หลังจากที่นักร้องหนุ่ม ติ๊ก ชิโร่ เกิดอุบัติเหตุขับรถชนคู่กรณี น้องเมจิ เสียชีวิต และ น้องจูเนียร์ บาดเจ็บสาหัส และต่อมา น้องจูเนียร์ เสียชีวิตแล้วหลังรักษาตัวมาประมาณ 3 เดือน ล่าสุด ติ๊ก ชิโร่ พร้อมด้วย เอ๋ น้องสาวของอ้อ พรรทิรา ภรรยาของติ๊ก รวมทั้งทนายความ ก็ได้ออกมาแถลงชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว ณ สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย หลังมีกระแสว่าเจ้าตัวไม่ได้เยียวยาคู่กรณีครบตามที่ทางครอบครัวคู่กรณีเรียกไว้
...
ซึ่ง ติ๊ก ชิโร่ กล่าวว่า ที่ออกมาแถลงข่าว เป็นการพูดคุยเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ได้มาแก้ต่างหรือแก้ตัว มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตนพูดเสมอว่า รู้สึกสูญเสียอย่างมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าเลือกได้ขอได้ ก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต้านทานได้ แต่ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงในการแก้ไขเยียวยา หาหนทางที่จะให้ทั้งสองครอบครัวสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
กับเรื่องที่เกิดขึ้น ติ๊ก เผยความรู้สึกว่า เหมือนจะแข็งแรง แต่จิตใจแตกสลายยุ่ยเป็นผุยผง เหมือนตายทั้งเป็น น้ำตาตกใน จุกอก กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในส่วนของการเยียวยา ตนพร้อมเยียวยาทุกรูปแบบเท่าที่จะสามารถทำได้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการแต่งเพลง เลยขอแต่งเพลงและมอบเพลงให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต และมอบรายได้ทุกอย่างเพื่อเป็นการเยียวยา
ในขณะที่ เอ๋ ซึ่งเป็นตัวแทนของ ติ๊ก ชิโร่ ในการเจรจา กล่าวว่า เราเจอกับคู่กรณีนอกสถานที่ เจอที่บ้านของติ๊กด้วย เรื่องหลักฐาน เราได้ส่งกล้องหน้ารถให้กับทางตำรวจ แต่ที่เรายื่นหนังสือร้องความเป็นธรรมไป เป็นเพียงการสอบพยานเพิ่มเติมที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และนำกล้องวงจรปิดเพื่อเข้าสู่กระบวนการคดี ซึ่งพี่ติ๊กไม่เคยเปลี่ยนคำให้การเลย ส่วนรายละเอียดคดีขอไม่ยุ่งเกี่ยว ให้ศาลพิจารณาตามที่มีพยานหลักฐานที่มอบให้
เรื่องเยียวยาผู้เสียหาย เบื้องต้นวันแรกทางเอ๋ไปประสานงานตั้งแต่ชั้นโรงพัก มีน้องเสียชีวิต 1 คน ก็แจ้งทางพี่อ้อ (ภรรยา ติ๊ก) พี่สาวของเอ๋ ว่าต้องจ่ายเงินให้ผู้เสียหาย เลยจ่ายไป 1 แสนบาท พอพี่ติ๊กออกจาก รพ. ก็เลยไปรดน้ำศพน้องและไปงานสวดอภิธรรมทุกวันจนถึงวันเผา จากนั้นจ่ายเงินอีก 75530 บาท
พอจัดงานศพเสร็จคุณพ่อคู่กรณีก็นัดพี่ติ๊ก พี่อ้อ เจรจาเรื่องค่าเสียหาย เมื่อ 22 ต.ค. 2567 เราพยายามคุยกันเพื่อหาข้อยุติ แต่เบื้องต้นหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจากน้องยังอยู่ไอซียู เราไม่รู้ว่าน้องจะอยู่ได้กี่วัน เลยคุยเรื่องตัวเลขค่าเสียหายไม่ได้ ตอนนั้นก็อยากให้น้องรักษาเต็มที่จนหาย มีชีวิตรอด ซึ่งคุณพ่อก็มีแลกไลน์กัน พี่ติ๊กก็ชวนทางคุณพ่อของน้องมาคุยที่บ้าน ซึ่งคุณพ่อเสนอมา 9 ล้าน ทางฝั่งพี่ติ๊กก็มองว่า 9 ล้าน เราก็ต้องปรึกษาครอบครัวว่าจะหาทางเยียวยาได้ไหม เราก็กังวลใจเรื่องอาการน้องจูเนียร์มาตลอด พี่ติ๊กก็ซื้อของใช้จำเป็นมาให้ตลอด
29 ต.ค. 67 พี่ติ๊กให้พี่อ้อและเอ๋มาเจอครอบครัวผู้เสียหายที่ สน.คันนายาว และติดต่อทางบริษัทประกันว่าพอจะจ่ายให้ก่อนได้ไหม เบื้องต้นทางประกันมองว่าเมื่อยังหาข้อยุติไม่ได้ ก็ยังไม่อยากให้จ่ายในส่วนนี้ แต่ทางตนอยากให้ประกันจ่ายก่อน พี่ติ๊กยินดีรับผิดชอบ หากในอนาคตมีการชี้ขาด ไม่ได้หวังจะเรียกคืน ถ้าเยียวยาได้ก่อนก็จ่าย ทางบริษัทก็เลยตกลงจ่าย 5 แสนบาท และมีการลงบันทึกประจำวันไว้
...
พอประกันจ่ายแล้ว เอ๋คุยกับทางประกันว่าในส่วนประกันที่ทำไว้ มีจ่ายเงินให้กับผู้เสียชีวิตคนละ 1 ล้าน ถ้าเราเป็นฝ่ายผิดก็จ่ายเพิ่ม 5 แสนบาท รวมกันก็ประมาณ 3 ล้าน นี่คือเบื้องต้นในส่วนประกันที่ไม่รวมกับที่พี่ติ๊กจะเยียวยาเพิ่มอีก แต่ด้วยความที่พนักงานสอบสวนคุยกับคนละฝ่าย บริษัทประกันก็เลยเข้าไปเจรจาแทน ญาติเลยเข้าใจว่าพี่ติ๊กจะจ่ายแค่ 3 ล้าน เลยมาต่อว่าพี่อ้อว่างั้นขอขับรถชนลูกสาวพี่ติ๊กตายบ้าง แล้วจะเอาเงินมากองเลย 3 ล้าน
เอ๋มองว่าไม่ควรจะผ่านวิกฤติไปด้วยการพูดจาที่เสียดสีทำร้ายใจกัน ครั้งที่ 2 เอ๋เลยไปคนเดียว ไม่อยากให้คนอื่นไปด้วย เพราะเดี๋ยวพูดจาอะไรให้เจ็บช้ำไปกว่านี้ จะเจรจาไม่รู้เรื่อง ซึ่งย้อนไปครั้งแรกที่เขาเรียก 9 ล้าน เขาเรียกเฉพาะกับน้องเมจิ ในส่วนของน้องจูเนียร์ ยังไม่สามารถสรุปเป็นตัวเลขได้เพราะน้องยังอยู่ในไอซียู ต้องรอดูอาการ พอครั้งที่ 2 ทางเอ๋เลยไปพบครอบครัวและพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 12 พ.ย. เอ๋ก็ปรึกษาในครอบครัวว่าจะเอาทรัพย์สินมาขาย ซึ่งมีที่ดินแปลงเดียวที่ไม่มีภาระหนี้ออกมาขาย ซึ่งที่ดินน่าจะขายได้ 4-5 ล้าน เลยมาเจรจากับทางญาติว่ามีทรัพย์สินออกขายให้ จะขายให้เร็วที่สุด
...
คุณพ่อก็บอกว่าทางน้องจูเนียร์ก็มีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล เขาก็ถามว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะให้เรารับผิดชอบเรื่องค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายกายภาพ พี่ติ๊กก็ยินดีรับผิดชอบ ก็เลยตกลงว่าถ้ามีค่าใช้จ่ายอะไรให้ส่งมา เราจ่ายให้กระทั่งค่าเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ของน้องที่เสียชีวิต คุณพ่อก็รวมใบเสร็จส่งมาให้ ก็ประสานกันตลอด ซึ่งตลอด 3 เดือนพี่ติ๊กก็พยายามหาเงินมาให้มากที่สุด จ่ายไปเป็นเงิน 4.2 แสนบาท ซึ่งไม่รวมกับประกันภัยภาคบังคับที่พี่ติ๊กทำประกันรถไว้อีก 5 แสน เบื้องต้นจ่ายไปแล้วรวม 9.2 แสนกว่าบาท
เรื่องที่ดินที่จะขายราคา 4-5 ล้านบาท ถ้าขายได้เท่าไรก็จะจ่ายให้หมด ด้วยความที่เขาไม่ได้เป็นศิลปินดังเหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ทรัพย์สินที่มีจะเยียวยาได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนเรื่องเงินจาก พ.ร.บ. 5 แสนบาท ที่คุณพ่อน้องจะให้จ่ายก่อน เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าต้องให้บริษัทพิจารณาว่าจ่ายส่วนนี้ได้หรือเปล่า ในเมื่อผลพิจารณายังไม่ยุติ ขั้นตอนนี้เราก็พยายามคุยกับทางประกันภัย เขาบอกว่าผลคดีไม่ยุติ ไม่สามารถจ่ายได้เพราะผิดเงื่อนไขทางบริษัท แต่พี่ติ๊กก็พยายามจ่ายให้ตลอด
...
คุณพ่อคู่กรณีกับพี่ติ๊กก็คุยอัพเดตกันตลอด หลังปีใหม่เรานัดกัน 13 ม.ค. 2568 ก่อนที่จะเสียน้องจูเนียร์ ทางผู้กำกับฯ ร่วมเจรจาเอง ซึ่งทางเราให้ทนายเจรจาด้วย เพราะการเจรจาในโรงพักครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หากเจรจากันครั้งนี้ไม่ได้ ก็จะส่งสำนวนการสอบสวนส่งให้พนักงานอัยการ เราก็เลยเชิญทนายร่วมฟังการเจรจา ถ้าเจรจาไม่ได้ก็ให้ทนายประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจให้พาตัวพี่ติ๊กไปที่พนักงานอัยการหรือส่งศาล
ซึ่งในส่วนค่าเสียหายที่คุยกัน ผู้กำกับบอกไปว่าอยากให้คุณพ่อดูตัวเลขคร่าวๆ ว่าเท่าไหร่ เหตุผลคือพี่ติ๊กอายุ 62 ปีแล้ว ไม่รู้จะทำงานหาเงินมาจ่ายได้ถึงเมื่อไร เขาเลยตัดสินใจว่าในครั้งนี้เสนอตัวเลขเดิม เลยเอาไปคุยกับคุณพ่อว่าเราจ่ายแน่นอน คุณพ่อก็เสนอในส่วนน้องจูเนียร์ 18 ล้าน น้องเมจิ 6 ล้าน กลายเป็น 24 ล้าน ซึ่งมันเพิ่งปรากฏในวันที่ 13 ม.ค. 2568 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่างกันค่อนข้างมาก
เอ๋เลยบอกว่าขอกลับมาปรึกษาครอบครัวว่าเราจะสามารถจ่ายได้แค่ไหน เอ๋ก็บอกว่ายอดเงินสูงขนาดนี้ ระยะเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ เราอาจหาไม่ทัน แต่ยืนยันว่าที่แปลงนี้ขายได้เท่าไหร่ให้คุณพ่อทั้งหมดแน่นอน ทางคุณพ่อและญาติเลยไม่พอใจ บางทีคนไปเจรจาก็เจ็บปวด เราไม่อยากให้ความสูญเสียเกิดขึ้น แต่พอเวลาผ่านไป เรามองว่าเราก็จะหาทางออกให้ดีที่สุด
แต่ในวันนั้นทางเอ๋ยังไม่สามารถเอาโฉนดที่ดินแปลงนี้มาขายได้ และเอาสำเนามาให้ เพราะพี่อ้อไปเยอรมนีและเก็บไว้ในเซฟ ซึ่งที่พี่อ้อไปเยอรมันเพราะว่าไปติดตามเงินค่ารักษาพยาบาลที่รัฐบาลเยอรมันต้องจ่ายให้กับทาง รพ. คุณแม่พี่อ้อรักษาตัว เพราะเรายังติดค้างค่ารักษาอยู่ 6 ล้านบาท อยากให้สื่อมวลชนเข้าใจว่าเราก็มีภาระหนี้ที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน ซึ่งในการเยียวยา พี่ติ๊กเยียวยาแน่นอน แต่ต้องรอให้ตกลงเรื่องตัวเลขทุกอย่างลงตัว
ในส่วนที่ดินหากขายไม่ได้ ถ้าคุณพ่อจำเป็นต้องใช้ เรายินดีโอนที่ดินแปลงนี้ให้เลย แต่ยังเช็กราคาไม่ได้เพราะพี่อ้อไปเยอรมัน เลยยังเอาสำเนาโฉนดที่ดินมาไม่ได้ เราไม่คาดคิดว่าน้องจูเนียร์จะเสียชีวิต ก็หวังว่าจะเข้าใจว่าทำไมเราต้องมาพูดตรงนี้ เรื่องราคาที่ดินยังไม่ได้ส่งตรวจสอบ ซึ่งพอพี่อ้อกลับมา ทางเราก็ติดงานสวดอภิธรรมและเผาศพน้องจูเนียร์ ยังไม่ได้ดำเนินการ
จากนั้นทนายพูดในส่วนการดำเนินคดีว่าต้องพาพี่ติ๊กไปรับทราบข้อกล่าวหาใหม่ เนื่องจากมีน้องอีกคนเสียชีวิต ส่วนพนักงานสอบสวนจะเป็นยังไง สำนวนการสอบสวนต่างๆ ส่งอัยการเป็นยังไงไม่ขอก้าวล่วง แต่ถ้าทราบคำสั่ง สรุปสำนวนแล้ว หากเราเห็นว่าไม่ถูกต้องตามความจริง เราจะร้องขอความเป็นธรรม
ส่วนเรื่องพี่ติ๊กผิดฝ่ายเดียวหรือไม่ รอดูผลจากพนักงานสอบสวนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่วันนี้เราขอให้ทางพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนตามจริงตามข้อกฎหมาย ส่วนข้อหาคือเมาแล้วขับ ชนคนตาย บาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้เปลี่ยนจากบาดเจ็บสาหัสเป็นเสียชีวิต ต้องแก้ไขการแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ เมื่อถามถึงตัวเลขที่เราเยียวยาไหวว่าเท่าไหร่ เอ๋กล่าวว่า ที่คุยกัน ณ วันนี้เราไหวก็คือ 4-5 ล้านบาท หมายถึงทั้ง 2 ชีวิต ไม่รวมที่จ่ายไปแล้ว แต่ตัวเลขจะขยับยังไง ตอนนี้ยังเจรจาไม่จบ ต้องดูว่าจะขยับเข้าหากันได้มากน้อยแค่ไหน
เมื่อถามถึงรายได้ ติ๊ก ชิโร่ กล่าวว่า มาจากคอนเสิร์ต ส่วนเรื่องเพลงในปัจจุบันค่อนข้างยาก ปิดท้าย ติ๊ก ขอบคุณทางครอบครัวคู่กรณี น้องๆ ทุกคน ขอบคุณทั้ง 2 ครอบครัวด้วย ก่อนจะทิ้งท้ายว่าปกติเป็นคนเคารพกฎจราจรที่สุด มีความห่วงใยเสมอ เป็นจิตอาสาของป่อเต็กตึ้ง หลายครั้งก็พยายามเยียวยาคนเจ็บ คนต้องการความช่วยเหลือ ห่วงใยเรื่องความปลอดภัย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พอเจอกับตัวเองก็ไม่ได้ขอให้สังคมให้อภัย ทุกครั้งที่มีคนขอร้องให้ไปทำ CSR ที่เป็นประโยชน์กับสังคม ก็จะพยายามไปเสมอ
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม