• เป้ อารักษ์ เปิดมุมมองของผู้ชายวัย 40 ปี ทั้งเรื่องชีวิตและความรัก  
  • 20 ปีที่ทำงานในวงการบันเทิง ครั้งหนึ่ง เป้ อารักษ์ เคยหลงไปกับชื่อเสียงที่เข้ามา แต่ก็ดึงตัวเองกลับมาได้  
  • 'ไม่ได้มีความคิดจะแต่งงานมาตั้งนานแล้ว พอได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นมันยิ่งตอกย้ำว่าการแต่งงานน่าจะเป็นเรื่องความเชื่อของยุคนึง ที่มันทำให้มันไม่มีปัญหา'

เป็นอีกหนึ่งคนบันเทิง ที่ทำงานอยู่ในวงการนี้มาเกือบจะ 20 ปีแล้ว สำหรับ เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ เข้าสู่วงการด้วยการเดินแบบ ก่อนจะมีผลงานเพลงในฐานะมือกีต้าร์ของวงสเลอ และเริ่มเป็นที่รู้จักจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง บอดี้ศพ 19 และละคร แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา ที่แจ้งเกิดให้เป้โด่งดังและเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ 

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ จากเด็กหนุ่มวัย 20 จนตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ในวัย 40 ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน ซึ่งในวันนี้เราได้มีโอกาสที่จะให้เป้มาเปิดตัวตนและมุมมองของผู้ชายคนนี้ในวัย 40 ปี ผ่านทางรายการ THE STORY OF… ทางช่องยูทูบ THAIRATH Online Originals

...

อัปเดตชีวิต เป้ อารักษ์ 

วันนี้ได้คิวหนุ่มเป้มา เราก็เลยจะขอพูดคุยอัปเดตชีวิตของเป้ในช่วงนี้ ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง ซึ่งเป้ได้เล่าถึงอาชีพใหม่ในวงการบันเทิงของเขาให้เราฟัง นั่นก็คือ การเป็นผู้กำกับหนัง ซึ่งเป้เล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มว่า 

"ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ก้าวไปสู่อาชีพใหม่ เป็นผู้กํากับ เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ครับ ผมเคยผ่านงานการกํากับมาแล้ว แต่ว่าเป็นการกํากับเฉพาะเอ็มวีตัวเอง และการเป็นผู้กำกับมันเป็นอะไรที่ใหม่มาก แล้วก็ตื่นเต้นครับ ส่วนนักแสดงผมก็ยังทําอยู่ แล้วก็ชุดนี้ก็โปรโมทภาพยนตร์เรื่อง แต่ง monk ครับ (ยิ้ม)

หลักๆ ในชีวิตตอนนี้ก็จะมีแต่เรื่องหนังของตัวเองเท่านั้นเลยครับ หมายถึงหนังที่กํากับเอง The Stone พระแท้ คนเก้ ครับ ในหัวมันจะวนอยู่แค่เรื่องนี้เลย แล้วก็จะมีเรื่องการดูแลสุขภาพเพื่อรับบท หนังอีกเรื่องนึง

เอาจริงๆ ผมไม่ได้เหนื่อยกับการทํางานเลย อาชีพนี้มันสนุกมาก จนมันรู้สึกว่าไม่ได้เหนื่อยขนาดจะต้องเบรกไปทําอย่างอื่น ผมไม่เคยต้องเบรกงาน แต่บางทีการรับซ้อนก็จะหนักเกินไป ผมไม่เคยคิดจะเบรกการทํางานเลยครับ นอกจากว่าเขาไม่จ้างแล้ว 

งานใหม่ที่ท้าทายความสามารถ

จากนั้น เป้เล่าให้เราฟังต่อว่า จุดเริ่มต้นจากการเป็นผู้กำกับของเป้นั้น เกิดจากการต้องทำ MV ของตัวเอง จึงทำให้เป้มาเริ่มทำหนัง และเขียนบท "มันจุดประกายเรื่องนี้ขึ้นตอนที่ผมต้องทํา MV ตัวเองเยอะมาก เพราะผมปล่อยเพลงถี่ ออกมาแล้วหลาย 10 เพลง ตอนนี้น่าจะ 60 กว่าเพลงแล้ว และด้วยความที่เพลงมันต้องมี MV มันต้องซอยงบให้มันน้อยๆ เพื่อให้ได้ MV เยอะๆ

ผมเลยต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้กํากับท่านอื่น ซึ่งก็ขอมาตลอด เขาก็มาช่วยเนื่องจากว่าเรายังอยู่ในวงการ ทั้งหนัง เพลง เขาก็เกรงใจกัน เลยคอยช่วยเหลือกัน ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่มันก็เริ่มยากเกินไปแล้ว ในการที่จะขอให้คนมาทําให้ ก็เลย เอ๊ะ เราทําเองได้มั้ย เราก็ทําได้

อาจจะไม่เข้าใจเรื่องเทคนิคทั้งหมด แต่ไปชวนเพื่อนที่ทํางานกํากับมานานแล้ว ชื่อ คุณบี วุฒิพงศ์ เรากํากับ mv ด้วยกันมา แล้วก็มาทําหนังใหญ่ด้วยกัน ผมเขียนบท ผมกํากับเองไม่ได้เลยชวนบีมาแท็กทีมไปด้วยกัน เพราะด้วยความที่เราซี้กันเหมือนพี่น้อง มันเลยไปด้วยกันได้ มันเป็นทีมงานที่มีความเกรงใจ แต่น้อยมากๆ ครับ

...

แต่งานกับมันวุ่นวายกว่าที่คิด ตอนที่ทํา MV ก็คิดว่ายากแล้วนะ แต่ทุกอย่างมันอยู่ในมือเรา เราควบคุมได้ เพราะว่าเราโปรดิวเซอร์เองด้วย เราควบคุมถึงขนาดจ้างรถห้องน้ำก็จ้างเอง สวัสดิการก็คุยเอง ช่วงแรกก็ต้องปรับตัวอยู่นานเหมือนกัน

แล้วก็เรื่องไอเดียทั้งหมดของเรา มันไม่ใช่ว่าไอเดียนี้เราเห็นว่าดีแล้วมันจะต้องดีที่สุดไปเลย ไม่จริงครับ เพราะว่าเราไม่ได้ทําหนังเพื่อตอบโจทย์ของตัวเองคนเดียว เราทําหนังตอบโจทย์คนหมู่มาก เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ร่วมทํางานกับเราไม่ว่า จะเป็นโปรดิวเซอร์ หัวหน้า หรือว่านายทุนคนจ้างเรา เขายังไม่ชอบจะปล่อยหนังออกไปทําไม เราต้องชอบด้วย

เราถาม เป้ อารักษ์ ว่า จริงๆ แล้วพอได้มาลองทำ การเป็นนักแสดง กับการทําเอง อันไหนเหนื่อยกว่ากัน งานนี้เป้ตอบเราแบบไม่ต้องคิดเยอะเลยว่า 

"โอ้ นักแสดงสบายกว่าเยอะ ตอนที่ผมทําหนังตัวเองเสร็จแล้ว ก็กลับมาโปรโมทหนังเรื่อง แต่ง monk และกลับไปเล่นภาพยนตร์เรื่องเสือ เป็นภาคต่อจากขุนพัน 3 ก็ยังรู้เลยว่าสิ่งที่เราได้มาตลอดครึ่งชีวิตนี้ มันคือ privilege ขั้นสุด นักแสดงได้รับ privilege เยอะมาก

จนตอนที่เราทํางานในกองถ่าย นักแสดงที่มาทํางานให้ เราก็ไม่รู้สึกนะว่าเขาได้ privilege เยอะ แต่พอกลับมาเป็นเบื้องหน้าจริงๆ แล้วคนอื่นปฏิบัติต่อเรา อันนี้โคตรสบาย อาชีพในฝันชัดๆ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นได้ และสามารถเป็นได้นาน เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงตลอดเวลาจริงๆ แต่เราก็เข้าใจเลยว่ามันสบายกว่าผู้กํากับเยอะครับ"

...

20 ปีในวงการบันเทิงของเป้ อารักษ์  

เรียกว่าเป็นระยะเวลายาวนานไม่น้อยกับการทำงานในวงการบันเทิงของ เป้ อารักษ์ ซึ่งทำเอาเจ้าตัวถึงกับตกใจไม่น้อยกับช่วงเวลาที่ทำงานในวงการนี้ ซึ่งเป้ก็เล่าย้อนช่วงชีวิตในการทำงานให้เราได้ฟังว่า 

"20 ปีแล้วครับ โอ้มายก๊อด อัลบั้ม Slur ออก 2006 ปีนี้ 2025 ก็ 19 แต่ว่าจริงๆ ก็เข้ามาก่อนหน้านั้นแหละ ก็ดีครับ เป็นเกียรติมากที่ได้อยู่ตรงนี้นะครับ ขอบคุณมากๆ นะครับที่ยังให้ผมอยู่

ช่วงชีวิตในการทำงานในวงการมีหลายช่วงครับ ก็อย่างที่บอกมันมีช่วงที่ผิดพลาด แล้วก็มีช่วงที่เข้าใจแล้ว แล้วก็มีช่วงที่ยังผิดพลาดต่อไปเรื่อยๆ แต่ช่วงนี้ ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่ต้องเก็กมากขึ้นครับ ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็พยายามจะคีพความเป็นธรรมชาติของคนเอาไว้ เวลาสัมภาษณ์ผมก็ไม่อยากจะประดิษฐ์ตกแต่งมันมากนัก อยากให้มันจริงจังที่สุด แต่ก็ไม่ได้จริงเกินไปจนผิดมารยาท ก็พยายามจะให้มันอยู่ในเส้นนั้นให้ได้

ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เป็นคนถูกเลือกให้มาอยู่ตรงจุดนี้ โชคดีมากครับ แล้วก็ยากมากด้วย คือเด็กสมัยนี้นะครับที่อยากจะเข้ามา มันยากมากเลยที่คุณจะเป็นตัวของตัวเองได้ ไม่นับการเข้ามานะ การเข้ามาแล้วคุณต้องเป็นตัวคนอื่นก่อน ต้องเป็นสิ่งที่เขาเลือกที่จะอยากให้คุณเป็นก่อน

...

ผมเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่ก้าวเข้ามาเลย ผมเป็นวง Slur ก่อนเลย เป็นวงร็อกก่อนเลย ถึงไปเล่นหนัง เล่นละคร เขาก็ยังติดภาพอันนั้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นเขาคงไม่ได้ คาดหวังให้ผมพูดเหมือนกับที่ทุกคนมาตอบใช่ไหม เหมือนกับคำตอบปกติ ไอ้ข้อตรงนั้นที่มันได้เปรียบสำหรับเรา เพราะว่าทำให้เราทำตัวได้ค่อนข้างธรรมชาติ

ในขณะที่ผมเห็นหลายๆ คนเข้ามา เขาต้องทำเหมือนกับต้องไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แล้วบางอย่างมันอยู่ในสัญญาเลยนะ คุณไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ในสัญญาเลยอย่างนี้ ต้องมีการควบคุม ต้องมีการอะไรมากมาย เราก็เลยแบบ เออ รู้สึกโชคดีที่เราได้เข้ามาช่วงนั้นครับ

ซึ่งภาพจำของผมที่หลายคนจำได้ในตอนนั้นคือ ผมฟูๆ เป็นกบฏตั้งแต่ที่เข้ามาแล้ว รู้สึกว่ามันเหมือนแบบว่า มันไม่ได้ถูกต้องตามครรลองสมัยก่อน ก็เลยทำให้เรายิ่งง่ายในการเติบโตมาในวงการนี้ครับ ก็เป็นโชคดีครับ"

ครั้งหนึ่งเคยหลงตัวเอง 

เพราะในช่วงหนึ่งของการทำงานในวงการบันเทิง เป้ อารักษ์ เคยโด่งดังขั้นสุด และแน่นอนว่า ชื่อเสียง เงินทอง ที่เข้ามาในช่วงเวลานั้น ทำให้เป้เคยหลงไปกับชื่อเสียงและเงินทองในช่วงนั้นไปบ้าง ซึ่งเป้เล่าให้เราฟังว่า 

"ช่วงอายุ 20-30 ผมทํางานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย 2-3 เป็นช่วงเวลาที่ทํางานไปด้วย แล้วก็ดันเป็นช่วงที่โด่งดังที่สุดในชีวิตด้วย เป็นช่วงที่เราจะไม่ได้เหมือนคนอายุ 20-30 ธรรมดา เพราะว่ามีความรับผิดชอบและในขณะเดียวกันก็มีรายได้แล้ว มีความเป็นเด็ก และวงการนี้มันทำให้เรา privilege ให้เราเป็นคนพิเศษ ก็มีความหลงตัวเอง เคยทําอะไรผิดพลาดเยอะเหมือนกันครับ

แต่เราก็บรรลุตัวตอน 27-28 มันก็เริ่มเข้าใจ อ๋อ ระบบมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าตอนเด็กๆ ใครมาสอนเราไม่เข้าใจหรอก ใครมาพูดยังไงเราก็ไม่เชื่อไม่ฟัง เพราะว่าหน้าเรามีอยู่ทุก 4 แยกมันพูดยากแล้ว พอเริ่มเข้าใจก็เข้าใจระบบมันมากขึ้นกับชีวิต

ผมจําเป็นเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ว่าก็รู้ตัวเอง ไปไหนก็มีแต่คนดูแลเอาใจ บางทีมันอาจจะลืมเรื่องของเวลา แต่ผมโชคดี ผมรับผิดชอบงาน ผมอยากทําให้งานมันเจ๋งที่สุดตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานการแสดง หรือว่างานเพลง

เรื่องที่น่าจะเป็นปัญหาก็คือการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง บางทีเราไม่ได้หยิ่งนะ แต่ไม่ได้ไม่ดูแลได้ดี ด้วยเวลาหรือวุฒิภาวะทั้งหลาย แล้วจุดที่รู้ตัวว่ามันคืออะไร ก็น่าจะเป็นเรื่องของวัยนี่แหละครับ พอทํางานมานานมันเริ่มแบบ อ๋อ ระบบมันเป็นแบบนี้ ก็เลยเข้าใจมันมากกว่า ไม่มีใครอยู่ตลอดไป

ผมเคยอยู่ในจุดที่มีคนสนใจมากเท่านี้ อยู่ดีๆ วันหนึ่งมันก็น้อยลง ก็เห็นอยู่ ก็เลยเหมือนกับว่าเราขึ้นมาตรงนี้ คนสนใจเรามาก วันต่อมาเขาไปสนใจคนอื่น มันเปลี่ยนไปไม่มีใครอยู่เหมือนเดิมตลอดไปนะ มันอยู่ได้ยาวๆ มันมี แต่ว่าจะให้อยู่เหมือนเดิมตลอดไป มันไม่มีทางเพราะว่าแต่ละวันมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว

ผมคิดในใจว่า มีคนให้ความสนใจน้อยลง แต่ว่าเราก็ยังมีงานทําต่อ แล้วเราไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือย เรามีการสํารองเงินประมาณหนึ่ง เพราะฉะนั้น หลังจากตอนที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่เท่าเดิมแล้ว เรากลับคิดว่า ที่เหลือที่เราทํา มันคือโบนัสทั้งหมด เพราะตอนที่ได้ เราได้มาในช่วงต้นๆ มันเยอะแล้ว หมายถึงว่าทุกอย่าง ทั้งประสบการณ์ ทั้งหลายๆ อย่าง ตอนนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นโบนัสทั้งหมด หนังที่เล่นเพิ่ม เพลงที่ทําเพิ่ม หรือแม้แต่การเป็นผู้กํากับ มันคือโบนัสต่อยอดมาจากช่วงนั้นครับ มันก็เลยสบายครับ"

ความรู้สึกของผู้ชายวัย 40 ในมุมมองของ เป้ อารักษ์ 

เพราะปีนี้ เป้ อารักษ์ อายุ 40 ปีแล้ว เป็นหนุ่มใหญ่ที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความมั่นคง เราเลยอยากรู้ความรู้สึกของการเป็นหนุ่มวัย 40 มีความรู้สึกอย่างไร ซึ่งเป้ได้บอกเล่าให้เราฟังว่า 

"พออายุ 40 แล้ว ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ด้วยครับ เราเป็นผู้ใหญ่ในวงการ พอผมไปออฟฟิศที่ Jungka Jungka ที่ผมทำภาพยนตร์ด้วย ผมก็จะเห็นว่า มีผู้ใหญ่หลายคนเลยที่ไม่ต้องโต ยังสามารถเล่นเป็นเด็กๆ ได้ คิดนู่นคิดนี่ เพ้อฝันได้อยู่ เราก็อยากเป็นแบบนั้นนะครับ รู้สึกว่าพี่ๆ ที่นั่นยิ้มแย้มดี แล้วพวกเราก็อยู่กับวงการที่ให้ความบันเทิงมนุษย์ มันจะเครียดมากก็ไม่ดี

และพออายุ 40 ตอนนี้ร่างกายก็ไม่ได้ฟื้นตัวเร็วขนาดนั้น อย่างเมื่อวานซ้อมมวย วันนี้ก็ยังเมื่อยอยู่เลย (ยิ้ม) ขยับไปทางไหนก็เมื่อย นอนผิดท่าสมัยเด็กๆ อาจจะได้หลายวัน แต่ตอนนี้เมื่อยแล้ว ที่เหลือก็คงเป็นเรื่องของที่คนภายนอกมองเข้ามา คงมองว่า ผมแก่ 40 แล้วอะไรอย่างนี้ แต่ในใจเราก็ยังรู้ว่าเรายังไม่แก่ พยายามไม่แก่ขนาดนั้น ใช่ไหมครับ (ยิ้ม)

พออายุ 40 มันเหมือนเป็นวัยที่เขาควรจะลงหลักปักฐานแล้ว เรื่องนั้นก็เลยจะต้องควบคุม แล้วก็ต้องทำอะไรให้มันไม่น่าเกลียด จะไปคิดว่าเราเป็นวัยที่พร้อมจะมีความสัมพันธ์ได้เยอะแยะอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่"

ความรักในวัย 40 ปี 

เพราะในช่วงนี้ เป้ อารักษ์ กำลังมีความรัก โลกเป็นสีชมพู เราเลยอยากรู้ว่า ความรักของเป้ในวัย 40 ปีนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เล่าให้เราฟังว่า 

"ตอนนี้มีแฟนเป็นคนนอกวงการ ก็ง่ายขึ้นในการที่จะพูดถึงโดยไม่ต้องไปตอบคำถามแทนเขา ความจริงผมเลิกหลบความสัมพันธ์มานานแล้วแหละ ผมแค่ไม่บอก มาถาม ผมก็ไม่พูด แต่เวลาไปไหนมาไหน กินข้าว ดูหนัง เที่ยวเล่น ออกงาน ปาร์ตี้ คอนเสิร์ต ไปด้วยกันปกติ ไม่ได้หลบมานานแล้ว แต่แค่ไม่ได้พูดถึง" 

เราถามหนุ่มเป้ต่อว่า มุมมองความรักของเป้ในตอนนี้มันโตขึ้นไหม ซึ่งเราก็ได้รับคำตอบว่า "มันอาจจะเด็กลงก็ได้นะครับ เพราะว่าสมัยเด็กๆ อาจจะต้องคิด โตกว่าเดิม ตอนนี้กลายเป็นเด็กลง มันไม่ได้คาดหวังอะไรมาก หลังจากประสบการณ์ชีวิต มันแต่งงานกันไป มันก็ไม่จบ เห็นคนที่แต่งงานกันไปแล้วก็แยกย้ายกันก็มี ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิตสักอย่างครับ เพราะว่าวันหนึ่งมันจะเปลี่ยน มันก็เปลี่ยนได้ แล้วมันควรจะเป็นแบบนั้นด้วยครับ มันควรจะเปลี่ยนได้ด้วย

เพราะตัวผมไม่ได้มีความคิดจะแต่งงานมาตั้งนานแล้ว แต่พอได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นมันยิ่งตอกย้ำว่าการแต่งงานน่าจะเป็นเรื่องความเชื่อของยุคนึง ที่มันทำให้มันไม่มีปัญหา มันเกิดมาหลังมนุษยชาตินานมากเลยนะ สมัยก่อนกว่าเขาจะแต่งงาน เพราะเขาไม่อยากตีกัน อยากให้ 2 บ้านดองกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ก็เลยแต่งงานกัน

แล้วระบบผัวเดียวเมียเดียว มันเพิ่งเกิดมาไม่นานมานี้เองนะ มันเหมือนกับว่า จริงๆ แล้วมันฟรีกว่านั้น แล้วค่อนข้างจะเป็นป่าเถื่อนกว่านี้มานาน อันนี้คือทำให้ทุกอย่างมันซอฟต์ลงครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ ถ้าคุณยอมรับกติกานั้นแล้วคุณแต่งงาน คุณก็ต้องทำตัวแบบที่คนแต่งงานเขาทำกัน ซึ่งกติกานั้นอาจจะไม่ถูกกับผมมากนัก ไม่ต้องแต่งงานก็ไม่ได้ผิดอะไร"

เราถาม เป้ อารักษ์ ต่อว่า ตอนนี้เป้คิดว่าอยู่คนเดียวหรือว่าอยู่แบบมีคู่ดีกว่ากัน ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบคำถามนี้เอาไว้ว่า "แล้วแต่ช่วงครับ ช่วงนี้มีคู่ ก็ดีครับ แต่ในขณะเดียวกันมีคู่ก็ต้องมีเวลาห่างกันครับ ผมไม่ใช่ว่าติสต์หรือโลกส่วนตัวสูง ไม่ใช่นะ แต่ผมว่ามนุษย์ มันเกิดมาตัวเดียว ตายตัวเดียวครับ มันต้องมีเวลาของตัวเอง

ยิ่งเป็นคนที่มีความฝันอยากจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ถ้าอยู่กับแฟนจะให้ซ้อมกีตาร์บ้าบอ มันก็ยากแล้ว ต้องอยู่คนเดียว หรือจะทำอะไรให้มันเก่งขึ้น อยากจะอ่านหนังสือเรื่องที่เราชอบ เพื่อจะศึกษาเรื่องนั้น ถ้ามีแฟนนั่งอยู่ด้วย แล้วเขาเปิดซีรีส์ดู เราก็อ่านไม่รู้เรื่อง มันก็เหมือนกับต้องมีเวลาที่อยู่คนเดียว ไม่ใช่โลกส่วนตัวสูง แค่มันต้องอยู่คนเดียวบ้าง

ถามว่าสเปกเปลี่ยนมั้ย ไม่เปลี่ยนนะครับ สเปกมันเลือกไม่ได้หรอก สเปกก็เป็นเรื่องปลอม อาจจะเป็นสเปกโดยที่ผมอาจจะไม่ได้พูดก็ได้นะ เอาจริงผมคิดว่าตัวเองไม่มีสเปกนะ แต่แฟนผม 3 คนหลังสุดเป็นลูกครึ่งหมดเลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวหรือเปล่า แต่ว่าที่ผ่านมาตอนช่วงที่เดทกันก็ไม่ได้มีเฉพาะลูกครึ่ง แฟน 3 คนเป็นลูกครึ่งหมดเลย"

หนังเรื่องใหม่ แต่ง monk ผลงานที่ท้าทาย เป้ อารักษ์ 

ตอนนี้ เป้ อารักษ์ กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่มีชื่อว่า แต่ง monk ซึ่งเป็น 1 ในนักแสดงนำของภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป้บอกว่าเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่เจ้าตัวอยากจะรับเล่นสักครั้งในชีวิต  

"สำหรับภาพยนตร์เรื่องแต่ง monk ทําไมถึงมาเล่นเพราะว่าผมอยากเป็นพระอยู่แล้วในภาพยนตร์ไทย เพราะว่าถ้าเป็นนักแสดงถ้าได้เล่นบทสาวประเภท 2 กับพระก็จะครบถ้วน ผมก็ยังขาดสาวประเภท 2 อยู่ครับ และบทพระ พอได้มีโอกาสเป็นพระมันก็จะตอบโจทย์เรื่องของการเป็นนักแสดงไทย แล้วเราชอบล้อมาตลอดว่าคนที่เล่นเป็นพระทําไมต้องโกนหัวปลอม ทําไมต้องแปะคิ้ว เราก็เลยอยากจะทําให้มันถึงๆ ก็เลยโกนหัวโกนคิ้วจริง แต่ว่ามันไม่ได้ง่ายเลยที่จะทํางานในวงการแล้วจะเปลี่ยนลุคขนาดนี้ได้ มันต้องใช้เวลาแล้วก็ไทม์มิ่งที่พอเหมาะ พอเจาะจริงๆ

สำหรับบทพระแล้ว ผมไปศึกษาเรื่องเป็นพระต้องมีกิริยาอย่างไร ผมไปนอนวัด ไปเรียนกับหลวงพี่ที่ผมนับถือ จะถามว่าเป็นพระก็คือส่วนหนึ่งที่เราต้องรับผิดชอบ แต่นอกเหนือจากการเป็นพระ การแสดงอารมณ์หรือการแสดงต่างๆ มันไม่ได้ท้าทายเท่าไหร่ แต่ว่าการที่เป็นพระก็ถือว่าเราก็ทําการบ้านอย่างเต็มที่ เพื่อจะเป็นพระที่ค่อนข้างเคร่ง แต่พอเป็นพระที่ค่อนข้างเคร่ง และบทบาทมันต้องไปห่วงน้องสาว แค่นี้ก็ไม่เคร่งแล้ว เลยไม่ได้ยากมากครับ

และผมชอบโลเคชั่นที่ไปถ่ายหนังเรื่องนี้ เพราะไปที่ญี่ปุ่น มันมีความเป็นเมืองแบบเมืองติดทะเล เขากั้นเขื่อนตลิ่งด้วยคอนกรีตใหญ่ๆ เป็นตัวเอกซ์ เราไปที่จังหวัดฟุกุชิมะ แล้วก็ถามเขาว่าบ้านนี้สร้างมานานหรือยัง เพราะบ้านนี้เก่าแล้ว แต่ว่าก็ซ่อมใหม่ เพราะว่าแถวนั้นโดนสึนามิถล่มหมดเลย แต่มันสวยมากเลยนะ เป็นเมืองริมทะเล ถนนยาวๆ แล้วสมัยก่อนที่จะเกิดสึนามิคงมีคาเฟ่ มีร้าน แต่มันหายไปหมดแล้ว ซึ่งสถานที่ที่ไปถ่ายนั้นเป็นบ้านของพระชินในเรื่อง ที่รับบทโดยเฟยครับ ผมรู้สึกว่าเป็นโลเคชั่นนี้มันดี ระหว่างที่ยังไม่ได้เข้าฉากก็ถือโอกาสเดินขึ้นไปบนเขา ข้างบนนั้นมีร้านกาแฟเล็กๆ กาแฟไม่อร่อยแต่ร้านสวย"

ก่อนที่เป้จะชวนให้ทุกคนมาดูภาพยนตร์เรื่อง แต่ง monk โดยเจ้าตัวบอกว่า "อยากให้คนตลกครับ เพราะมันเป็นหนังตลก ถ้าคุณบอกว่าอยากให้หนังตลกให้อะไรไม่ต้องไปหาเลยครับ ไปห้องสมุดดีกว่า เพราะอยากให้คนยิ้มแย้มสนุกสนานลืมความเครียดที่เขาเจอมาทั้งพรรษาเข้าไปลืมด้วยหนังเรื่องนี้"