• เทศน์ ไมรอน อยากเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็ก แต่ติดที่กำแพงภาษา ทำให้ต้องเบนเข็มไปเป็นนายแบบ

  • ความกดดันเท่ากับแรงผลักดัน สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการทำงานในวงการบันเทิง  
  • ในวันนี้ที่เทศน์ประสบความสำเร็จอีกขั้น คำพูดที่อยากจะบอกกับคุณแม่ คนที่สนับสนุนให้เทศน์ทำในสิ่งที่รักมาตลอด

เปิดชีวิตพระเอกดาวรุ่ง เทศน์ เฮนรี ไมรอน ลูกครึ่งไทย-บริติช จากนายแบบสุดฮอตที่มีความฝันอยากจะเป็นนักแสดง จนในวันนี้ความพยายามเป็นผล ส่งผลให้เทศน์ได้ขึ้นแท่นพระเอกน้องใหม่ไฟแรงของช่อง 3 ที่น่าจับตามองอีกคนในตอนนี้

สำหรับ เทศน์ ไมรอน ที่หลายคนได้รู้จักผู้ชายคนนี้ผ่านบทบาท ร้อยตำรวจเอก หม่อมหลวง รณจักร จุฑาเทพ หรือ คุณจักร ตำรวจสุดหล่อทายาทตระกูล จุฑาเทพ จากละครเรื่อง ใจพิสุทธิ์ หนึ่งในละครชุดฟอร์มยักษ์ ดวงใจเทวพรหม ด้วยความสามารถ เสน่ห์ และออร่า ของหนุ่มเทศน์ทำให้คว้าหัวใจสาวๆ ไปครอง 

ในวันนี้ เทศน์ ไมรอน ได้มานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเองจากการเป็นนายแบบงานแรกที่ได้ค่าเงินค่าตัว 2,000 บาท สู่การเป็นพระเอกดาวรุ่งคนใหม่ของช่อง 3 ในรายการ THE STORY OF เทศน์ ไมรอน รายการน้องใหม่ของไทยรัฐออนไลน์ งานนี้บอกเลยว่าต้องมีอีกหลายคนที่ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้แบบหมดใจ

...

เลือกเป็นนายแบบเพราะไม่ต้องพูด

เราเริ่มคำถามแรกกับพระเอกหนุ่มน้องใหม่ด้วยคำถามง่ายๆ ว่า ทำไมเทศน์ถึงอยากจะเป็นนักแสดง ทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นของการเข้าวงการคือการเป็นนายแบบ ซึ่งเราได้รับคำตอบกลับมาว่า 

"จริงๆ ก่อนที่ผมจะเป็นนายแบบ ผมมีเล่นละครเวทีที่โรงเรียน ในตอนนั้นผมพูดภาษาไทยไม่ได้ ในตอนนั้นก็จะเล่นเป็นภาษาอังกฤษ และผมก็อยู่ที่ไทย ทางเดียวที่ผมจะสามารถเข้าวงการได้โดยไม่ต้องการทักษะด้านภาษาไทยก็คือการเดินแบบ

นายแบบไม่ต้องพูดอะไร เขาแค่เดินบนเวที ผมก็เลยได้โอกาสเข้ามาในวงการด้วยงานนี้ แต่จริงๆ ถ้าเลือกได้ ผมก็อยากจะเป็นนักแสดง ตั้งแต่วันที่ได้เล่นละครเวทีนั่นแหละ แต่โดยทักษะของภาษามันยังไปไม่ถึงจุดนั้น ผมเลยต้องไปทางนั้นก่อน

จากการเป็นนายแบบ ผมก็เริ่มไปเล่นโฆษณาด้วย การเป็นนายแบบสกิลภาษาไทยผมอาจจะแค่ 1 หรือ 2 ระดับ พออยู่ในวงการก็คุยกับคนไปเรื่อยๆ เวลาทำงานเขาก็มีบทให้พูด แต่มันจะเป็นบทบรรทัดเดียว แบบสั้นๆ ผมก็เลยเริ่มไปแคสติ้ง ไปเริ่มลองแคสติ้งโฆษณา ก็มีได้บ้าง ไม่ได้บ้าง พอเริ่มทำก็ได้เจอผู้กำกับหลายคน ได้เจอคนในวงการหลายคน เลยได้มีโอกาสไปแคสติ้งเล่นซีรีส์ เล่นละครก็เลยได้เข้ามาในวงการละคร (ยิ้ม)" 

งานแรกได้ค่าตัว 2,000 บาท

ซึ่งคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้คือ งานแรกที่เทศน์ได้ค่าตัวจากการทำงานเป็นนายแบบได้มาเท่าไหร่ ซึ่งเทศน์เผยตัวเลขที่ฟังแล้วทำให้หลายคนต้องอึ้ง

"ค่าตัวการเป็นนายแบบของผมครั้งแรก ประมาณ 2 พันบาท อันนี้คือรวมทำงาน 4 วัน ก็คือ Casting, Fitting, Proposal และเดินแบบ และยังถูกหักเปอร์เซ็นต์ด้วย ก็เหลือประมาณพันกว่าบาทครับ ค่าแท็กซี่จากคอนโดผมไปสยามก็ 500 แล้ว ก็ไม่เหลือ (หัวเราะ) ค่าตัวสูงสุดก็น่าจะเป็นพวกถ่ายปก ก็ประมาณ 15,000 บาท ซึ่งเยอะมากครับทั้งในตอนนั้นและก็ในตอนนี้ด้วยครับ มันก็ยังเยอะอยู่ (ยิ้ม)"

กำแพงภาษา อุปสรรคต้องข้าม

เพราะรู้ว่าตัวเองพูดไทยไม่เก่ง แต่เพราะมีความฝันอยากจะเป็นนักแสดง เทศน์มีความพยายามในการฝึกฝนพูดภาษาไทยให้เก่งขึ้น ด้วยการจ้างครูมาสอนภาษาให้อย่างจริงจัง 

"เพราะภาษาเป็นอุปสรรคในการทำงาน ก็เลยมีครูสอนภาษาไทยจริงๆ ตอนเด็กๆ ผมจะมีครูคนนึงชื่อว่าครูหนึ่ง เขาจะมาสอนผม ไม่รู้ว่าครูหนึ่งอยู่ไหนแล้วครับ แต่ถ้าเห็นวันนี้น่าจะรู้สึกดีนิดนึงครับ แบบในที่สุดการพยายามของเรามันเป็นผล

...

การพูดภาษาไทยมันยากครับ มันยากในทุกๆ ด้านเลยครับ เพราะว่าเราต้องแสดงอารมณ์มันออกมาเพราะเราเป็นนักแสดง แต่พอภาษามันไม่ได้ให้เราไปต่อ เหมือนมันไม่เปิดช่องให้เราแสดงอารมณ์ได้ มันก็ไปยากเหมือนกัน บางทีก็รู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง แต่ก็รู้ว่า ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้ เราแค่ไม่ได้ถนัดกับภาษานี้

ครูผมเขาจะคอยประเมินให้ผม ก่อนถ่ายละครเขาจะให้การพูดผมอยู่ในระดับ 5 ระดับ 6 ตอนนี้เขาบอกประมาณระดับ 7 ถึง ระดับ 8 ครึ่ง ก็ค่อยๆ ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ (ยิ้ม)"

ความกดดัน = แรงผลักดัน

พอเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มมีความกดดันบ้างขึ้นหรือไม่ เทศน์มีแนวคิดอย่างไรในการทำงานในวงการที่ต้องแบกรับความกดดันจากรอบข้าง ซึ่งเราได้รับคำตอบจากแนวความคิดของพระเอกคนนี้ว่า 

“ผมว่าความกดดันมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นอยู่แล้วเพราะว่าเราทุกคนต้องทำงาน ทุกคนอยากจะได้อะไรดีๆ จากการทำงาน แต่ว่าผมพยายามมองว่า ความกดดันมันเป็นอะไรที่แสดงให้เราเห็นว่า จริงๆ สิ่งที่เราทำ เราแคร์มันมากๆ ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าเราทำงานแล้วไม่กดดันเลย อันนั้นก็ไม่ดีเหมือนกันนะ เพราะมันจะแปลว่า เราไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เราทำเลย

...

จุดนี้มันมาจาก สมมติผมขึ้นเวทีร้องเพลง หรือจะไปเดินแบบ ก่อนขึ้นเวทีผมจะตื่นเต้นมากๆ แล้วผมจะบ่นตลอดเวลาว่า ตื่นเต้นๆ เคยมีคนบอกว่า ถ้าเราไม่ตื่นเต้น ในวันหนึ่งที่เรายืนอยู่ข้างหลังเวทีแล้วเราไม่ตื่นเต้น คุณจะรู้สึกว่าดีมั้ย”

จากนั้นเทศน์เล่าถึงเรื่องความกดดันที่เกิดขึ้นให้ฟังต่อว่า “เหมือนพอคนรู้จักเรามากขึ้น มันก็มีความกดดันมากขึ้นเหมือนกันนะ เพราะว่าจากเมื่อก่อนผมอาจจะไปเพราะว่าอยากจะไปเองหรือว่าอยากจะลองเอง แต่ตอนนี้เหมือนเรามีหน้า เพราะว่ามีคนรู้จักมากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่แค่ตัวผมแล้ว”

LIKE DADDY LIKE SON


เมื่อให้เทศน์เล่าถึงความสัมพันธ์กับคุณพ่อให้ฟัง ซึ่งเทศน์บอกว่าคุณพ่อจะคอยแนะนำหลายๆ เรื่องในการทำงานหรือการวางตัวให้กับเทศน์

“คุณพ่อผมเขาชมแหละ แต่พอเป็นพ่อลูกกันก็ชมกัน มันจั๊กกะจี้หน่อยๆ ไม่ต้องชมก็ได้ แต่ว่าเขาก็จะให้คำปรึกษา และคำแนะนำในมุมมองของเขา ตอนแรกๆ ผมก็แอบกังวลว่าคุณพ่อจะเข้าใจมั้ยในสิ่งที่ผมทำอยู่ เขาจะเข้าใจมั้ย เพราะว่าเขาภาษาไทยไม่ได้เลย และเขาไม่ได้ดูละครไทยอยู่แล้ว หรือถึงจะดูเขาก็ไม่เข้าใจอยู่แล้ว แต่พอเขาเห็นอะไรแบบนี้ เขาก็สามารถที่จะให้มุมมองใหม่ๆ กับผมได้ ผ่านมุมมองของคนข้างนอกที่มองมา มันก็ช่วยผมได้ด้วย”

...

ความสำเร็จในวันที่แม่ไม่อยู่

ในวันนี้ที่เทศน์ประสบความสำเร็จไปอีกขั้นตามความฝันของตัวเอง อยากจะบอกอะไรกับคุณแม่ เพราะคุณแม่ก็เป็นอีกคนที่สนับสนุนในสิ่งที่เทศน์รักและทำมาตลอด

“ถ้าคุณแม่ยังอยู่ก็อยากจะได้มุมมองของคุณแม่ด้วย อยากจะถามความคิดเห็นของคุณแม่ด้วย เพราะคุณแม่เขาเป็นคนที่สนับสนุนให้ผมไปเรียนการร้องเพลงมาก่อนตอนเด็กๆ ก็แอบเสียดายนะครับที่เขาไม่ได้มีโอกาสมาเห็นอะไรที่เขาลงทุนมาแล้วแต่เขาไม่เห็นผลของการลงทุนของเขา เขาก็น่าจะภูมิใจแหละ หวังว่าคุณแม่จะดีใจนะครับผมและก็คอยดูแลผมไปเรื่อยๆ ครับ”

ผลงานเรื่องใหม่ ดอกไม้มาเฟีย

และตอนนี้เทศน์กำลังจะมีผลงานเรื่องใหม่ ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีวิกฤตละคร ซึ่งเทศน์ได้พูดถึงละครเรื่องใหม่ที่ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้เล่นให้เราได้ฟังแบบนิดๆ หน่อยๆ ก่อนเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำจริง 

“ตอนนี้มีละครเรื่องใหม่ชื่อว่า ดอกไม้มาเฟีย ซึ่งเราถ่าย Pilot ไปแล้วคิวหนึ่งครับ และก็มีการเข้า Work Shop ประมาณ 3-4 คิว ก็เริ่มทำความเข้าใจกับตัวละคร เริ่มทำความเข้าใจกับผู้กำกับคนใหม่ ทีมใหม่ แต่นางเอกคนเดิม ได้เข้าถึงตัวละคร ได้ลองเล่นฉากหลายๆ ฉาก ที่เป็นหลายๆ แบบ ทั้งฉากโรแมนติก ฉากแอ็กชั่น ฉากดราม่าก็จะมีหมด ก็รอดูกันนะครับว่าจะเป็นยังไง

ดารากับแฟนคลับคนเท่ากัน


จากนั้นเทศน์ได้พูดถึงเรื่องราวของชื่อเสียงที่ตอนนี้เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น แสง สี เสียง ที่เข้ามา มันอาจจะทำให้หลายคนเปลี่ยนไป แล้วสำหรับเทศน์ เทศน์รับมือกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งเจ้าตัวก็บอกกับเราว่า

“การที่เป็นนักแสดง เราต้องเป็นคนปกติ เราต้องเป็นคนทั่วไป เพราะว่างานเราคือสื่ออารมณ์ของตัวละครที่เป็นคนจริงๆ แล้วถ้าตัวเรายึดติดกับความดัง ความมีกระแสที่คนทั่วๆ ไปเขาอาจจะไม่มี เราก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในด้านของการแสดง เพราะว่าเราเหมือนโฟกัสผิดจุด

ผมมองเรื่องความดังหรือว่าเรื่องกระแส ก็มองแบบจริงจังนะ เพราะมันเป็นด้านหนึ่งของงานเราใช่มั้ยครับ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจกับมันมากพอที่จะทำให้มันเปลี่ยนผมไปได้ ผมเข้าใจว่าชื่อเสียง กระแส มันเป็นอะไรที่มาแล้วก็อาจจะหาย แล้วก็จะมาใหม่ ถ้าเรายึดติดกับอะไรแบบนี้ เราก็จะสุขภาพจิตใจของเราไม่แข็งแรงเท่าไหร่

ผมพยายามเน้นความเป็นธรรมชาติในชีวิตจริงและการทำงาน ตอนคุยกับแฟนคลับก็พยายามคุยเหมือนเขาเป็นคนจริงๆ ไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นแฟนคลับหรือว่าเห็นเขาเป็นแค่ทีมซัพพอร์ตเรา พยายามมองว่าเราอยู่ในระดับเดียวกัน เราเท่าเทียมกันตลอดเวลา

ผมอยากจะขอบคุณทุกคนมากๆ นะครับที่ติดตามผม และก็หวังว่าจะติดตามกันไปเรื่อยๆ นะครับ และก็อยากจะบอกทุกคนให้รักกันไปนานๆ นะครับผม (ยิ้ม)”