดว่าเราไม่ต้องเป็นนักแสดงหรอก เราทำเบื้องหลังแล้วกัน เพราะเป็นนักแสดงก็คงไม่รุ่ง อย่างที่บอก โชคดีมากที่เรายอมรับตัวเองได้ ณ วันที่เราอายุ 22-23 และพอวันที่ได้ทำละครเวทีเรื่องแรก วิมานเมือง ที่ศูนย์วัฒนธรรมความรู้สึกนั้นมันกลับมา เฮ้ย โห"
ละครเวที การลงทุนที่คุ้มค่า
เพราะทำละครเวทีมิวสิคัลมาอย่างยาวนาน เราถามคุณบอยตรงๆ ว่า การทำละครเวทีเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไหม และเราก็ได้รับคำตอบที่หนักแน่นจากคุณบอยว่า
"คุ้มค่าสิครับ ถ้าพูดในเรื่องของเงินหรือกำไรมันก็แล้วแต่เรื่องแหละ เรื่องที่เจ๊งกะบ๊งก็มีนะครับ เรื่องที่ทำกำไรก็มี แต่ถามว่าแต่ละเรื่องทุกเรื่องมันได้คุ้มค่าในด้านไหนในด้านความรู้สึก ในด้านของการเติมเต็มในเรื่องของความท้าทายที่เราทำได้ หรือบางเรื่องมันก็คุ้มค่าในเรื่องของการเรียนรู้ บางเรื่องมันอาจจะเฟลไปเลยก็ได้
แต่เรื่องนั้น เราเรียนรู้จากมันเยอะมากเลยนะ มันก็คุ้มนะ เพราะว่าเรื่องพวกนี้คือประสบการณ์พวกนี้คุณหาที่ไหนไม่ได้ อีกสิ่งหนึ่งที่คุ้มก็คือเราได้ทำงานกับคนมากมาย ทำงานอยู่ในทีม ทีมเวิร์คที่มีประสิทธิภาพ ทำไปด้วยกัน ทุกวันนี้ก็ยังเรียนรู้ไปด้วยกันอยู่
ตอนนี้ก็ยังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เจอนักแสดงรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำงานด้วย เราก็เรียนรู้จากเขา เขาก็เรียนรู้จากเรา ผมว่าอันนี้มันทำให้ละครเวทีแต่ละเรื่องนี้มันเกิดเวทมนตร์ขึ้น เพราะว่ามันจะเป็นคนละส่วนประกอบกันในแต่ละเรื่องพอมาเจอกันเราก็จะแบบ เออ มันเข้ากันได้
แน่นอน หัวใจสำคัญมากๆ ของมิวสิคัลก็คือเพลง จริงๆ มันคือการผสมผสานระหว่างการแสดงกับการเต้น ก็คือการแสดง เพราะฉะนั้นจริงๆ เพลงต่างๆ มันคือเป็นตัวขยายบทสนทนา ตัวละครมันมีความอัดอั้นอะไรบางอย่างที่แค่พูดไม่พอ มันต้องร้องออกมา บทสนทนาก็จะกลายเป็นเนื้อร้อง แต่ดนตรีมันเป็นตัวเสริมอารมณ์ของตัวละครให้มันขยายเพิ่มขึ้น
ก็ต้องพูดกันตรงๆ คำว่าละครเวทีคนชอบกลัวว่าฉันต้องปีนบันไดดูหรือเปล่า ฉันจะดูไม่รู้เรื่องหรือเปล่า มัน Interact เกินไปไหม หรืออะไรต่างๆ บางคนบอกฉันดูไม่รู้เรื่องแต่ฉันไม่กล้าบอกว่าฉันดูไม่รู้เรื่องเพราะว่าเดี๋ยวฉันดูโง่ งั้นฉันไม่มาดูดีกว่า เพราะงั้นเราก็บอกว่า เฮ้ย ไม่ใช่นะ ละครเวทีมันก็เหมือนดูหนัง คุณมีทั้งหนัง Blockbuster คุณมีทั้งหนัง Art คุณมีทั้งหนัง Hollywood คุณมีทั้งหนังยุโรป มันหลากหลายมากเลยมันแล้วแต่
ถ้าเราจะทำละครเวที เราก็ต้องอยากทำละครเวทีที่มันมีความป๊อป ที่มันเข้าถึงง่าย มันไม่ใช่ต้องปีนบันไดดู การทำละครเวทีผมว่ามันก็สำเร็จในแต่ละเรื่องของมัน เรื่องนี้สุดยอด อีกเรื่องมันอาจจะเฉยๆ มันเป็นปกติเหมือนคนทำหนัง ทำละครทีวี มันก็มีโดนบ้าง ไม่โดนบ้าง แล้วแต่เรื่อง
ถามว่าเราแฮปปี้ไหมกับสิ่งที่เราทำในทุกวันนี้ แล้วคนที่ดูมาแฮปปี้ไหม แฮปปี้มาก แต่มันก็ยังมีอะไรที่เราต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ปรับไปตามยุคตามสมัยไปเรื่อยๆ เราจะยึดติดกับเดิมๆ เรียกว่าไม่ปรับตัวไปตามยุคตามสมัยเลยมันไม่ได้หรอก คนดูแต่ละรุ่นก็เปลี่ยน
แต่ละเรื่องผมว่ามันก็มีจังหวะของมันนะว่าเรื่องนี้มาถูกช่วงเวลาไหม หรือว่ามาแล้วคนดูถามว่าอะไรเนี่ย มันก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไปหมดเลย"
“อันธพาล 2499 เดอะมิวสิคัล”
ฟังคุณบอยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำละครเวทีมิวสิคัล และได้ลงมือทำมาหลายต่อหลายเรื่องเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว และเรื่องล่าสุดอย่าง อันธพาล 2499 เดอะมิวสิคัล ที่ใกล้จะได้เห็นผลงานอีกในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ซึ่งเรื่องราวค่อนข้างแตกต่างไปจากที่เคยๆ ทำ นั่นเป็นเพราะอะไร ซึ่งเราก็ได้คำตอบจากผู้กำกับละครเวทีคนเก่งว่า
"ต้องบอกว่าละครเวทีแต่ละเรื่องเราก็จะคิดหนักในเรื่องของการเลือกเรื่องนะครับ ว่าเราจะเอาเรื่องอะไรมาทำ มันมีทั้งเรื่องที่มาจากนิยาย เรื่องที่มาจากละครทีวี เรื่องที่มาจากชีวิตจริงคน เรื่องที่มาจากอะไรต่างๆ เรื่องที่มาจากภาพยนตร์มันก็จะมีเหมือนกับว่า มันก็จะมี Title มีชื่อของเขาอยู่ประมาณหนึ่ง
มันก็อาจจะทำให้ดึงดูดคนให้มาดูมากขึ้น เพราะถ้าเราทำเรื่องที่ใหม่ขึ้นมาเลย ซึ่งก็เคยทำนะ ไม่มีใครรู้จักเลย แล้วเป็นเรื่องใหม่ขึ้นมาเลยไม่ได้มาจากอะไรทั้งสิ้น คนก็จะงง มันคืออะไร ซึ่งโอเค เคยทำไหม เคยทำบ้าง แต่พอมายุคนี้มันอาจจะต้องมีชื่ออะไรบางอย่าง ก็คุยกับทีมงานว่าทำเรื่องอะไรกันต่อดี เอาเข้าจริงๆ เราก็อยากทำอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำบ้าง
เราเคยทำละครที่เป็นแบบว่า รักโรแมนติก มหากาพย์มาแล้ว ฟ้าจรดทรายปีที่แล้วคือ โอ้ว ก็เป็นเรื่องของความรัก หรือทวิภพก่อนหน้านี้ อันก็เป็นเรื่องความรัก สี่แผ่นดินก็มหากาพย์เหมือนกัน มันมีมู้ดไหนอีกบ้างที่เราอยากจะทำแล้วเรายังไม่เคยทำ
ทีมงานก็เสนอภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง พี่ทำเดอะมิวสิคัลไหม เฮ้ย ได้เหรอ ร้องได้ไหม มันร้องได้ไหม เรื่องนี้มันร้องได้ไหม แล้วพอมาดูเข้าลงลึกถึงตัวละครแต่ละตัว เออ เขามีความอัดอั้นอะไรบางอย่าง อารมณ์อะไรบางอย่างที่แค่พูดไม่พอ แล้วเขาก็ต้องร้องออกมา ผมก็เลยคิดว่า ร้องได้ เรื่องนี้ร้องได้ แล้วมันเป็น เรียกว่าเป็น...ไม่เคยทำมาเป็นมิวสิคัล
โอเคมันไม่ใช่เลิฟสตอรี่จ๋า แต่มันก็มีเลิฟสตอรี่ของมันเพราะในความเป็นมิวสิคัลยังไงมันก็ต้องมีเลิฟอยู่ในนั้น แน่นอนมันก็มีตัวละครวัลภาต้องมาเป็นเมียเราต้องอดทน ก็เลยมา ลอง ลองทำดู แล้วปรากฏว่ามันก็ได้อย่างที่เราอยากได้ ในความใหม่ของมัน
มันจะมีฉากแอ็กชันมันจะมีอะไร แต่ว่ามันแค่ต่อยตีกันบนเวที ไม่ใช่ เพราะว่าละครเวทีมันต้องมีการเคลื่อนไหว ท่าเต้นที่ได้รับออกแบบแล้ว มันจะไม่เตะต่อยกันจริงๆ อยู่แล้ว แต่การเคลื่อนไหวของมันบนเวทีที่มันจะพุ่งไป ไอ้นั้นไอ้นู้นไอ้นี่ยังไง มันจะเป็นการเต้นที่สวยงามอย่างไรมากกว่า ที่มันเฮ้ย อย่างนี้ก็ได้นะ มันเป็นท่าเต้นที่ได้รับการออกแบบแล้ว
ประกอบกับเทคนิคพิเศษ แสงต่างๆ ที่บางอย่างที่เราไม่เคยใช้ในเรื่องอื่นๆ แล้วพอมาผสมกับเรื่องนี้ พอมันใช้ได้ เฮ้ย มันว้าว เราก็เลยพอทำออกมาตอนนี้มันก็แบบสนุกกับมันมาก เราสนุกกับมันมากแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในความใหม่ของมัน เราก็ต้องไม่ลืมคนดูที่เคยชื่นชอบผลงานของเมืองไทยรัชดาลัยอยู่ ไม่ใช่ให้มาดูวัยรุ่นตีกันเป็นมิวสิคัล เขาก็อาจจะงงๆ ฉันมาทำไม
ไม่ใช่ครับ มันไม่ใช่แค่วัยรุ่นตีกัน แต่มันมีอารมณ์ของมัน คนที่เคยมาดูละครเวทีที่เมืองไทยรัชดาลัย คนที่ชื่นชอบมาดูเรื่องนี้คุณได้ฟูฟิลแน่นอน คุณฟินแน่นอน และมันเป็นอีกแบบที่คุณยังไม่เคยเห็น ผมว่ามันได้อารมณ์เต็มอิ่มอย่างที่คุณเคยเต็มอิ่มกับเรื่องอื่นๆ มันมีนอกเหนือจากมันมีความเป็นแก๊งแต่มันมีมิตรภาพ มันมีความเป็นเพื่อนมีความเป็นมิตรภาพสูงมากที่แล้วมันก็มีความสูญเสีย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้พอมันถ่ายทอดออกมาเป็นเพลง มัน โห หลายๆ คนที่มานั่งดูเราซ้อมองค์สองสักพักคือหยิบทิชชู่ก็มีบ้าง เพราะฉะนั้นมันมีหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างมันอยู่ในนี้ที่ทั้งเพื่อคนดูใหม่ๆ ด้วยที่เราไม่ย่ำอยู่กับที่แต่ในขณะเดียวกันคนดูเรื่องก่อนๆ ก็จะเต็มอิ่มกับมัน เพราะท้ายที่สุดมันก็จะมีเรื่องรักด้วย มันก็มีเรื่องครอบครัวด้วย
ตัวละครของวัลภาและแม่ของแดง ไบเล่ ก็เป็นตัวละครที่สำคัญมากๆ เป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตของแดง และในความเป็นเพื่อนรักกันของแดง ไบเล่ และ ปุ๊ ระเบิดขวด มันเล่าตั้งแต่พาร์ทเด็ก จนเริ่มโตขึ้น จนกระทั่งแตกคอกัน จนกระทั่งมาเป็นศัตรูกัน แล้วมันก็ยังมีตัวละครอื่นทั้ง ดำ เอสโซ่ เปี๊ยก วิสุทธกษัตร แหลมสิงห์ ที่แต่ละตัวก็มีจุดเด่นของตัวเอง เขามีโมเมนต์ของเขาเองที่มัน
มาดูเถอะครับ มันไม่เหมือนหนังเลยครับ มันได้แรงบันดาลใจจากหนัง แต่เราไปอีกทางหนึ่งเลย คือยังไงซะ เราทำมิวสิคัล อยากจะฝากถึงผู้ชมทุกท่านนะครับ เราเริ่มแสดง 26 พฤษภาคมนี้ ถึง 29 มิถุนายน อันธพาล 2499 เดอะมิวสิคัล เป็นมิวสิคัลเรื่องใหม่เอี่ยมของเมืองไทยรัชดาลัย
สำหรับคนที่เป็นแฟนเมืองไทยรัชดาลัยอยู่แล้ว มาดูเถอะครับมันเต็มอิ่มแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีอะไรใหม่ๆ มาให้เห็น มันเป็นมิติใหม่ของละครเพลง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ทิ้งเสน่ห์หรือว่าความเต็มอิ่มที่เราเคยได้รับจากหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาด้วย และก็โปรดักชันก็หวือหวาอลังการงานสร้างอยู่นะครับ
ต้องมาดูสเปเชียลเอฟเฟ็กต์เราก็เยอะพอสมควรจากเรื่องนี้นะครับ มันได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง ของพี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร แต่มันไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนเลย มาดูแล้วเราจะเห็นอีกในมิติหนึ่งของทั้ง 2499 และทั้งของมิวสิคัล และมันก็สนุก ตระการตา และอารมณ์ที่เต็มอิ่มมากๆ ครับ"
เมื่อได้ทำตามความฝันและฝันนั้นก็เป็นสิ่งที่ตัวเองรัก มันจึงทำให้ บอย ถกลเกียรติ สร้างสรรค์ละครเวทีออกมาอย่างดีเยี่ยมและประทับใจคนดูแทบจะทุกเรื่อง
และหลังจากที่นั่งฟังผู้กำกับคนเก่งเล่าถึงการทำละครเวที “อันธพาล 2499 เดอะมิวสิคัล” มาขนาดนี้แล้ว จะใจแข็งไม่ยอมไปดูได้อย่างไร ใครที่เป็นแฟนละครเวทีมิวสิคัลห้ามพลาดกันนะ