เรียกว่าเป็นสาวสตรองอีกคนของวงการบันเทิง สำหรับนักแสดงสาว กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร ที่ก่อนหน้านี้ต้องเจอมรสุมชีวิตมามากมาย ต้องอดทนกับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สุดท้ายกล้าที่จะก้าวออกมาจากความสัมพันธ์ที่บั่นทอนชีวิตและจิตใจ หันมารักและเคารพตัวเอง
ล่าสุด กบ พิมลรัตน์ มาร่วมรายการ “Sisterhood” ทางยูทูบแชนแนล MIRROR THAILAND ดำเนินรายการโดย คุณแนท ธนวลัย วัชรพล ผู้ก่อตั้ง MIRROR THAILAND โดยเริ่มแรกกบเล่าถึงการกลับมาในวงการและเป็นอินฟลูเอนเซอร์แบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะความชื่นชอบในการแต่งหน้ามาตั้งแต่เด็ก และแรงผลักดันจากเพื่อน เลยใช้ความชอบของตัวเองนำทางจนกลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพในวันนี้
“มันเริ่มจากความชอบ แล้วก็ได้แรงผลักดันจากเพื่อนพี่ที่เป็นเมคอัพค่ะ เวลาเราคุยกัน เราจะแลกเปลี่ยนเรื่องความสวยความงามใหม่ๆ จนวันหนึ่งเค้าบอกพี่ว่า กบลองทําดูสิ พี่ก็แบบจะได้เหรอ ใครจะอยากดู เพราะว่าเรายังเหมือนกับคนยุคเก่าที่รู้สึกว่า การที่ต้องมาพรีเซนต์ตัวเองสวยดูเหมือนคนหลงตัวเอง เราไม่กล้าทําแบบนั้น แต่ว่าพอเพื่อนพี่บอกลองทําดู
...
พอทําเทปนึงแล้วพี่เห็นฟีดแบ็ก ซึ่งตอนแรกๆ พี่ยังไม่กล้าใส่เต็มพี่ยังแต่งตามลิมิตของผู้หญิงไทยที่ยังอยู่ในกรอบค่ะ เหมือนกับเป็นเซฟโซนในการแต่งหน้า แต่พอฟีดแบ็กมันดี เราก็เริ่มรู้สึกเราเริ่มสนุก อยากจะใส่ในสิ่งที่เรารู้สึกมันเป็นอินเนอร์ของเรา เราก็ไม่อยากอยู่ในแพตเทิร์นเดิมๆ ที่อยู่ในกรอบ ก็เริ่มใส่สีเข้าไป ไม่ได้เก่งตั้งแต่แรก ชอบสี แต่ว่าไม่สามารถจัดสรรสีให้มันดูสมูทได้เวลาที่มันเป็นเมคอัพโดยรวม
ก็ปรึกษาเพื่อนพี่ที่เป็นเมคอัพอาร์ติสต์ เค้าก็จะสอนพี่ให้วิธีเบลน หรือการใช้สีเข้ามาให้ดูมีมิติมากขึ้น บางทีเราเป็นคนที่ชอบอะไรสนุก ชอบความแปลกใหม่แล้วก็ชอบมิกซ์สี ยิ่งอะไรที่ไม่ค่อยเข้ากันเนี่ย รู้สึกสนุก
แต่พอออกนอกกรอบแล้วสนุกนะ แรกๆไม่ได้แปลว่าทุกคนชอบที่พี่ทํานะ แต่พี่จะทํา พี่ก็จะทําในสิ่งที่มันเป็นอินเนอร์ของพี่ฟีดแบ็กไม่ค่อยดี แต่ถ้าเป็นอะไรที่เป็นแบบ natural look จะ feedback ดี แต่หลังๆ ไม่ใช่แล้วนะ เค้าบอกว่าชอบสีแบบนี้ค่ะ หนูทําเป็น reference พี่ เมื่อไหร่จะแต่งแบบสีๆ อีก หนูเคยเอามาแต่งตามพี่สวยมากเลยค่ะ อันนี้ก็เป็นฟีดแบ็กที่ดี ทําให้พี่รู้สึกว่า เออ สิ่งที่เราเคยทํา ณ วันนั้น คนเค้าไม่ชอบ อาจจะไม่เข้าใจค่ะ วันนี้เค้าเข้าใจมัน
พี่ชอบแต่งหน้าตั้งแต่เด็ก แต่ว่าเวลาแต่งในยุคนั้นมันก็ไม่ได้มีช่องทางอะไร มือถือไม่มี แต่บางทีก็เอากล้องมาสแนปถ่ายเก็บเป็น reference ของตัวเองค่ะ แต่จัดแสงไม่เป็นหรอกค่ะ เวลาถ่ายมามันก็จะดูไม่สวยเหมือนอย่างที่ตาเราเห็น คือแต่งมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
แล้วก็สมัยเข้าวงการใหม่ๆ บางทีก็ไม่ได้จ้างช่างแต่งหน้า ก็แต่งเองตามครูพักลักจําค่ะ แล้วคุณแม่ก็เป็นคนรักสวยรักงามค่ะ คุณแม่พี่โมเดิร์นเหมือนกันนะ ในยุคนั้นเค้ารู้จักผิวโกลว์อะ ซึ่งในเมคอัพตอนนั้นมันไม่มี เค้าก็ adapt ของเค้า เอาชิมเมอร์มาเบลนด์ทําให้หน้าเงาๆ ทาปากแบบเบิร์นเจ่อๆ ซึ่งพี่บอกพี่ไม่ค่อยเก็ตสิ่งที่แม่พี่ทําตอนนั้น พี่งงมาก แต่วันนี้พี่เก็ตแล้ว โอ้โห แม่เรานี่เหมือนกับเขาหัวสมัยใหม่อ่ะ”
จากนั้น กบ พิมลรัตน์ เล่าถึงชีวิตวัยเด็กที่มีพี่น้อง 6 คน และตนเป็นลูกคนเล็ก และมีพี่สาวที่เข้าวงการ เป็นคนที่จุดประกายให้รู้สึกว่าอยากจะอยู่ในวงการ แต่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ถึงจุดนี้ แค่ได้ไปเทสต์โฆษณาก็แฮปปี้แล้ว แต่สุดท้ายก็ได้เข้ามาเล่นภาพยนตร์ “สุริโยไท” และคนรู้จักภาพของเธอในลุคสาวเรียบร้อย
กบบอกว่าความเรียบร้อยเป็นบุคลิกของตนอยู่แล้วที่ถูกสอนมาจากที่บ้าน ประกอบกับภาพยนตร์ที่เล่นเป็นหญิงไทย เขาก็คงมองว่าเราเป็นคนเรียบร้อย แต่จริงๆ ตนมี 2 บุคลิก คือบุคลิกที่ออกสังคมเจอคนก็จะเป็นแบบนั้น แต่อินเนอร์อยากออกนอกกรอบ แต่ขอออกมาในลักษณะสร้างงานแสดง การแต่งหน้า แต่งตัว
ที่ผ่านมาหลงทาง มาเจอตัวเองตอนอายุ 40 เจอตัวเองในที่นี้คือกล้าที่จะเป็นตัวเอง เริ่มจากแต่งหน้า แต่งตัวที่เราเคยไม่กล้า คิดว่าอาจจะเป็นการเลี้ยงดู การอยู่ในกรอบของคนไทยวัฒนธรรมที่เราถูกสั่งสอนมา แล้วก็อยู่ในครอบครัวที่หัวโบราณ แต่ในช่วงที่เข้าวงการ ถ้าสมมติยังอยู่กับบ้านคุณอาฝั่งคุณพ่ออาจจะไม่ได้เข้าวงการ เพราะอาจไม่ได้รับการสนับสนุน แต่โชคดีที่พอช่วงเริ่มโตได้มาอยู่กับคุณแม่ และคุณแม่เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ ก็สนับสนุน รวมไปถึงพี่สาวด้วย
ปัจจุบันกบยืนยันว่าพร้อมกลับมารับงานวงการบันเทิงแบบเต็มตัว สามารถแบ่งเวลาทั้งการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ รับงานละครด้วย ซึ่งในพาร์ตแต่งหน้ามาในช่วงชีวิตที่รู้สึกว่ามันดีลยากในช่วงชีวิตรัก และไม่รู้ว่าจะจัดการยังไง พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และฟีดแบ็กที่ได้กลับมาทำให้รู้สึกชื่นชม นับถือตัวเองมากขึ้น
...
“ต้องขอบคุณแฟนคลับคอยคุยในเวลานั้น เค้าอาจจะไม่รู้ แต่พี่รู้ว่ามันมีอิมแพ็กกับพี่มากในเวลานั้น ที่เค้ามาพูดคุยกับพี่ถามเรื่องความสวยความงาม แม้แต่ชื่นชมหรือแลกเปลี่ยนกัน มันมีความหมายสําหรับพี่มาก มันทําให้พี่รู้สึกว่ามัน เรามีคุณค่าค่ะ เราอาจจะไม่มีคุณค่าสําหรับคนคนนี้ค่ะ แต่เรามีคุณค่าสําหรับคนอื่นที่เขาดูงานเราอยู่ หรือสิ่งที่เราทํามันออกไป”
และเมื่อให้เจ้าตัวพูดถึงการฮีลใจตัวเองกับเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา เจ้าตัวก็บอกว่า “อย่างแรกเราต้องรู้ตัวก่อนว่าอะไรคือสิ่งที่ดีกับเรา แล้วอะไรคือสิ่งไม่ดี อย่าสับสน เราโฟกัสที่ตัวเอง แล้วเราถามตัวเองว่า สิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็เดินออกมา อย่าไปเสียเวลากับมันนาน มันไม่มีประโยชน์ เราควรจะรู้คุณค่าตัวเอง เคารพตัวเอง ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่ เราควรจะปล่อยให้เร็วที่สุด”
ส่วนเรื่องการตัดสินใจหย่าร้าง กบเผยว่า “จริงๆ ถ้าเป็นแบบกิจจะลักษณะ คือ 5 เดือนนี้เองค่ะ แต่ว่าใจพี่ออกมาเป็นปีละ ทําใจไว้แล้ว เพราะว่าเรารู้ว่าในสถานการณ์มันน่าจะยากค่ะ มันเหมือนกับอะไรที่เราควบคุมไว้ไม่ได้ ถ้าใจคนเรามันเปลี่ยน เราก็ต้องปล่อย น่าจะดีกว่า ฝืนไปไม่มีประโยชน์ เราจะเหนื่อยแล้วเราจะเจ็บเอง
...
ตอนนั้นพี่พูดทุกอย่างจากสิ่งที่มันเกิดขึ้น ถามว่าเตรียมตัวยังไง ไม่ได้เตรียมตัวยังไง คือไม่ได้ยากสําหรับพี่ ถ้าพี่พูดความจริงนะไม่ใช่เรื่องยากค่ะ แต่ถามว่า ณ วันที่ออกไปพูดแล้ว กลับมาบ้านรู้สึกแย่มั้ย แย่ แม้แต่บางทีนั่งดูย้อนดูรายการอะ ยังร้องไห้อยู่เลย เหมือนดูไปแล้วเหมือนร้องไห้กับเค้าอะ แล้วเป็นเรื่องของเราด้วย ยังร้องอยู่เลย อยากร้องก็ร้องก็ไม่ต้องไปทําตัวให้แข็งแรง ก็ปล่อยให้มันรู้สึกอย่างนั้นไป
แต่ว่าเราก็จะไม่อยากพูดมันซ้ำๆ อีก ถ้าเป็นไปได้ เพราะว่ามันไม่เกิดประโยชน์ พี่รู้สึกว่า เมื่อออกมาแล้วเราก็ไม่ควรคิดเรื่องเก่า เราจะคิดได้ต่อเมื่อเราจะไม่ผิดซ้ำอีก บางทีมันก็ไม่ดีกับสุขภาพจิต บางทีในบางครั้งที่พี่พูด พี่ก็เก็บไปฝันร้ายก็มี มีที่ยังรู้สึกว่า อยู่ตรงนั้นอยู่ ตื่นมา อ้าว ไม่อยู่แล้ว
แต่วันนี้ไม่เป็นแล้ว เวลาเท่านั้นที่มันจะช่วยเรา ต่อให้เราพูดเราก็จะไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันละ แต่ถ้าสมมติมันยังอยู่ในห้วงเวลานั้น ก็ปล่อยมันไป ปล่อยไปตามความรู้สึก ไม่ต้องไปทําเป็นคนเก่ง เราไม่ใช่ฮีโร่ เราเป็นคนค่ะ”
...
กับมุมมองคำว่าหย่าร้าง ยิ่งเป็นผู้หญิงที่เคยผ่านการหย่ามาแล้ว มันจะมีอะไรบางอย่างที่สังคมจะตีตรา รู้สึกว่ามันไม่ดีมั้ย กบตอบว่า “ไม่นะ มันแค่เป็นสิ่งที่ทุกคนคิดกันขึ้นมาเอง แล้วมันก็คือชีวิตเรา ทําไมเราต้องไปอยู่ในแพตเทิร์นที่คนเค้าพูดว่า การหย่าร้างมันไม่ดี อดทนไป ไม่นะ ชีวิตเรามีชีวิตเดียว ไม่มีความจําเป็นที่ต้องอดทนค่ะ คือถ้ามันไม่เวิร์คก็ต้องปล่อย ปล่อยตัวเราให้เป็นอิสระ ปล่อยเขาไปด้วย
เมื่อถามถึงความหมายของคําว่าอดทนมันต่างกันไหม ตั้งแต่ผ่านเรื่องมาในอดีตกับปัจจุบัน นักแสดงสาวบอกว่า “ต่างนะ ด้วยประสบการณ์วันที่เราไม่มีประสบการณ์ชีวิต ด้วยความที่เราเป็นคนอดทนเก่ง ก็จะอดทนได้ดี อดทนได้นาน แต่พี่ในวันนี้อาจจะไม่แล้ว ความอดทนของพี่มันจะมีเหตุและผลเท่านั้น มันจะไม่ใช้ใจล้วนๆ แล้ว
ถามว่าสำหรับคนที่อยู่ในสปอตไลต์อาจจะยากกว่าคนธรรมดาหรือเปล่า ถ้าสมัยก่อน พี่ว่าอาจจะใช่นะ ถ้าอยู่ใน Position พี่อาจจะต้องคิดเยอะ แต่พี่ว่าหมดยุคแล้ว เราต้องเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่สังคม ความสัมพันธ์เรามันไม่ใช่ก็ต้องปล่อย ไม่ต้องไปถืออะไรในสังคมที่เขาขีดแพตเทิร์นให้เรา เอาตัวเราเป็นหลัก พี่นึกถึงตัวพี่เอง ณ วันนั้นอย่างเดียวเลย แต่กลายเป็นว่ามันเป็น Empower สำหรับผู้หญิงหลายๆ คน คนที่เจอมาแล้ว คนที่ยังอยู่”
เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจที่สุดในความสัมพันธ์ที่ผ่านมาคืออะไร กบตอบว่า “พี่ไม่เสียใจนะ เสียดายหรือเปล่าก็ไม่เสียดาย แต่ถ้าคิดเร็วได้กว่านี้ มันจะดีกว่านี้ จะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้ ถ้าเราคิดได้เร็ว เคารพตัวเองได้เร็ว แล้วรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ ยอมรับตัวเองได้เร็ว มันจะไม่เสียเวลานานขนาดนี้ เสียดายเวลาที่ตัดสินใจช้าที่รู้ตัวช้า
มันเป็นบทเรียนราคาแพงเลยในการดำเนินชีวิตเราครั้งต่อไป แล้วก็ในการมองคน สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้วันข้างหน้าเราจะไม่พลาดเรื่องเดิมๆ แบบนี้อีก เราจะตัดสินใจได้เร็วขึ้น ถ้าเราเจอลักษณะแบบนี้ มันจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด”
กับนิยามความสัมพันธ์ที่ดี นักแสดงสาวบอกว่า “ต้อง Respect กัน แล้วต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่ให้เราเป็นในแบบที่เขาอยากให้เป็น พี่คิดว่าอันนี้เป็นสิ่งที่มันอยู่ด้วยกันยาวนาน เราต่างพ่อต่างแม่ เราไม่ได้ถูกสอนมาเหมือนกันทุกอย่าง แต่ถ้าเรามีใจที่จะปรับอ่ะ มันไปด้วยกันได้ แต่ต้องไม่ใช่คนใดคนนึงปรับ เมื่อคนใดคนนึงปรับ มันไม่แฟร์สำหรับความสัมพันธ์”
ปัจจุบันนิยามความรักของกบคืออะไร กบบอกว่า “ต้องเริ่มจากการรักตัวเองก่อน ในสิ่งผิดพลาดของพี่ที่ผ่านมา พี่คิดว่าเกิดจากการที่ไม่รักตัวเอง พอเราไม่รักตัวเอง เราไม่มั่นใจ เราคิดว่าเราพยายามที่จะทำให้เขาประทับใจในสิ่งที่เขาอยากให้เราเป็น นั่นคือการไม่เคารพตัวเองอย่างรุนแรง พี่คิดว่านิยามความรักครั้งต่อไปเมื่อเรารักตัวเอง คนที่เข้ามาเขาก็จะ Respect เรา”
ถามว่ามุมมองกับคำว่าครอบครัวเปลี่ยนไปไหม นักแสดงสาวบอกว่า “เราอาจจะเคยมีภาพครอบครัวที่มันเพอร์เฟกต์ต้องเป็นแบบนี้ๆ มันอาจจะไม่ใช่ Definition ที่ทุกคนวาดฝันเอาไว้ แต่สำหรับพี่ พี่วาดฝันมันไว้นะ พี่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งเรา คู่รักของเรา ลูกเราเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีต่อกัน เป็นแรงผลักดัน เป็นพลังให้กันและกัน พี่ยังมั่นใจว่าพี่เห็นภาพนั้น”
นอกจากนี้ กบยังเล่าว่า เคยผ่านการไม่ยอมรับความเป็นจริง พยายามทุกอย่าง อะไรที่แก้ไขได้ทำหมด ก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าสุดทางแล้วที่จะทำดีให้ไปมากกว่านี้ ทำไม่ได้แล้ว ทำให้รู้สึกว่าตัดได้เลย
ส่วนจุดที่ทำให้หยุด เพราะเรารู้สึกว่า เขาไม่ได้ต้องการเราแล้ว ความรักมันฝืนกันไม่ได้ ถ้ารู้ว่าไม่รักแล้วจะไม่ฝืน ที่ผ่านมาที่ทำได้ เพราะรู้สึกว่ามันยังมีความรักอยู่ ถ้าไม่ต้องการแล้ว แล้วเราเป็นฝ่ายเดียวที่ต้องการก็จะปล่อย วันที่ปล่อยก็เจ็บ แต่ก็ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ ว่าเราทำถูกแล้ว
เมื่อถามว่าคนที่ถูกลดทอนความมั่นใจ จะดึงให้เขากลับมามั่นใจอีกครั้งได้อย่างไร กบบอกว่า “ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเป็นแบบที่เขาพูดรึเปล่า ถ้าเราไม่เป็น เราอย่าไปรับมัน อย่าเป็นคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง อย่าเป็นคนที่หลงไปกับคำพูดของคนอื่น เราต้องดูกระจกและดูตัวเองว่า เราเป็นคนแบบไหน อย่าไปหลงกับคำพูดคน เราต้องเชื่อในตัวเอง”
ส่วนคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ Toxic เจ้าตัวฝากบอกว่า “เวลาบางทีมันอยู่ แล้วมันมีความรัก มันยากที่จะดีล แต่ว่าถ้ายังอยู่ ไม่รับ เดินหนี อย่าไปรับ แล้วก็ไม่สนใจ อย่าไปแคร์ อย่าเป็นเหมือนที่พี่เป็น อย่าไป Absorb ทุกอย่าง มันไม่ดีกับสุขภาพจิตเรา เราอย่าไปรับในสิ่งเหล่านั้น เดินออก ไม่ดีล ให้เค้าดีลกับตัวเค้าเอง ดีเมื่อไหร่ หาย ค่อยคุยกัน อย่าไปแคร์ เราไม่จำเป็นต้องฟัง เสียเวลา เรามีอะไรให้ทำดีๆ เยอะมากมาย ก็ปฏิเสธแบบสุภาพ ไม่จำเป็นต้องไปพูดให้เขารู้สึกไม่พอใจในตัวเรา ออกมาแบบสุภาพ ปฏิเสธแบบสุภาพได้”
ปิดท้ายกบฝาก Empower กับเหล่า Sister ถึงแรงบันดาลใจที่จะใช้ชีวิตต่อไปไว้ว่า “ก็จะเหมือนกับที่พี่พูดมาทั้งหมดนี้ อย่างแรกเลย เราต้องเคารพตัวเอง แล้วก็ต้องให้เกียรติตัวเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีสิ่งเหล่านี้ เคารพตัวเอง ให้เกียรติตัวเอง รักตัวเองอ่ะ เราจะไม่เจ็บเลย เราจะไม่บาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น จะไม่มีใครมาทำให้เราเสียใจได้”
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม