นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักผู้กำกับตัวพ่อหนังสยองขวัญ คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา หลังจากที่เจ้าตัวสร้างปรากฎการณ์กำกับภาพยนตร์ “ธี่หยด” ทั้ง 2 ภาคจนกวาดรายได้รวมกันทะลุไปกว่า 1,200 ล้านบาท ล่าสุดผู้ คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา นั่งแท่นประเดิมงานบริหารในฐานะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เธอทีน สตูดิโอ จำกัด หรือ 13 สตูดิโอ ค่ายหนังน้องใหม่ที่มีคาแร็คเตอร์ชัดเจน เน้นผลิตแต่หนังระทึกขวัญและสยองขวัญเข้าสู่ตลาดหนังไทย
วันนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้สัมภาษณ์พูดคุยกับผู้กำกับหนังตัวพ่ออย่าง คุ้ย ทวีวัฒน์ ถึงอีกบทบาทใหม่ในฐานะผู้บริหารค่ายหนังถึงที่มาที่ไปของการทำค่ายหนังที่จะผลิตแต่หนังสยองขวัญ ระทึกขวัญ ซึ่งเจ้าตัวจะมาตอบคำถามที่เราอยากรู้แบบหมดเปลือกให้ฟังว่า
นั่งแท่นประเดิมค่ายหนัง 13 สตูดิโอ ผลิตหนังแนวสยองขวัญ หนังผี
เพราะอะไรถึงลุยตลาดหนังระทึกขวัญ หนังสยองขวัญ ซึ่งเราได้รับคำตอบจากผู้กำกับตัวพ่อหนังสยองขวัญว่า
"จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ที่ทำหนังมาเกือบ 20 ปี รู้สึกว่าอยากทำหนังสยองขวัญ อยากทำบริษัทหนังสยองขวัญมาตั้งนานแล้ว เพราะบริษัทต่างประเทศ อย่าง มิราแม็กซ์ (Miramax) ก็จะมีไลน์ที่ทำหนังสยองขวัญวัยรุ่น ผู้กำกับดังๆ อย่าง แซม เรย์มี (Sam Raimi) เขาก็มี Ghost House Picture เพื่อซัพพอร์ตหนังสยองขวัญ
ในตลาดต่างประเทศเขาทำกันมาสักพักแล้ว จนวันนี้รู้สึกว่า ถ้าวันนึงมีโอกาสก็อยากทำหนังสยองขวัญ ให้มันเป็นแบรนด์ที่ชัดเจนการันตีว่าเหมือนคนเห็นโลโก้บริษัทแล้ว รู้เลยว่าทำหนังสยองขวัญ
จริงๆ หนังสยองขวัญมันก็อยู่คู่กับวงการภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศมานาน คือแนวอื่นจะซาลงไปแต่สยองขวัญยังคงอยู่ตลอด ยังไงมันก็ขายได้
แล้วหนังสยองขวัญตีว่ามันเป็นกิจกรรมกลุ่ม มันเหมือนว่าถ้าเราไปนั่งรถไฟเหาะ เราไม่นั่งคนเดียว คล้ายๆ ถ้าไปดูหนังผี ก็ไม่ดูคนเดียว ต้องชวนหลายๆ คน เพราะฉะนั้น มันเป็นความบันเทิงที่เหมือนแชร์กิจกรรมกลุ่มแล้วอยู่ด้วยกันหลายๆ คน เลยรู้สึกว่าคนเลยอยากดูหนังสยองขวัญในโรงหนังเพราะว่ามีเพื่อนเยอะ"
...
อะไรคือจุดแข็งของหนังสยองขวัญของไทย ที่ทำให้อยากจะเปิดค่ายเพื่อหนังแนวนี้โดยเฉพาะ และคำตอบที่เราได้คือ
"จุดแข็งก็คล้ายๆ อันข้อต้น เพราะรู้สึกว่า ความสยองขวัญมันอยู่คู่กับเรามา มันคล้ายๆ เรากลัวแต่เราสนุก แต่ความกลัวนี้มันกลัวจนสนุก รู้สึกว่ามันเป็นกิจกรรม เป็นเรื่องที่ดี แล้วหนังสยองขวัญจริงๆ แล้วในตลาด มันจะเป็นงานขายไอเดีย คือเราไม่ได้สู้ในประเทศแล้ว เราสู้กันแบบทั่วโลก เรามีแพลตฟอร์มหลายแพลตฟอร์มที่คนดูจะได้ดูหลากหลาย เพราะฉะนั้นมันเป็นงานที่เราต้องใช้ไอเดียเข้าแลกเลย
แล้วข้อดีของประเทศไทย คือเรามี source ผีเยอะมาก มีสารพัดผี มันก็เลยรู้สึกว่ามันเป็น culture ที่ยังสนุก และยังพัฒนาอะไรได้เยอะ
ถามว่าผีไทยมันน่ากลัวกว่าผีต่างประเทศไหม ถ้าดูจากสื่ออื่นๆ เขาก็บอกว่าผีไทยน่ากลัว เพราะผีไทยเป็นผีหลอก แล้วก็หลอกเอาตาย เพราะว่าบางทีทางอเมริกาและยุโรป เขาตีคำว่าผีลำบากเหมือนกัน เพราะว่าเขาไม่เชื่อเรื่องผี เชื่อเรื่องปีศาจมากกว่า แต่ของเราเป็นผี ของเราจะแอดวานซ์กว่า"
เวลาจะต้องทำหนังผีเพื่อที่จะรองรับในตลาดในบ้านเรา และยังต้องเอาไปขายในต่างประเทศด้วย โจทย์ในการทำยากไหม ผู้กำกับคนเก่งบอกกับเราว่า
"จริงๆ ความกลัวมันน่าจะสากล มันง่าย จริง culture ไทยเรื่องคุณไสย เรื่องของการทำพิธีกรรมต่างๆ มันก็เป็นของความว้าว แปลกใหม่ในต่างประเทศอยู่ มันยังขายได้ และเขาก็พร้อมที่จะเชื่อใน culture นี้ ผมเลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราจะทำในนามของบริษัท เราพยายามที่จะดึงให้เป็นภาษาสากลให้มากที่สุด เพราะว่าให้มันแมสทั้งในประเทศและนอกประเทศให้ได้
แต่จริงๆ แล้ว ตลาดหลักก็ยังเป็นในประเทศอยู่ เรายังซัพพอร์ต ยังเล่าเรื่องในบริบทของประเทศไทยเหมือนเดิม เพียงแค่มันอาจจะมีวิธีการเล่าที่น่าจะสื่อสารได้กว้างขึ้น"
เรายิงคำถามต่อทันทีว่า กดดันหรือไม่เพราะพี่คุ้ยทำรายได้จากธี่หยดมันค่อนข้างที่จะสูงมาก หลายคนจะคาดหวังในผลงานของพี่คุ้ย ซึ่งเจ้าตัวตอบกับเราว่า
"จริงๆ แล้ว ผมก็มีความกดดันแหละครับ แต่เราก็ดูฟอร์มหนังแต่ละฟอร์มอยู่แล้ว ว่าฟอร์มนี้เราก็ประเมินแล้วว่าไม่ถึงธี่หยด หรือหนังเรื่องนี้มันน่าจะได้ใกล้เคียงนะ หรือหนังเรื่องนี้มันจะเป็นแบบธี่หยด จะเป็นไวรัลได้ไหม ต้องดูกระแสปากต่อปากว่ามันจะไปได้แค่ไหน ว่ามันจะเกิดไรขึ้นไหม แล้วมันจะตอบโจทย์สิ่งที่คนเขาอยากดูรึเปล่า ทั้งกดดัน ปล่อยวาง ปล่อยจอย ทั้งสนุกกับมัน แล้วก็ลุ้น ทุกอย่างครบหมดเลยครับ (ยิ้ม)"
ความตั้งใจหรือความคาดหวังในฐานะของการเป็นผู้กำกับหนังและผู้บริหารคืออะไร ซึ่งเราได้รับคำตอบว่า
"มันมีความตื่นเต้น มันเหมือนเรากระโดดมาเล่นอีกตำแหน่ง ไม่ใช่แค่การกำกับ ความตื่นเต้นมันเกิดขึ้นแน่ แล้วผลลัพธ์ที่มันเป็นรูปธรรมชัดเจน คือเรื่องของรายได้ที่จะเกิดขึ้น คำวิจารณ์ก็ส่วนหนึ่ง แต่ในเมื่อมันเป็นเม็ดเงินที่เราลงทุน เพื่อให้องค์กรมันก้าวเดินต่อไป มันก็ตื่นเต้นครับ คาดหวังว่ามันจะต้องมีรายได้แต่ละเรื่องให้ได้ และขอให้สิ่งที่เราคิดมันถูกต้อง เพราะผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมคิดมันถูกหรือผิด ก็วัดใจกันไปครับ (ยิ้ม)"
...
13 สตูดิโอ พร้อมปล่อยหนัง 7 เรื่อง 7 รส
และเมื่อพูดคุยกันมาถึงตอนนี้ เราจึงคุยกันต่อในหัวข้อที่ว่า วันนี้เป็นฤกษ์ดีที่ได้เปิดค่ายหนัง และมีหนัง 7 เรื่องที่เตรียมจะปล่อยและเตรียมจะทำ มีเรื่องอะไรบ้าง แนะนำให้แฟนๆ ได้ฟังกันหน่อย ซึ่งพี่คุ้ยไม่รอช้า เล่าถึงหนังทั้ง 7 เรื่องให้เราฟังว่า
"สำหรับหนังมันจะลามไปถึงอีก 2 ปีข้างหน้าเลย เพราะมันเยอะมาก มันมีทั้งโปรเจคใหญ่ด้วย โปรเจคขนาดกลางด้วย ซึ่งมีทั้งหมด 7 เรื่อง
เรื่องแรกที่พร้อมฉายในต้นปีนี้คือเรื่อง Attack วิญญาณเลขที่ 13 มันเกี่ยวกับเรื่อง การบูลลี่ในโรงเรียน ถ้าใครดูตัวอย่างหนังแล้ว จะคิดว่าคนโดนบูลลี่แล้วเป็นผีมาแก้แค้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ใน Attack 13 เราจะเล่าอีกแบบหนึ่ง
เมื่อคนบูลลี่ตาย แล้วเป็นผี จะเป็นผีที่บูลลี่โหดขนาดไหน จะเล่าบริบทของชีวิตในมัธยมที่จะไม่ได้เล่าในประเด็นปัญหาสังคมที่เราคุ้นเคย เรื่องยาเสพติด ท้องก่อนแต่ง เราจะไม่เล่าประเด็นนี้ เราจะเล่าประเด็นว่าคุณจะเอาตัวรอดในสังคมนี้ได้อย่างไร แล้วคุณจะต้องหาจุดยืนนี้ให้ได้ ในการต่อสู้ครั้งนี้
...
เรื่องที่ 2 “กฤษดา พาราไดซ์” เป็นหนังของพี่ไมค์ ถ้าได้ดูพี่นาคมาก็จะรู้ว่าพี่ไมค์ขายสไตล์ จะมีเซอร์วิส มีดาราตัวจี๊ดๆ ที่เราจะเห็นแฟนคลับมาเยอะๆ คือหนังเรื่องนี้เลย มีทั้งน้องโฟร์ท น้องยอร์ช แล้วก็มีความตลก เฮฮา สไตล์พี่ไมค์ ภณธฤต รับรองว่าน่าจะตอบโจทย์
หนังเรื่องนี้น่ากลัวนะ มันจะเล่าถึงการที่เด็กคนนึงสูญหายในสวนสนุก แล้วเด็กกลุ่มนึงต้องไปตามหาเด็กคนนี้ แล้วเจออาถรรพ์บางอย่าง ความน่ากลัวบางอย่างที่เกิดขึ้น
...
เรื่องที่ 3 "สแคร์รั่ว มูฟวี่" ตอนนี้คาแรคเตอร์จะบอกว่ามาโหดฮาร์ดคอร์อย่างเดียวไม่ได้ สแคร์รั่วจะเป็นหนังตลก คอมเมดี้ ผีตลก มันเป็นการยำหนังดังๆ ทุกเรื่องที่อยู่ต้นปีที่แล้ว มาอยู่ในเรื่องเดียวกัน ด้วยเรื่องย่อ เดี๋ยวคร่าวๆ มันน่าจะเกิดขึ้นแล้วมาเล่าเรื่อง
หลานคนนึงที่อยากได้มรดกของอาม่า คือสวนทุเรียน แล้วไปทำอาม่าตาย เมื่อทำอาม่าตายก็ต้องไปติดคุก เลยต้องไปอยู่บ้านฝั่งธน อยู่บ้านแต่ละบ้าน เกิดการต่อสู้กัน สุดท้ายพระเอกต้องพยายามแก้ต่างให้ได้โดยการแหกคุก แล้วก็หนีไปหาทนายที่อยู่ดงขโมด มันก็จะเป็นสแคร์รั่ว มูฟวี่ กำกับโดย พี่แฉะ องอาจ กับน้องป้อ ณภัทร
เรื่องนี้จะไม่น่ากลัว แต่ชวนให้ขำ คอมเมดี้ บรรยากาศ horror อันนี้ซัพพอร์ตตลาดไทยเต็มๆ ต่างประเทศน่าจะงง (ยิ้ม)
เรื่องต่อไปคือ “First Camping” จะ inspir จากหนังที่ coming of age ที่สมัยก่อน จริงๆ ก็ไม่กี่ปี ที่มันจะเป็นแนวเทรนด์ที่ยังฮิตอยู่ ก็มีเรื่อง It, Stranger things Series, Black Phone มาเล่าถึงความสยองขวัญในวัยเด็กที่เจอ
ในเรื่องนี้เราก็จะหาจุดศูนย์รวมของทุกคน คือการเข้าค่ายพักแรมครั้งแรกของลูกเสือเนตรนารี แล้วคืนแรก คืนนั้นที่คุณจะต้องเจอผี เพราะเรารู้สึกว่าการเข้าค่าย เรื่องเล่าผี มันเป็นอะไรที่อยู่คู่กันมาตลอด หลายๆ คนเคยเข้าค่าย แล้วน่าจะมีส่วนร่วมในเรื่องตรงนี้ เรื่องนี้จะเป็นหนังผีที่สนุก ครื้นเครง แล้วก็ดุดัน มีความสยองขวัญเต็มเหนี่ยว อันนี้ได้พี่จง บรรจง มากำกับ
เรื่องต่อไปคือ "สมิงที่เสิงสาง" เป็นการต่อยอดจากการที่ผมได้ทำ ธี่หยด 2 มีกระแสตอบรับมากมายว่าคนอยากจะดู การที่บุกผจญภัยในป่าอันกว้างใหญ่ แล้วพร้อมกับอาถรรพ์ต่างๆ ในป่า แล้วสิ่งที่คนอยากดูที่สุด คือเสือสมิงร้าย แล้วสิ่งที่ผมทำ ถ้าเราอยากทำแต่ต้องใส่อะไรบางอย่างให้คนได้รู้จักมัน คือพูดถึงประวัติศาสตร์ด้วย
เราจะพูดถึงประวัติศาสตร์ในตอนที่เกิดคอมมิวนิสต์ขึ้น แล้วกลุ่มคนหนึ่งที่ต้องทำภารกิจที่ต้องปราบคอมมิวนิสต์ แล้วพบกับสมิง อันนี้ก็จะเป็นครื้นเครง บันเทิง ฟังแล้วดูเหมือนจะจริงจัง ซีเรียส แต่ก็เรารวมดาวหลายคนอ่ะครับ มี มาริโอ้ เมาเร่อ, กันต์ ปิ้งไก่ในตำนาน, พี่ปั๋ง ประกาศิต ก็มาประกบด้วยมาในคาแรคเตอร์ที่คล้ายๆ เหมือนผู้กององอาจใน 7 ประจัญบาน แล้วก็มีพี่แฉะ ที่มาร่วมขบวนการนี้ ก็คล้ายๆ เหมือนจ่าประพันธ์ในวัยหนุ่ม ทั้งหมดจะมารวมกันเพื่อปราบเสือสมิง ก็จะดูเถิดเทิงหน่อย อันนี้ก็ดูจะไม่น่ากลัวมาก จะเหมือนต่อยอด ธี่หยด 2 แล้วรู้สึกมันจะเป็นสไตล์นั้น คอมเมดี้ขึ้น
อีกเรื่องคือ “แร้งวัดสระเกศเปรตวัดสุทัศน์” เป็นเรื่องที่ตอนแรกถูกทาบทามมาทำเรื่องนี้แหละ รู้สึกว่า เราก็มาตีโจทย์ว่าเรื่องนี้จะเล่ายังไง แล้วก็คนคาดหวังอะไร มันจะมีทั้งความสยอง ทั้งความอาถรรพ์ แล้วเราก็เล่าถึงประวัติศาสตร์จริงในช่วงที่เกิดโรคห่าระบาด ในช่วง ร.3 ว่าโรคห่ามันเกิดขึ้น
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ โรคระบาดนี้มันดันเกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย ประเทศอื่นไม่เป็น มันเกิดอะไรขึ้น จนมีความเชื่อว่ามันอาจจะเป็นอาถรรพ์ เราเลยต้องหาวิธีที่จะแก้อาถรรพ์นี้ ในเรื่องก็จะเป็นเรื่องของการที่ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามต่อสู้กับโรคนี้ พร้อมกับอาถรรพ์ แล้วก็ความลี้ลับบางอย่างที่เกิดขึ้น เรื่องนี้จะเป็นพีเรียด มันจะมีบรรยากาศโกธิค งานดีไซน์แปลกหูแปลกตานะครับ
อีกเรื่องคือ “Home Sweet Home Return” จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากที่ผมถูกทาบทามให้ไปกำกับเกม Home Sweet Home ภาค 3 Home Sweet Home มีอยู่ 2 ภาค แล้วผมก็บอกว่า Home Sweet Home มันเคยถูกสร้างเป็นหนังฮอลลีวูดแล้ว เขาบอกว่า เรื่องนั้นก็เป็นอีกเรื่องนึง แต่ว่าเรื่องนั้นจะไม่ได้ทำตามไลน์เกม สิ่งที่จะให้ผมทำคือ จะให้ไปกำกับเกม แล้วก็เขียนบทให้ภาค 3
ซึ่งผมก็ว่ามันแปลกดี ไม่เคยทำ แต่ก็มีเงื่อนไข ไหนๆ ผมจะไปทำแล้ว เขียนบทแล้ว ขอเอาอันนี้มาสร้างเป็นหนังได้ไหม มันก็เลยเป็นการร่วมมือกันเกิดขึ้นว่าถ้ามันมี Home Sweet Home ทั้งเวอร์ชันหนัง แล้วก็เกม ซึ่ง Home Sweet Home ข้อดีของมันก็คือ IP มันดังทั่วโลกแล้ว"
เตรียมพาหนังสยองขวัญไทยไปบุกตลาดหนังต่างประเทศ
จากหนังทั้ง 7 เรื่องที่เล่ามา เรื่องไหนที่รู้สึกหนักใจ หรือดูท้ายทายมากที่สุดในการสร้างและเข้าโรงฉาย และเราได้รับคำตอบว่า
"จริงๆ มันสนุกหมดเลย คือเราก็ร่วมพัฒนาโปรเจคกับผู้กำกับไปด้วยกัน แล้วก็ข้อดีอย่างนึงของที่นี่คือ นายทุนใหญ่ เฮียจุ้ย เขาบอกนโยบายง่ายมากเลย เขาบอกว่า เอาให้ดีที่สุด ไม่พร้อมก็ไม่ต้องทำ ไม่พร้อมก็ไม่ต้องรีบ เอาให้ดีค่อยทำ ซึ่งเรารู้สึกว่าในสภาวะของคนทำงาน เรารู้สึกแฮปปี้ เพราะว่าเราจะได้พัฒนาไปเรื่อยๆ"
คุ้ย ทวีวัฒน์ เล่าต่อว่า "ผมเลือกผู้กำกับตามคาแรคเตอร์ ตามเรื่องเลย เราจะควบคุมมันค่อนข้างทั้งหมด แต่เราจะให้ฟรีในเรื่องของผู้กำกับ เพราะผมเชื่อว่า จริงๆ โปรเจคมันเริ่มจากที่ สารตั้งต้นมันเริ่มจากผมตั้งโปรเจคขึ้นมา คิด polt คิดไอเดียขึ้นมา แล้วเราก็หา มันเหมือนเราเปิดสโมสรขึ้นมาแล้วหานักฟุตบอลมาเตะให้ เรารู้สึกว่าคลิกไหม โอเคไหม คือบางคนเขาก็รู้สึกว่าไม่โอเค แต่เขาทำเพราะเขาร้อนเงิน อันนี้ผมก็ไม่เอานะ
ผมเอาคนที่เขารู้สึกถนัดและอยากทำ และที่ผมมองเห็น ด้วยการคัดผู้กำกับ ข้อดีก็คือ ผมเริ่มจากอาชีพกำกับ จะเห็นทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มไอเดีย สารตั้งต้น เขียนบท กำกับ ออกกอง ตัดต่อ จนมันเป็น หนังออกฉาย เราเห็นกระบวนการของมันทุกอย่าง เรารู้ถึงกระบวนการที่คนอื่นได้เจอ ว่าเขามีปัญหาอะไรบ้างในกองถ่าย แก้ปัญหาอย่างไร จนผลลัพธ์มันออกมา ถ้าเขาตีว่าบทคนดู ก็จะไม่สนอยู่แล้วว่าคุณเจอปัญหาอะไร เขาจะดูที่ผลลัพธ์ แต่ผมจะดูทั้งหมดว่าผู้กำกับคนนี้ เขาแก้ปัญหานี้ได้ เขาทำอย่างงี้ได้ แปลว่าเขามีของนี่หว่า แล้วก็เอามาใช้"
เราถามต่อว่าในหนังบรรดา 7 เรื่องมีเรื่องไหนที่เอาไปขายกับต่างประเทศแล้วบ้างแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบกกลับมาว่า
"ที่ต่างประเทศตอนนี้น่าจะเป็นการเริ่มต้น 13 สตูดิโอ เริ่มไปซื้อบูธที่ต่างประเทศแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีบริษัทพระนครฟิล์ม ซึ่งพระนครฟิล์มทำหนังที่มันเป็น culture ไทยจ๋า เพราะฉะนั้นในการขายต่างประเทศมันจะลำบากมาก คนต่างประเทศจะไม่เข้าใจในภาษาหนัง อันนี้จะเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะเริ่ม"
และอย่างที่รู้กันๆ ในช่วงนี้ วงการหนังไทยเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นผู้กำกับหลายสิบปี ความรู้สึกตอนนี้เป็นอย่างไรที่ได้เห็นมันกลับมาคึกคักอีกครั้ง พี่คุ้ยตอบเรื่องนี้ไว้ว่า
"ผมว่ามันเป็นวัฎจักรครับ มันมีเหมือนว่าช่วงนึงสตรีมมิ่งเอาไปกินหมด ช่วงนี้ก็เป็นช่วงหนัง แล้วมันก็ลุ้นว่า มันจะขึ้น กลางปีมันจะลงไหม มันจะดาว์นไหม มันเป็นวัฎจักรครับ สุดท้ายผมว่าดูทรงหนังที่มีฟอร์มมันก็จะได้ไป
คือ ณ ตอนนี้ เหมือนได้เลยๆ ถ้าเจ็บตัว ก็เจ็บตัวเลย ที่เรารู้สึก ก็รอลุ้นว่าให้มันมีได้ทุกเดือน เดือนละเรื่อง 2 เรื่อง ให้มันได้ ทำให้คนดูรู้สึกว่ามันคึกคักและน่าดู เพราะว่าถ้ามันได้ปุ๊บ ธุรกิจมันขับเคลื่อนไป ก็อยากให้มันเป็นอย่างงั้น ก็อยากให้มันเป็นเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา ก็ลุ้นอยู่ครับ
เพราะในช่วงที่มันซบเซาผมชิ่งก่อนเลย ไม่ต้องกลัว หนีไปทำละครก่อนเลย เวลามันรู้สึกว่าตลาดหนังมันไม่สามารถที่จะเป็นอาชีพได้ ก็หนีไปทำละคร ช่วงละครมันกำลังจะดาว์น ก็ไปทำหนัง ก็เลยไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะว่าผมหนีเอาตัวรอดตลอด (หัวเราะ)"
เมื่อคนไทยเปิดใจยอมรับหนังผีมากขึ้น
ถามต่อด้วยความอยากรู้ ว่ารู้สึกอย่างไร เหมือนคนไทยเปิดใจยอมรับตลาดหนังสยองขวัญมากขึ้น หลายคนมองว่าโปรดักส์ชั่น เนื้อเรื่อง ทำดีขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เป็นผีบ้านๆ เรื่องราวไม่ซับซ้อน ซึ่งคำตอบที่เราได้รับกลับมาคือ
"จริงๆ คนไทยยอมรับหนังผีไทยมานานแล้ว เพราะว่าถ้าดูในรายได้หนังผีทำรายได้มาตลอด แต่แค่ขาดความต่อเนื่อง มันไม่ได้มาตลอด แล้วตอนนี้ผู้สร้างก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็พยายามคิดทางใหม่ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ถ้ามาขายแค่ผีหลอก เคยมีผู้กำกับคนนึงพูดว่า ตอนนี้ผีมันหลอกมาครบหมดแล้ว ปีนหน้าต่าง ตีลังกา มันหลอกมาทุกท่าแล้ว มันอยู่ที่สตอรี่และเรื่องมากกว่าที่จะพาไป แล้วก็ไอเดียในการเล่า ณ ตอนนี้ก็เหมือนผู้กำกับใหม่ๆ เขาพยายามที่จะคิดอะไรใหม่ๆ ตลอด ซึ่งเป็นข้อดีครับ"
และในฐานะผู้กำกับหนัง และยังเป็นผู้บริหารค่ายหนัง อยากจะพูดอะไรถึงวงการหนังตอนนี้บ้าง ซึ่งพี่คุ้ยบอกกับเราว่า
"จริงๆ ถ้าพูดก็คือ เป็นช่วงที่หนังมันกลับมาคึกคักแหละ เห็นหนังมีเปิดหลายๆ เรื่องมาก จริงๆ ก็บอกว่าช่วยๆ กัน แล้วเราขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยกันขับเคลื่อนภาพยนตร์ไปด้วยกัน ให้มันมีความหลากหลาย เชื่อว่าทุกคนทำงานมีคุณภาพแหละ ทุกคนอยากตั้งใจทำหนังให้มันดี ลุ้นครับ ขอให้มันได้กันต่อเนื่อง นอกจากจะมีกลุ่มคนดูที่ขับเคลื่อนเรื่อยๆ แล้ว ตลาดหนังบ้านเราจะได้กว้างขึ้น แม้กระทั่งสตรีมมิ่งมันจะได้ราคาสูงขึ้น แล้วก็ไปต่างประเทศได้ครับ"
ในฐานะที่เราเป็นที่ผู้กำกับและผู้บริหาร อยากจะฝากอะไรถึงแฟนๆ หนังสยองขวัญที่ตอนนี้ตั้งตารอที่ตอนนี้ พอรู้ว่ามันมีค่ายที่ทำหนังสยองขวัญ หนังผีโดยเฉพาะ ทุกคนรอชมทั้ง 7 เรื่องนี้แล้ว
"มันก็จะมีหนังที่มันมีความเป็นสไตล์ผมอยู่ในหลายๆเรื่อง มันจะมีคาแรคเตอร์บางอย่างที่คุณอาจจะสัมผัสได้ ก็คือความตื่นเต้น โครมคราม มันมีแน่ มันมีการเซอร์วิสคนดูอยู่แล้ว เราออกตัวเป็นบริษัทที่ไม่ห่วงหล่อ เน้นมันส์อย่างเดียว มันส์กันทุกทาง ไปให้สุดทุกทางเลย ผีสุด คืออย่าคาดหวังว่าหนังเราจะมาหล่อ ไม่มีครับ ไม่ห่วงหล่อครับ เป็นหนังที่จะเดินหน้า บอกเลยว่าจะเทิดเทิงกันอย่างเดียวเลย"
สุดท้ายพี่คุ้นอยากฝากพูดถึง 13 สตูดิโอ กับแฟนๆ หนังสยองขวัญ หรือแฟนหนังของพี่คุ้ยว่าอย่างไรบ้าง เราให้โอกาสพี่ขายของเต็มที่เลย ซึ่งพี่คุ้ยก็ไม่รอช้า พูดถึง 13 สตูดิโอ ว่า
"ขอฝากบริษัท เธอทีน สตูดิโอ (13 สตูดิโอ) ด้วยนะครับ ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วย (ยิ้ม) เราเป็นบริษัทน้องใหม่ เจียมเนื้อเจียมตัว แล้วค่อยๆ ก้าวเดินมา เรามาด้วยความจริงใจมากครับ บริษัทหนังเราทำหนังสยองขวัญอย่างเดียว เพราะว่าแนวอื่นอาจจะไม่ถนัด แล้วเราก็จะทำมันอย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าคุณจ่ายค่าตั๋วเข้าไปดูหนังของเราในราคา 200 บาท ยังไงก็ต้องทำให้คุ้ม 200 บาทคุณของพวกให้ได้ครับ (ยิ้ม)
และจากการเปิดไลน์อัพหนังในงาน “Knock Knock 13 Thirteen Studio” ที่ผ่านมา เชื่อว่าแฟนๆ หนังแนวสยองขวัญหลายคน คงตั้งตารอชมกันอย่างใจจดใจจ่อ มาช่วยลุ้นและผลักดันให้วงการหนังผีไทยนอกจากจะหลอนในประเทศแล้วให้ไปหลอนที่ต่างประเทศกันนะคะ