- อัพ ภูมิพัฒน์ แง้มภาพหน้าจอมือถือที่ใช้อยู่ทุกวันนี้
- หนุ่มวัย 30 ที่วางแผนถึงอนาคต ถ้าจะเกษียณตัวเองจากวงการบันเทิง
- เป็นหนุ่มเนิร์ดหนอนหนังสือ ยกให้หนังสือชื่อ "Tuesdays with Morrie" คือเล่มโปรดในใจ
เป็นนักแสดงวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงและแฟนๆ ติดตามกันเยอะมาก สำหรับหนุ่ม อัพ ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง มีผลงานให้แฟนๆ ได้ติดตามกัน ทั้งด้านการแสดง หรือแม้แต่งานเพลง ก็มีออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามกันต่อเนื่อง ล่าสุด อัพ ได้มานั่งเปิดใจและร่วมพูดคุยผ่านรายการ The Background Around Fandom ของไทยรัฐบันเทิง อัพเดตชีวิตตัวเองในตอนนี้ พร้อมกับเป้าหมายชีวิตตัวเองในวัย 30 ว่าอยากจะทำอะไรต่อไป
แอบแง้มหน้าจอมือถือ
ภาพโปรดของอัพ ภูมิพัฒน์
เป็นธรรมเนียมของรายการ The Blackground Around Fandom ที่จะมาขอแอบแง้มดูภาพหน้าจอมือถือของศิลปิน ซึ่งครั้งนี้ อัพ ได้เผยว่า ตอนนี้ใช้เป็นรูป QR Code รับเงินธนาคารของตัวเอง เวลาไปทานข้าวกับเพื่อนจะได้สะดวกในการให้เพื่อนสแกนจ่ายเงิน
"เป็น QR Code รับเงิน เพราะปกติเวลาเราไปกินข้าวกับคนอื่น เราชอบจ่ายเพราะอยากได้คะแนน เรากระหายคะแนน ถ้ากลับไปจะลืม มันต้องมีคนลืมแน่นอน เราก็โชว์เลยว่าจ่ายแล้วนะ แล้ววาง QR Code ไว้ข้างหน้า แล้วทุกคนก็รุมสแกนจ่ายตังค์ หารกัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้อง ถ้ามันเลยวันไปแล้วมันจะเริ่มลืม มีคนเคยลืมบ่อย ผมก็เลยตั้งเป็นภาพวอลเปเปอร์โทรศัพท์ไว้เลย แต่บางทีก็มีลืมแล้วลืมเลยก็มี"
อายุเพิ่งจะ 30 แต่เริ่มแพลนชีวิต
อนาคตสำหรับเกษียณไว้รอแล้ว
อัพ เผยชีวิตตอนนี้ของตัวเองบอกว่า ก็ค่อนข้างหนักหน่วงเหมือนกัน ทำงานทุกวัน สำหรับชีวิตในตอนนี้อายุ 30 ปีแล้ว เคยพูดไว้ตั้งแต่อายุ 29 แล้วว่า อยากเรียนรู้เรื่องการลงทุน ก็คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุน การวางแผนสำหรับอนาคต ชีวิตหลังเกษียณ เมื่อถามว่าอยากจะเกษียณตัวเองจากงานในวงการบันเทิงตอนไหน อัพบอกว่า "ไม่เคยคิดเลย แต่พอรู้เบสิคเรื่องการเกษียณว่า วัย 30 กว่าๆ ตอนนี้ก็ควรเริ่มคิดเรื่องนี้ได้แล้ว"
...
เคยเป็นเด็กอ้วนจ้ำม่ำ
มีหนังสือเป็นเพื่อนคลายเหงา
อัพเล่าชีวิตวัยเด็กของตัวเอง บอกว่า "เป็นเด็กจ้ำม่ำที่ชอบกินข้าว ชอบกินแป้งสุดๆ ไปเลย คือเด็กๆ มันจะมีเมนูประจำตัวของผมเลยคือ ข้าว 1 จาน วางแฮชบราวน์ไว้ข้างบน แล้วราดด้วยซอสขาว ก็คือแป้งโปะด้วยแป้งทอด แล้วราดด้วยแป้งอีกที อร่อยมาก ผมชอบมากตอนเด็กๆ มาตอนนี้กินแป้งน้อยลงเยอะแล้วครับ ต้องออกกำลังกาย
เริ่มมาหุ่นดีตอนที่เล่นบาสฯ ตอนนั้นเป็นนักกีฬาโรงเรียน ซ้อมเยอะด้วย เล่นเยอะ ผอมลงพอดี บวกกับช่วงนั้นเราสูงด้วย แต่ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยมีวีรกรรมนะครับ เพราะกลัวเจ็บ ก็จะอ่านหนังสือ เล่นกีฬา ส่วนมากจะติดคุณแม่ คุณแม่ตามใจ ส่วนคุณพ่อไม่ค่อยตามใจมากเท่าไหร่
ถามว่าดื้อมั้ย ก็ดื้อเงียบ บางทีอยู่บ้านเราก็ขี้เหงา ก็ชวนคุณพ่อคุณแม่เล่นนู่นเล่นนี่ แต่ผลสุดท้ายแล้วเพื่อนที่อยู่กับเรามากที่สุดคือ หนังสือ เราได้อ่านหนังสือเยอะมากๆ ในช่วงเด็ก"
อยากส่งต่อความสุขให้คนอื่น
คือความฝันที่เกิดจากความชอบ
"อยากทำงานเกี่ยวกับองค์กร พวก NGO อะไรแบบนี้ครับ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นจริงๆ จากมือของเรา ส่งความสุขให้คนที่อาจจะด้อยโอกาสกว่า ส่งสิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ แค่นี้ ผมก็รู้สึกว่าต่อให้เราเป็นจุดเล็กๆ บนโลกใบนี้ เราก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้แล้ว"
จุดเริ่มต้นของการทำสิ่งนี้มาจากตอนที่เราเรียนนิเทศ จุฬาฯ ตอนปี 3 ผมเริ่มเก็บวิชาเยอะขึ้น มีเวลาว่างเยอะขึ้น ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องสงคราม พอเราอ่านแล้วเราเห็นความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเพราะว่ามีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น หรือเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะคนนี้ ประมาณนั้น เลยทำให้รู้สึกว่าทางโลกเรามีเครือข่าย มันเป็นคอนเน็คชั่น มันเป็นเน็ตเวิร์คหมดเลย ก็เลยรู้สึกว่าอยากเรียนรู้ด้านนี้ต่อไป เลยไปเรียนต่อที่อังกฤษครับ
ก็เบนเข็มเบนสายเหมือนกัน แล้วก็กลับมาเรียนต่อที่รัฐศาสตร์ครับ ความจริงมันเป็นแพชชั่น เกิดจากความชอบของเรา มันรู้สึกว่าการที่เราได้สร้างความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มันดีขึ้นเสมอ ต่อให้มันจะเล็กน้อยก็ตาม
และการที่เราเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ผมรู้สึกว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันมากๆ เลย คือการสร้างความสุขให้กับคน ต่อให้บางทีเราอาจจะช่วยเขาไม่ได้จริงๆ ก็ตาม แต่เราสามารถช่วยเขาได้ในด้านอารมณ์บ้าง แค่นี้มันก็เป็นจุดที่รู้สึกดีแล้ว
ถึงวันนี้เราจะไม่ได้ทำงานในสายที่เราเรียนมา แต่ทุกอย่างที่เรามองก็เหมือนเรามองผ่านเลนส์อันหนึ่งที่เราสะสมมาจากการเรียนรู้ จากการได้ลองทำได้เรียนรู้ ประมาณฟีลนั้นครับ"
...
"การวางแผนชีวิตตัวเอง"
เป็นคำถามที่ยากมาก ไม่เคยตอบได้เลย
"คือคำถามนี้ เป็นคำถามที่ยากมาก แล้วผมไม่เคยตอบที่ไหนได้เลย ว่าจะวางแผนชีวิตตัวเองไปแบบไหนยังไง อีก 5 ปี อัพเห็นตัวเองอยู่ตรงไหน เห็นตัวเองเป็นยังไง คือผมไม่ได้มีภาพที่ชัดเจนว่าอยากจะเป็นคนๆ นี้ อยากจะเป็นแบบนี้ให้ได้ 100% คือระหว่างทางที่เกิดขึ้นมันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกมากมาย ในระหว่างทางที่เราเดินไปซ้ายและขวามันมีโอกาสต่างๆ มากมาย เราก็ไม่อยากจะปิดกั้นโอกาสเหล่านี้ของเรา ที่มันกำลังเข้ามาหาเรา
บางอันอาจจะรับมาแล้วดี บางอันอาจจะรับมาแล้วไม่ดี มันก็เป็นรสชาติของชีวิตเสมอไป บางครั้งเราเดินไปข้างหน้า เราลื่นล้ม เราวิ่งบ้างเราเดินบ้าง ทุกอย่างมันมีเหตุผลของการใช้ชีวิตของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่างั้นผมไม่อยากจะกำหนดตัวเองว่า 5 ปี เราต้องไปอยู่ตรงนั้นให้ได้ จนบางทีเราลืมมองข้างทาง ความสวยงามและรสชาติต่างๆที่เกิดระหว่างทางเราไป ก็เลยตอบยากมากครับ เลยไม่รู้ว่าผมจะวางแผนชีวิตออกมาเป็นยังไง แต่ว่าเราก็มีคร่าวๆแหละ ว่าเราอยากจะเดินทางไปทางไหน แต่ก็ไม่ได้มีภาพที่ชัดเจน 100% ว่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ"
...
ยกให้ Tuesdays with Morrie
คือหนังสือเล่มโปรด
อัพ บอกว่า ตัวเองนั้นมีหนังสือค่อนข้างเยอะมาก แต่ยกให้หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie เป็นหนังสือเล่มโปรดที่ไม่อยากให้จบ
"หนังสือก็มีค่อนข้างเยอะมากเลยครับ แต่ยังไม่ได้ทำห้องหนังสือตอนนี้วางเกะกะไปหมดเลย ความจริงชอบอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเอง ผมรู้สึกว่ามันสนุกและจับต้องง่าย สำหรับผมเองนะ คือนิยายไม่ค่อยได้อ่านเลย เรารู้สึกว่าหนังสือสักเล่ม มันคือ Life Time Work ของใครสักคน มันคือคนๆ หนึ่งที่เขาไปเก็บข้อมูลมา 10 ปี แล้วเขียนออกมาเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง แต่เรารู้สึกว่าทุกเล่มที่เราอ่านเราได้อะไรจากมันเสมอ
ส่วนนิยายก็มีอ่านบ้าง จะอ่านเพราะว่าเป็นนิยายซีรีส์ที่ถูกดัดแปลงมา แต่ว่าผมก็อ่านหนังสือค่อนข้างหลากหลายอยู่ ช่วงไหนอินอะไรก็ซื้อหนังสือแบบนั้นเยอะๆ ช่วงที่ผ่านมาก็จะซื้อหนังสือไฟแนนซ์เยอะ คือเราห่างหายจากไฟแนนซ์มานานมาก ก็เลยคิดว่าต้องกลับมาอ่านและเรียนรู้บ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะเริ่มใช้ชีวิตไม่ถูกต้อง
หนังสือเล่มโปรดพูดจริงๆ ว่าแปลกใจมากๆ แต่มันก็แล้วแต่ปีว่าปีนี้เราได้อ่านเล่มไหนได้จับเล่มไหน แล้วแต่เราไปเจอรีวิวหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้มา แต่ถ้าหนังสือเล่มโปรดที่เรารู้สึกว่าทัชเลย กลับไม่ใช่หนังสือที่เกี่ยวกับพัฒนาตัวเอง แต่กลับเป็นหนังสือกึ่งนิยาย เป็นหนังสือชื่อ Tuesdays with Morrie ของ Mitch Albom คือเป็นหนังสือที่ไม่กี่เล่มที่พอผมเปิดไปหน้าท้ายๆ ผมไม่อยากให้มันจบ ยังไงก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นอันดับหนึ่งในใจ ความจริงเล่มนี้มันทำให้เราเปลี่ยนมายด์เซ็ตไปเยอะมากๆ และอ่านไปหลายรอบมากด้วย บางทีเราดาวน์ๆ เล่มนี้คือเล่มที่ช่วยเราได้หลายครั้งมากๆ"
...
จากนักแสดงสู่นักร้อง
เหมือนได้ออกนอกคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง
"ความจริงมันไม่ได้เป็นการเบนเข็มมาเป็นนักร้อง แต่มันคือการที่เราทำควบคู่กันไปด้วยมากกว่า ที่เริ่มทำซิงเกิ้ลมันเริ่มมาจากการที่เราเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าร้องเพลง อยู่นอกคอมฟอร์ทโซนเราสุดๆ เลย พอได้ฝึกได้ลองทำเรื่อยๆ มันก็สนุกขึ้นจริงๆ ถามว่าต่างกันมั้ย ผมว่าต่างกันมากๆ ครับ ความยากง่ายมันก็ต่างกัน แต่ว่าสิ่งที่เหมือนกันมันคือการสื่อสารเหมือนกัน
สิ่งที่ทำให้ใจฟู ส่วนใหญ่ก็เป็นคอมเมนต์แหละครับ แฟนคลับหลายคนก็ให้กำลังใจเราเสมอ เขาคอยสนับสนุนเราเสมอ เรารู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่เราดาวน์ เราเหนื่อย การที่เราเข้าไปอ่านคอมเมนต์ มันก็ช่วยฮีลใจเราได้จริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะได้กำลังใจที่ดีขนาดนี้ ดีใจมาก เรารู้สึกว่าเราโชคดีมาก เราก็อยากให้ทุกคนรู้เหมือนกันว่า เราก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนเหมือนกัน"
โสดทำไม Why Single?
ซิงเกิลล่าสุดของ อัพ
"เพลงนี้ที่ร้องก็คือถามตัวเองนั่นแหล่ะ ไม่ได้ถามใคร เป็นเพลงที่ฟังง่ายๆ ผมว่าเป็นเพลงที่บ่งบอกความเป็นตัวเองมากๆ เนื้อหาพูดถึงคนที่เราชอบ เราปิ๊งเขา อยากจะบอกเขาว่าโสดล่ะครับ ลองมีคนดูแล ให้ผมเทคแคร์สักวันมั้ย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัว แต่ว่าไม่ได้พูดออกไป เพราะความจริงเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูดขนาดนั้น ฟีดแบ็กที่ได้รับก็ดีมากครับ ขอบคุณทุกคนมากๆ จริงๆ ครับ บางคนก็ช่วยกันปั่นกันสุดชีวิตจริงๆ ครับ
ยังไงก็ขอฝากติดตาม เพลง โสดทำไม Why Single? ด้วยนะครับผม สามารถไปดู MV ได้ทาง YouTube Projext52 และก็สามารถฟังเพลงได้ทางทุกสตรีมมิ่งเลยครับ ขอฝากด้วยนะครับ ไปฟังวนๆ ได้เลยครับ และติดตามผม อัพ ภูมิพัฒน์ ได้ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ"