- เปิดชีวิตในเรือนจำของ แพท พาวเวอร์แพท ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้าไป พร้อมเล่าชีวิตในแต่ละวันทำอะไรบ้าง
- จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง หากิจกรรมทำ เป็นครูสอนดนตรีและศิลปะให้กับเพื่อนๆ ผู้ต้องขัง
- แม้จะออกจากเรือนจำได้ 4 ปีแล้ว แต่ยังกลับมาทำกิจกรรม ส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้กับเพื่อนผู้ต้องขัง
หลังจากที่เคยใช้ชีวิตเกเรจนพังเพราะยาเสพติด ทำให้ แพท พาวเวอร์แพท หรือ แพท ภฤศ บุญทองนุ่ม ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำนานกว่า 16 ปี 8 เดือน เรียกว่ายากลำบากอย่างมาก และพอหลังจากได้รับอิสรภาพออกมา แพทก็ได้กลายเป็นคนใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ตั้งใจทำงาน ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี และกลับเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้อีกครั้ง
จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว ที่แพทได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกเรือนจำ หลังจากได้รับอิสรภาพเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 ซึ่ง แพท เผยว่า วันที่ 4 ม.ค. เหมือนเป็นวันที่ชีวิตได้เกิดใหม่อีกครั้ง โดยในทุกๆ ปี เขาจะกลับมาเยี่ยมเพื่อนผู้ต้องขัง และทำกิจกรรม ร้องเพลง สร้างความสุข เลี้ยงอาหารให้กับเพื่อนผู้ต้องขังที่เรือนจำบางขวาง
ล่าสุด แพท พาวเวอร์แพท ได้เปิดใจเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทั้งหมด จากที่ต้องอยู่ในมุมที่มืดที่สุดของชีวิต ผ่านทางรายการ THE STORY OF… ทางช่องยูทูบ Thairath Variety - ไทยรัฐวาไรตี้

...
ชีวิตพลิกผัน เปลี่ยนชั่วข้ามคืน
ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำ
"ความรู้สึกแรกที่เข้ามาในเรือนจำ ณ ตอนนั้น ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย พูดง่ายๆ เหมือนชีวิตมันพลิกไปเลย เปลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืนเลย เราเองก็ยังไม่รู้ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง แน่นอนว่ามันมีความกังวลอยู่แล้ว และมีความเครียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเรื่องคดีต่างๆ เรียกว่าทุกความรู้สึกมันผสมปนเปกันไป ณ ตอนนั้น มันก็เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสกับชีวิตเรามากตอนนั้น
ผมก็ใช้เวลาสักเดือนสองเดือนนะครับ กว่าจะปรับตัวได้ แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตอนนั้นเราก็พยายามเหมือนปรับการใช้ชีวิตทุกอย่างให้ได้เร็วที่สุด เพราะเราคิดว่าถ้าเราปรับได้ช้า เราก็จะใช้ชีวิตลำบาก มันก็จะมีแต่ความทุกข์ เราก็พยายามสังเกตว่าเขาทำอะไรกัน กฎระเบียบเป็นยังไง
การใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำมันเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับชีวิตภายนอกที่เราใช้อยู่มากๆ นะครับ เช่น เราต้องมาตื่นตอนเช้า 05.00 น. - 05.30 น. เพื่อมาเก็บที่นอน สวดมนต์ เราต้องมาอาบน้ำกลางแจ้ง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็เป็นคนที่เก็บตัว และมีโลกส่วนตัวสูงมาก
ทุกอย่างมันต้องอยู่ในกฎระเบียบและคิดถึงคนส่วนใหญ่ มันเป็นการฝึกตัวเราทุกมิติการใช้ชีวิตเลย ทั้งด้านระเบียบวินัย เรื่องการใช้ชีวิตอยู่กับคนหมู่มาก มันก็จะได้อะไรกลับมาหลายอย่างเหมือนกัน ในส่วนที่เรารับโทษ เราก็รับไปตามกระบวนการ แน่นอนมันมีความทุกข์ความเครียดอยู่แล้ว ในส่วนของการปรับตัว สิ่งที่เราได้จากเรือนจำก็มีหลายอย่างที่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นด้วย
การข่มตาให้หลับในแต่ละวันมันยากมาก แต่อยู่ที่จิตใจแต่ละคน ถ้าคนที่อยู่กับความเป็นจริง ทำใจได้เร็ว แล้วก็ยอมรับอันนี้สำคัญมาก ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเจอนะครับ หรือว่าผลที่ตัวเองทำ ก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าบางคนปรับจิตใจไม่ได้ ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเจอ ไม่ยอมรับกับกฎระเบียบ ไม่ยอมรับกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง มันก็จะมีความค้านอะไรอยู่ในใจทำให้เกิดความทุกข์ความเครียดได้"

ชีวิตแต่ละวัน
ต้องทำตามตารางที่เรือนจำวางไว้
"ชีวิตก็ส่วนใหญ่จะอยู่ในกฎระเบียบของทางเรือนจำในตารางที่เขาวางอยู่แล้ว เขาวางตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอนอยู่แล้ว ตื่นเช้ามาตั้งแต่ตี 5 - ตี 5 ครึ่ง จะลุกขึ้นมาเก็บที่นอน สวดมนต์แล้วก็รอปล่อยขังลงมา แล้วก็อาบน้ำแต่งตัว รอรับประทานอาหาร เสร็จแล้วก็เข้าแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ ร้องเพลงสรรเสริญเหมือนอยู่โรงเรียนเลย เสร็จแล้วก็ไปเข้าฐานฝึกกายบริหารแล้วก็ไปสวดมนต์
หลังจากนั้นใครหน่วยงานสังกัดไหนก็ไปทำ คนอยู่หน่วยงานเย็บผ้า หน่วยงานช่างต่างๆ ก็ไปทำ เรียกว่าเข้ากองงาน ของเราก็จะอยู่ในส่วนของทูบีนัมเบอร์วัน ในส่วนของเป็นจิตอาสาที่เป็นครูสอนดนตรี เราก็ไปทำ มีลูกศิษย์อยู่เยอะ เริ่มจากเล็กๆ ก่อน ตอนแรกผมเริ่มจากสอนกันเองกับน้องๆ ช่วงเสาร์-อาทิตย์ 2-3 คน แล้วเราก็ทำอย่างนี้มานานหลายปี
จนหลังๆ มีโครงการ TO BE NUMBER ONE จากทูลกระหม่อม เข้ามาให้กับพี่น้องผู้ต้องขัง ให้ทำกิจกรรมร้องเต้นเล่นดนตรีต่างๆ ก็มีกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าเราทำของเราอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยทำเป็นรูปธรรมและมีคลาสเรียน ก็เลยเริ่มต้นเปิดสอนกีต้าร์และศิลปะด้วยในเรือนจำ ก็มีคนเข้ามาเรียนเยอะ ทุกวันนี้เข้ามาก็ยังมีคนเรียกอาจารย์อยู่"
...
ในเรื่องการอาบน้ำ ที่คนมองว่า ต้องอาบน้ำแบบนับขัน แพท บอกว่า "ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเรือนจำไหน ผู้ต้องขังล้นจริง น้ำเขามีจำกัด เพราะฉะนั้นอาบช้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไรขนาดนั้น สำหรับเรื่องการถ่ายหนักถ่ายเบาอันนี้ก็ต้องยอมรับว่า ช่วงแรกปรับตัวได้ยากมาก เรียกว่าอาทิตย์แรกไม่ถ่ายเลย เนื่องด้วยห้องน้ำมันไม่ได้มี มีแค่ก่ออิฐบล็อกขึ้นมาเท่าเข่าเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็เห็นหมด ทำหนักทำเบาก็เห็นหมด ตรงนี้ก็ถือว่าปรับตัวอยู่พักใหญ่เลยนะครับ สักพักหนึ่งก็ค่อยๆ ปรับตัวนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่เราต้องรีบปรับตัวด้วย"

"อาหารการกินมันก็เป็นตามยุคตามสมัย ตอนที่ผมอยู่ประมาณสัก 10 ปีหลังค่อนข้างพัฒนาไปในทิศทางที่ดีมากๆ โดยเฉพาะที่เรือนจำกลางบางขวาง ของสดต่างๆ ที่นำมาประกอบอาหารให้ผู้ต้องขัง เขามีคณะกรรมการ แล้ววัตถุดิบก็มีคุณภาพ แล้วก็เมนูต่างๆ เขาก็พยายามเลือกที่ทานได้ รสชาติโอเค บางอย่างถือว่าอร่อย ก็มี ตอนหลังจะเป็นยุคข้าวขาวแล้ว แต่ผมก็ทันในยุคข้าวแดงจริงๆ ที่เป็นข้าวแข็งๆ ก็ยังทัน แต่เขาเปลี่ยนเป็นข้าวขาวที่นานมากๆ แล้ว ซึ่งข้าวขาวไม่แน่ใจเรียกว่าข้าวอะไร แต่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิหรอก"
...
"อย่างในกรณีถ้าเป็นคนที่ติดกาแฟ น้ำอัดลม ก็มีจำหน่ายในส่วนของร้านค้าสงเคราะห์นะครับ ของทางผู้ต้องขัง ถ้าเรามีญาติมาฝากบุ๊คให้ เราก็สามารถกดเบิกได้ เรียกว่าจะเป็นกาแฟซอง หรือน้ำอัดลมต่างๆ ก็สามารถหาทานได้ ขนมก็เช่นกัน แต่ว่าทุกอย่างจะมีจำกัด ทั้งของกินของใช้มีในจำนวนจำกัด แต่ว่าไม่ได้มากนัก แล้วก็ไม่ได้มีไซซ์อะไรเยอะแยะ ไม่ได้ขวดใหญ่ จะเป็นขวดย่อมๆ ส่วนราคาก็จะใกล้เคียงกับข้างนอก แต่จะมีสูงบ้างบางอย่าง"
ยืนยันในเรือนจำ
ไม่มีการแบ่งชนชั้นอย่างที่ใครคิด
นอกจากนี้ แพท ยังยืนยันอีกด้วยว่า ในเรือนจำไม่มีการแบ่งชนชั้นอย่างที่หลายคนคิด มีความเป็นอยู่ตามสภาพของแต่ละคน ถ้าใครมีญาติมาเยี่ยมเขาจะฝากเงินให้ใช้ แต่ถ้าใครไม่มีญาติและไม่มีเงิน ก็จะต้องไปทำงานแลก
"ชนชั้นมันไม่มีหรอก ผมว่ามองแบบนั้นด้วยสภาพของแต่ละคนมากกว่า เราต้องยอมรับนะแต่ละคนไม่ได้มีญาติมาเยี่ยม เงินในบุ๊คไม่มีนะครับ หรือบางคนเป็นผู้ต้องขังชาติพันธุ์ ต่างด้าว ต่างชาติ บางคนญาติไม่รู้ด้วยซ้ำว่าติดคุก เพราะเขาไม่ได้มีรายได้ หรือมีเงินมาซื้อของนอกเหนือจากที่แจก ความเป็นอยู่เขาก็เลยตามสภาพ กับบางคนที่มีญาติมาฝากตังให้พอจะมีโอกาสในการที่จะไปซื้อของจากร้านค้าสงเคราะห์ มีเงินซื้อสบู่ ซื้อขนมตามที่เขาอยากกิน บางคนไม่ได้มีกินแบบเขาแต่ก็อยากกิน ทำยังไง ก็ต้องไปทำงานแลก ไปนวดบ้าง รับตากผ้าซักผ้า มันก็จะเป็นแบบนี้มากกว่าตามวิถีความเป็นอยู่"
"ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่จะเป็นชุดหลวง แล้วก็เป็นชุดสีฟ้า 3 ชุด แล้วก็ชุดลำลองอีก 2 ชุดไว้ใส่เสาร์อาทิตย์ ณ ตอนนั้นนะครับ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ปรับเปลี่ยนรึยัง เขาอนุญาตแค่ 5 ชุด แต่ทุกชุดต้องเป็นกางเกงขาสั้นเท่านั้น
อุปกรณ์เครื่องนอน สมัยก่อนมีผ้า 3 ผืน ผืนหนึ่งจะต้องถูกนำมาพับเป็นปูนอน ผืนนึงถูกม้วนทำเป็นหมอน ผืนนึงก็ห่ม ก่อนผมจะออกมายังมีที่นอนยางพารา ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังมีมั้ย แต่เมื่อก่อนมีแบนๆ นอนกับพื้น ก็ดีครับ บางทีคนเฒ่าคนแก่ คนป่วย นอนกับพื้นก็เจ็บหลังป่วยกันเยอะ"
...

พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
เอาเวลามาพัฒนาตัวเองใหม่
แพท เผยว่า ในช่วงที่อยู่ในเรือนจำนั้น เรามีเวลาว่างเยอะกว่าคนข้างนอกมาก และเวลาแต่ละวันผ่านไปค่อนข้างช้า เลยพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เอาเวลาว่างเหล่านั้นมาเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง เพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเองตั้งแต่อยู่ในคุก
"ในแต่ละวันความรู้สึกผ่านไปช้ามาก เพราะว่าเรามีเวลาเยอะ อยู่ข้างนอกเรามีกิจกรรมทำนั่นนี่ แต่อยู่ในนี้มันมีเวลาเท่ากันก็จริง แต่มันไม่ได้มีอะไรให้เราไปทำเยอะแยะมากมาย ในช่วงแรกก็มีความเครียดความกังวลอยู่แล้วนะครับ เราจำเป็นต้องหากิจกรรมต่างๆ ทำ จะสังเกตว่าทางราชทัณฑ์หรือหน่วยงานต่างๆ พยายามจัดกิจกรรม จัดการศึกษาเข้ามาอยู่ในเรือนจำ เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้พัฒนาตัวเอง และสร้างโอกาสให้ตัวเองตั้งแต่อยู่ในคุก"
เป็นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ตอนอยู่ในนี้ ซึ่งเรียกว่าเป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ณ ตอนนั้นผมก็คิดเหมือนกันว่าในเมื่อเราต้องเข้ามาอยู่แล้ว พยายามวิเคราะห์หาสิ่งที่ได้เปรียบนั่นคือ เรื่องเวลา ว่าเราใช้เวลาเหล่านี้ซึ่งไม่ว่าจะอยู่จนถึงเมื่อไหร่ นานขนาดไหน จะออกไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอาเวลาที่ได้เปรียบกว่าคนข้างนอกมาพัฒนาตัวเอง มาหาความรู้ มาสร้างโอกาสต่างๆ ให้ตัวเองดีกว่า

ก็เลยเริ่มมองหาสิ่งที่พอจะหยิบจับได้ในเรือนจำ ซึ่งมันมีไม่ได้เยอะ แต่เราก็พยายามเปิดใจ ดูว่าโอกาสเหล่านี้มันไม่ได้มาก แต่ก็เป็นโอกาสเหมือนกัน ก็เลยเริ่มหาสิ่งต่างๆ ทำ เรียนหนังสือต่อ เรียนวาดรูป ฝึกวาดรูป กลับมาเรียนดนตรีใหม่ ตั้งแต่นับหนึ่งเลย เพราะก่อนหน้านั้นก็แอนตี้เรื่องเรียนโน้ต การเรียนดนตรีให้มันถูกระบบมันจะเป็นยังไง เริ่มศึกษา เริ่มหัดวาดรูปและเริ่มตั้งเป้าว่าเราจะสร้างงานศิลปะ
วันหนึ่งพอเราออกไป เราก็จะเอาภาพวาดมาสร้างรายได้ที่สุจริต เราก็เริ่มเขียนเพลง แต่งเพลง ก็มีเป้าหมายว่าวันหนึ่งถ้าเราได้ออกมาทำเป็นดนตรี โปรโมทต่างๆ ตั้งเป้าหมายว่าเราจะเรียนจบปริญญาตรี ทำให้พ่อแม่ภูมิใจในเรือนจำนะ สิ่งที่เราคิดว่า เราไม่น่าจะทำได้ เช่นเรื่องการศึกษา ก่อนหน้านั้นก็ค่อนข้างไม่ค่อยเชื่อมั่น และรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสำคัญ พออยู่ในเรือนจำก็ค่อยๆ ค้นหาสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์กับตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำมันมาตลอด"
จุดที่ทำให้อยากมีชีวิตต่อ
คือการกลับมารักตัวเอง
เมื่อถามว่า จุดเล็กๆ ที่อยากทำให้มีชีวิตต่อ ในขณะที่เราต้องอยู่ในเรือนจำ คืออะไร แพทเผยว่า มันคือการกลับมารักตัวเอง อยากให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นกว่าเดิม
"สำหรับผม ผมว่ามันเป็นการรักตัวเอง การที่อยากทำให้ตัวเองดีขึ้น การที่ไม่อยากจะซ้ำรอยเดิม การที่อยากจะทำให้ครอบครัว พ่อแม่ภูมิใจ จากลูกที่ไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจหรือเกิดประโยชน์ เราก็อยากจะปรับเปลี่ยนตัวเอง ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือกำลังใจที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง จากงานที่เรารัก เช่น การวาดรูป เล่นดนตรี เรียกว่าศิลปะด้านดนตรี กีต้าร์ มันให้ชีวิตผมเลยนะ
ทำให้เรามีความหวัง ทำให้ชีวิตแต่ละวันในเรือนจำ มันมีความหมาย มีคุณค่าในการฝึกฝน ฝึกปรือ แล้วก็มีเป้าหมายในชีวิต ว่าวันหนึ่งเราออกไป เราจะไปร้องเพลงไปแสดงงานศิลปะต่างๆ แม้จะเป็นฝันที่มันดูเลื่อนลอย ณ วันนั้นที่เรายังไม่เห็นวันกลับบ้าน แต่มันก็หล่อเลี้ยงให้ใจเราใช้ชีวิตในแต่ละวันในเรือนจำได้มีความหมาย"
"สิ่งที่ทำให้เราไม่ท้อ มันมีหลายส่วนนะครับ เรื่องกำลังใจ ต้องสร้างกับตัวเอง เราอย่าไปหวังว่าเราจะได้กำลังใจจากใคร เราต้องสร้างด้วยตัวเอง จุดเริ่มต้นง่ายๆ เริ่มจากการรักตัวเองนี่แหละ และก็กำลังใจจากทางบ้านด้วย
ในส่วนหนึ่งคือเรื่องธรรมะ ต้องยอมรับว่า จากคนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ไม่ไหว้พระเลยกับคนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องศาสนา ไม่มีความเข้าใจนะครับ แล้วเริ่มมาซึมซับจากที่นี่ ที่นี่ให้ความรู้ด้านศาสนา แล้วก็มีการฝึกต่างๆ มากมาย ทำให้เราเข้าใจ บวกกับหลักธรรมต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้ตัวเอง จากการวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเอง จากการวิเคราะห์เรื่องราวจากคนรอบข้างเรา
ต้องยอมรับว่าในนี้ต่างคนต่างที่มา ต่างคดี ต่างพื้นฐานนะครับ เข้ามาอยู่ร่วมกันในเรือนจำ เราก็จะเห็นตัวอย่างมากมาย และเราก็จะวิเคราะห์ ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ แต่สุดท้ายก็ไปตกอยู่ที่กฎเรื่องของธรรมะ ทุกอย่างตอบโจทย์ได้หมด เราก็เลยเริ่มเข้าใจ เริ่มศึกษา และก็ซาบซึ้งมาเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกว่าทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรจีรังอยู่บนโลก

แม้กระทั่งความทุกข์ของเรา ณ ขณะนั้น วันหนึ่งมันต้องหมดไป วันหนึ่งมันต้องมีเรื่องราวของเราที่ดีๆ เข้ามา แต่เพียงแต่เรายังไม่รู้วันไหนเท่านั้นเอง แต่มันต้องมีมา ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอด เราก็คิดแบบนี้ อันนั้นก็คืออีกหนึ่งความหวังที่ทำให้เรามีกำลังใจในการทำสิ่งดีๆ ต่อไป"
"จริงๆ เพื่อนในเรือนจำของผมจะเป็นพวกน้องๆ มากกว่า น้องๆ ที่เป็นเหมือนกับลูกศิษย์ ที่เราสอนกีต้าร์ สอนดนตรี คุยแล้วเข้าใจ คุยภาษาเดียวกัน คนที่รักดนตรี รักศิลปะเหมือนกัน แบบนี้ครับ แล้วก็อยู่แบบดูแลกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน อย่างเราออกไปแล้ว 4 ปี กลับมาทำกิจกรรมข้างในก็ยังเจอน้องๆ หลายคนที่อยู่ด้วยกันเลย สอนดนตรีตั้งแต่ยังไม่เป็นเลย ก็เจอคนที่เคยอยู่ด้วยกัน ออกไปแล้วและเข้ามา ก็มี หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ ที่เจอกันข้างนอกแล้วเขาเข้ามาทักทายก็มีบ้าง ถ้ามีโอกาสเจอ"
4 ม.ค. คือวันเกิดอีกวัน
ชีวิตได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แพท พาวเวอร์แพท เผยวันที่ 4 ม.ค. เปรียบเสมือนวันที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง และจะเข้ามาทำกิจกรรมในเรือนจำบางขวางทุกๆ ปี
"ทุกวันที่ 4 ม.ค. มันคือวันที่ผมถูกปล่อยตัวจากที่นี่ ผมถือว่าเป็นวันเกิดอีกวันหนึ่งของผม และทุกๆ ปี ผมก็ทำกิจกรรมอยู่ที่นี่ แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากทางผู้ใจบุญ FC ต่างๆ ก็ร่วมกันกับกิจกรรมที่ดีแบบนี้ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว แล้ว ณ วันที่เราเป็นผู้ต้องขัง ในทุกครั้งที่มีคนภายนอกเขาเข้ามาให้กำลังใจ มาเล่นดนตรี มาพูดคุยกับเขา มันเป็นความหวัง เป็นกำลังใจ และเขาตื่นเต้นมากนะ
วันที่เราอยู่ข้างในเราก็ตื่นเต้น เวลาที่เราเฝ้ารอการที่คนข้างนอกจะเข้ามาหา เรารู้ว่าเราได้รับความรู้สึกดีๆ จากเขา มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก และเราไม่ได้สู้อยู่เพียงลำพัง คนข้างนอกก็ยังเปิด ยังให้โอกาส คนข้างในก็จะกังวลทุกคนนะครับ ว่าออกไปจะโดนตราหน้าว่าขี้คุกไหม สังคมจะให้โอกาสและมองเขาเป็นยังไง เราก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนคนข้างนอก มาบอกเขาว่าข้างนอกเดี๋ยวนี้มันเป็นอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราทำตัวดีสังคมก็ให้โอกาส แล้วก็เรื่องของการงานถ้าเราขยัน เรามีการใฝ่หาความรู้ พัฒนาตัวเอง มันก็มีโอกาสในการที่จะอยู่รอดในสังคมได้
ตั้งใจจะทำกิจกรรมนี้ไปตลอด ทำไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้วทำตลอดอยู่แล้วนะครับ อย่างงานเรือนจำเราเข้ากันเรื่อยๆ อยู่แล้ว ทั้งงานของผมเอง และงานที่ทำร่วมกับคุณหรั่ง พระนคร รวมถึงงานอื่นๆ ด้วย ก็ทำตลอด เหมือนเราช่วยมอบแสงสว่างกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ก็มาให้กำลังใจเขาในฐานะที่เคยก้าวพลาด และเราก็ออกไป และเราก็ได้รับโอกาส ก็จะมาบอกเขาว่า โอกาสมันมีให้กับทุกคนอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวเราแหละ เราต้องพร้อมรับโอกาสด้วย"

ชีวิตที่ผ่านมามันเป็นประสบการณ์
ขอบคุณทุกเรื่องราวที่เจอมาทั้งดีและร้าย
"มุมมองชีวิตในตอนนี้ ถ้าย้อนกลับไปในวัยเด็ก เรามองว่า มันคือการเดินทาง ทั้งประสบการณ์ดีและร้าย สิ่งดีหรือสิ่งไม่ดี มันก็เป็นบทเรียนให้กับเราทั้งสิ้นนะครับ มันทำให้เราเติบโตและตกผลึก มาเป็นเราในทุกวันนี้ด้วย ก็ต้องขอบคุณในทุกเรื่องราวที่เจอ นะครับ และวันนี้ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ ชีวิตได้รับการเรียนรู้ และก็ดำเนินการสิ่งที่เราตั้งใจไว้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลครอบครัว การทำเพื่อสังคม และก็งานที่รักนะครับ ก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย ทำทุกวันให้มันดีที่สุดพอ"
จากมุมที่มืดที่สุดของชีวิต
เหมือนได้เจอแสงสว่าง
นอกจากนี้ รุ่นน้องผู้ต้องขัง ยังได้พูดถึง แพท พาวเวอร์แพท และยกให้ แพท เป็นคุณครู ส่วนตัวเองเป็นลูกศิษย์ ซึ่งครูคนนี้เหมือนเป็นแสงสว่างให้กับชีวิตจากมุมที่มืดมน โดย เจตน์ เพื่อนผู้ต้องขัง ได้เล่าถึง แพท พาวเวอร์แพท ว่า
"ผมได้ตัดสินมาคือโทษสูง แล้วก็ได้ย้ายมาอยู่ที่บางขวาง เผอิญว่าพี่แพทเขาอยู่อยู่แล้ว แล้วผมย้ายมาก็ได้นั่งใกล้ๆ เขา และเราก็ได้เห็นว่าเขานั่งเล่นกีต้าร์อยู่ เรารู้จักแล้วแหละว่าคนนี้คือ พาวเวอร์แพท นะ เรารู้จักเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างนอกแล้ว ก็ติดตามข่าว ติดตามเพลงมานานแล้ว ก็เลยได้ทำความรู้จักและสนิทกับเขา
แต่ตอนนั้นมันมีกีต้าร์อยู่น้อยมาเลยในแดน มันมีตัวหรือสองตัว มันจะเป็นของชมรมทูบี แล้วเขาก็ยืมมาเล่น เราเห็นว่าผู้ชายคนนี้เวลาอยู่กับกีต้าร์ มันเท่มาก มันเป็นแรงบันดาลใจ เราก็อยากเล่นกับเขา เราก็เลยบอกว่า พี่ๆ ช่วยสอนผมเล่นกีต้าร์หน่อยได้มั้ย เขาก็ถามว่าอยากเล่นจริงมั้ย เราก็บอกว่า อยากเล่นจริงครับพี่

เขาก็สอนทฤษฎีก่อน ผมยังไม่ได้จับกีต้าร์หรอกเพราะว่ามันมีน้อย และเขาก็จัดสรรเวลามาให้เราครึ่งชั่วโมงต่อวัน เราก็ฝึกมาเรื่อยๆ จังหวะที่เราเล่นกีต้าร์ เขาก็มานั่งวาดรูป เขาไม่ได้มีความสามารถแค่เล่นกีต้าร์ได้อย่างเดียว พี่แพทเขาวาดรูปเก่งด้วย ทำได้หลายอย่าง เขาก็สอนเราในหลายๆ อย่าง
การใช้ชีวิตในเรือนจำ ใช้เวลาว่างให้มันเป็นประโยชน์ ในเรือนจำเรามีเวลาว่างเยอะ เราก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ทำอะไรก็ได้ที่มันไม่ผิดระเบียบวินัยของเรือนจำ ทำแล้วมันมีคุณค่าต่อตัวเราเอง ต่อตัวเพื่อน ภายในเรือนจำ ก็ทำไปครับผม ก็เรียน ซึมซับกับเขามาเรื่อยๆ เขาก็สอนๆ เรามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาปล่อยไป เราก็ยังมีแบบฝึกหัด มีเพลงที่เขาแต่งไว้ให้เรา รูปที่เขาวาดไว้ให้เรา ก็ยังเก็บไว้อยู่ ก็ยังเรียนกีต้าร์ที่เขาทิ้งแบบฝึกหัดไว้ให้เราอยู่
แล้วก็ได้ต่อยอดจากที่เคยเป็นนักเรียนจากเขา ตอนนี้ก็มาได้สอน มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในแดน ได้ต่อยอดเป็นอาจารย์ ตอนนี้มีคนมาเรียกว่าอาจารย์บ้างแล้ว มีลูกศิษย์มาเรียนกีต้าร์ มาเรียนร้องเพลง เราก็ร้องเพลงไม่เพราะหรอก แต่เราฟังเอา เขาสอนมาว่าโน้ตตัวนี้ประกอบมา โน้ตตัวนี้ในคอร์ดมันต้องร้องให้ได้แบบไหน เราก็พอฟังได้ครับ
ขอบคุณครับ ถึงใครหลายๆ คนอาจจะมองว่า การเข้ามาอยู่ในเรือนจำ มันจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่มันก็มีข้อดี สำหรับผมการที่ได้เข้ามาอยู่ในเรือนจำ มันไม่ดีหรอก ใครๆ ก็ไม่ได้อยากเข้ามา แต่เผอิญว่าผมมาเจอพี่เขามันก็คือข้อดีในข้อเสีย หลายๆ อย่างที่มา ได้มาเจอพี่เขา ก็คือความโชคดีของผมครับ ที่ได้เขามาสอนกีต้าร์ จากผมที่ไม่เป็นเลย ตอนนี้ก็เล่นพอเป็น แต่ไม่ได้เก่งมากอะไร แล้วก็สอนเพื่อนที่อยู่ เข้ามาตอนหลัง สอนต่อได้อีกหลายๆ คน ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ครับ

เปรียบ แพท เหมือนเป็นแสงสว่าง
ทำให้ได้รู้จักตัวตนของตัวเอง
ด้าน บาส เพื่อนผู้ต้องขังอีกคน ได้เผยว่า
"ผมรู้จักกับพี่แพทตั้งแต่ตอนปี 61 ครับ เพราะว่าตอนนั้นผมตัดสินโทษมา โทษสูงมาก เลยต้องส่งตัวมาอยู่ที่บางขวาง ตอนนั้นผมก้าวเข้ามาแดน 6 ตอนที่เจอกับพี่แพทครั้งแรกเลย พี่แพทเขากำลังยืนวาดรูปอยู่ แต่ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยรู้จักพี่เขาหรอก จนคนอื่นมาบอกว่า นี่คือพี่แพทนะ
แต่ตอนนั้นผมชอบฝีมือการวาดรูปพี่เขามากเลย เพราะว่าพี่เขาวาดรูปสวย ผมก็เลยเข้าไปทักพี่เขาว่า พี่ครับ ทำไมพี่วาดรูปสวยจัง เขาก็บอกว่า อ้อ พี่ก็วาด ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์น่ะ อยู่ในคุก แต่ตอนนั้นมันช่วงวันหยุดครับ เสาร์อาทิตย์ กีต้าร์มันสามารถเอาออกได้แค่เสาร์-อาทิตย์ ในช่วงปี 61 นะครับ
พี่แพทเขาเอามาเล่น ถ้าเป็นตีคอร์ดตีอะไร เราฟัง เรารู้สึกว่ามันธรรมดาอยู่แล้วเนอะ แต่ทีนี้ที่พี่แพทเขาเล่น มันเป็นเพลงคลาสสิก เป็นเพลงที่ผมฟังแล้วมันหดหู่ มันเพราะ มีเศร้า มีสว่าง ก็เลยถามพี่เขาว่า พี่เล่นแนวเพลงคลาสสิกแบบนี้ได้เลยเหรอ เขาบอกว่า พี่ก็เล่นนะ แต่มาฝึกข้างในนี้แหละ ก็ใช้เวลาข้างในนี้แหละ ว่าแต่บาสอยากเล่นรึเปล่า ก็บอก ผมอยากเล่น แต่ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นน้องสุดในนั้น ก็อาจจะมีดื้อบ้าง

และอีกอย่างผมเรียนด้านเด็กช่างมาด้วย เรียนอาชีวะมา ผมก็จะเป็นคนอารมณ์ร้อนนิดนึง แต่พอมาเจออาจารย์แพท เขาก็สอนอะไรหลายๆ อย่างให้ผมเลย เช่นการใช้ชีวิตในคุก การอ่อนน้อมถ่อมตน การทำตัวอย่าไปเด่นมาก อย่าไปดื้อ อยู่ไปสักพักหนึ่ง เขาก็เห็นเราไปจับกีต้าร์ที่วางไว้ ไปจับ ไปเล่น แต่คือเล่นไม่เป็นหรอก พี่เขาเลยสอนให้นิดๆ หน่อยๆ 2-3 เดือน
จนกระทั่งผมติดคุกประมาณ 2 ปี ผมเลยขออาจารย์ว่า สอนทฤษฎีผมได้มั้ย พี่เขาเลยสอนให้ ผมเพิ่งมาทราบว่าอาจารย์เขารับโน้ตได้ อ่านโน้ตได้ ได้ทุกอย่าง ผมชอบมาก เห็นเขาเป็นไอดอลเรา ใฝ่ฝันเลยว่า เราต้องเล่นให้ได้อย่างพี่คนนี้ ผมว่า ดนตรีทำให้ผมใจเย็นลง และไม่อยากให้หาเรื่องหาราวไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เพื่อที่จะไม่ให้เราไปอยู่ในที่ที่ไม่สามารถจับกีต้าร์ได้อีก
ผมอ่ะเข้ามาอยู่ในที่ที่แบบว่า ไม่มีใครอยากมาอยู่ใช่ไหมพี่ แต่เขาคือแสงสว่างเลย ที่ทำให้ผมได้รู้จักตัวตนผม ชอบในสิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนแต่ผมชอบ ทำให้เราใจเย็น ทำตัวดีๆ รอกลับบ้านดีกว่า"








