ยกให้เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่สวยและสตรองมากๆ สำหรับ คาร์ล่า ปอร์เทอร์ อดีตรองอันดับ 1 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2009 ซึ่งปัจจุบัน คาร์ล่า มีลูกสาวแล้ว 1 คน และนอกจากจะเป็นคุณแม่ที่ดูแลลูกสาวด้วยมือของตัวเองแล้ว คาร์ล่า ยังเป็นดีเจ พิธีกร อีกด้วย
ล่าสุด คาร์ล่า ปอร์เทอร์ ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์ของการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ในรายการ Sisterhood EP.2 "เพราะลูกก็สอนให้เราเติบโตและกลายเป็น Best Version ได้เช่นกัน" ทางช่องยูทูบ Mirror Thailand พร้อมเผยมุมมองการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกสาว โดยมี แนท ธนวลัย วัชรพล เป็นผู้ก่อตั้ง และพิธีกรดำเนินรายการ
ชีวิตเปลี่ยนไปตั้งแต่มีลูก
โดยมีกูเกิล ยูทูบเป็นไกด์นำทาง
"คาร์ล่า จะเป็นคนที่มีลูกคนแรกของกลุ่มเลย มันไม่มีครูสอนเรื่องการเลี้ยงลูก เหมือนเราไปงมเข็มในมหาสมุทรเลย เราก็จะต้องไปพึ่งยูทูบ กูเกิล ในการเปิดหาข้อมูล ส่วนคุณแม่ของเรา ก็มีเรามานานแล้ว ประมาณ 30 - 40 ปี ในเวลานั้นก็เอามาปรับใช้กับในปี 2018 ก็ได้บ้าง แต่ 100% ไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้ว คุณแม่ของเราก็เป็นคุณแม่มือใหม่เหมือนกันในเวลานั้น เขาไม่มียูทูบ ไม่มีกูเกิล แต่เขาเลี้ยงเรามาจนโตได้ในวันนั้น ก็เก่งแล้ว ดังนั้นเราโชคดีกว่าคุณแม่รุ่นเก่ามาก ที่เรามียูทูบ กูเกิล มีคุณหมอที่สามารถให้ความรู้เราได้
พอมีลูกแล้ว ชีวิตมันเปลี่ยนไป ทุกอย่างยื่นมาให้เรา เราเป็นดีเจมา 20 ปี ถามว่าเราอยากเป็นดีเจเหรอ ไม่ แต่โอกาสมันยื่นมาให้เรา เราก็รับไว้ ก็ทำให้ดีที่สุด การมีลูกก็เหมือนกัน เขามาหาเรา เราก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปแบบดีที่สุด ในชีวิตนี้เราไม่รู้เลยว่า ทำแบบไหนจะถูก แบบไหนจะผิดเราไม่รู้เลย และไม่รู้จริงๆ ว่าอนาคตจะเป็นยังไง พอทุกอย่างหยิบยื่นมาให้ เรามีความรู้สึกว่า เราต้องทำให้ดีที่สุด แล้วชีวิตก็เปลี่ยนเลย เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เรารู้ว่า มันมาถึงจุดนี้ เราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
...
แล้วชีวิตมันเปลี่ยนเลย เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต เราไม่รู้อนาคตเราอยากเป็นดีเจ หรือเป็นแม่คนรึเปล่า แต่เรารู้ว่ามันมาถึงจุดนี้ เรารู้ว่าเราต้องทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมันก็เลยกลายเป็นว่าจากไม่มีจุดเป้าหมายในชีวิต เรารู้ว่าตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำให้ดีที่สุด คือเป็นแม่ที่ดีที่สุด และเราต้องเป็นเราเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดสำหรับลูก
ไกด์บุ๊กของบ้านอื่น เราไม่สามารถเอามาปรับให้เข้ากับบ้านของเราได้ เพราะทุกบ้านมันไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างดีที่ให้กับลูกก่อน แล้วมันจะค่อยๆ ปรับลูกของเราให้เป็นบุคลากรที่ดี ตามที่เราอยากตั้งใจสอน เราอาจจะเป็นคนใจร้อน คนเกรี้ยวกราด พูดอะไรตามที่คิด แต่เราก็ไม่ได้อยากเห็นลูกเป็นเหมือนเรา แต่มาตอนนี้เราเห็นแล้วว่า เมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนี้ เราก็ไม่ได้อยากให้ลูกเราเกรี้ยวกราดเหมือนเรา สุดท้ายมันก็วนกลับมาว่าเราต้องเปลี่ยน มันไม่ได้ฝืนหรอก แต่มันเป็นธรรมชาติ และเราก็เต็มใจ เราอยากดีเพื่อลูกด้วย และดีเพื่อตัวเรา เราอยากจะเป็นคนที่ดี อยากดีขึ้นเพื่อเขา อยากชาร์จแบตให้ตัวเราด้วย อยากกลับมาถอยหลังสูดอากาศ แล้วกลับไปเลี้ยงลูกด้วยประสิทธิภาพที่เต็ม 100"
ลูกทำให้รู้ว่าความสุข
มาจากสิ่งเล็กๆ รอบตัว ได้ง่ายๆ
"จริงๆ ความสุขมันไม่มีอะไรเลย หรือแม้แต่ตอนที่เราบ่นว่าเราอยากกรี๊ด อยากร้องไห้ บ่นคัดนม เจ็บนม ท้อ รู้สึกเหนื่อย แต่ว่าพอลูกหลับได้แทนที่เราจะหลับตามลูก กลับไปนั่งเปิดวิดีโอดูลูกตอนหลับ น่ารักจังเลย ไม่หลับไม่นอน ดูแต่ลูก ความรักของแม่อยู่ดีๆ มันก็มีสัญชาตญาณความเป็นแม่ ซึ่งไม่เคยคิดว่ามันจะมี อยู่ดีๆ มันมีมาจากไหนก็ไม่รู้ จากที่แต่ก่อนเป็นคนที่นอนเยอะมาก แต่พอมามีลูก ต้องตื่นมาให้นมทุก 1-2 ชม. ไม่รู้สิ่งเหล่านี้มันทำได้ยังไง
ส่วนตัวไม่เคยไปเข้าคอร์สเลี้ยงลูก แต่อยู่ๆ มันก็มาเอง ถ้าถามว่า พร้อมไหมกับการเป็นแม่ ก็ไม่พร้อม แต่พอเวลามันมาถึง อยู่ดีๆ เราก็ทำได้ แต่ต้องบอกเลยว่า โชคดีมากที่มีคุณยายคอยช่วย เพราะไม่งั้นคนเดียวมันเหนื่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของจิตใจ อารมณ์ และทุกอย่าง อย่างตอนที่เราผ่าคลอดมา เรากลับมาที่บ้าน ก็จะมีคุณแม่ช่วยทำอาหารขึ้นมาเสิร์ฟให้ข้างบนทุกมื้อ ก็เหมือนเรามีคนคอยซัพพอร์ตดีมากๆ และนอกจากคุณแม่แล้ว ยังมีเพื่อนเป็นซัพพอร์ตที่ดีของเรา แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าการเป็นแม่มันเป็นยังไง แต่เขาให้กำลังใจเรา ให้มีกำลังในการสู้"
แม่เลี้ยงเดี่ยวต้องการแค่กำลังใจ
ไม่ต้องการความสงสาร
"บอกอย่างหนึ่งเลย ว่าหนึ่งอย่างที่คนมักจะทำเกี่ยวกับแม่เลี้ยงเดี่ยว และขอบอกเลยว่าอย่าทำแบบนี้คือ เรารู้สึกว่าการที่คนๆ หนึ่งมาทราบว่า คนๆ หนึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แล้วมาจับแขน และพูดว่า ไม่เป็นไรนะ เหนื่อยหรือเปล่า โอเคหรือเปล่าที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ต้องทำ เขาไม่ได้อยากได้ยิน
สิ่งที่เราอยากได้ยินคือ ทำได้ไง สู้นะ สู้ต่อไป แต่ไม่ต้องไปเอ็นดู ไม่ต้องไปสงสารเขา คนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ต้องการคำสงสาร เราต้องการกำลังใจ ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ไหว เพราะเขาต้องเป็นทั้งคุณพ่อและคุณแม่ในเวลาเดียวกัน ยังไงเขาต้องไหว ไม่ต้องไปถามว่าไหวไหม แค่ให้กำลังใจก็พอ
...
มันจะมีแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นแบบว่า เลิกกันกับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่เขายังซัพพอร์ตเงิน กับอีกที่ต่างฝ่ายต่างแยกกันไปเลย ไม่ได้ซัพพอร์ตอะไร ซึ่งก็คือ คาร์ล่า ที่ไม่ได้รับการซัพพอร์ตจากอีกฝั่งเลย แต่สุดท้ายแล้วเราไหว เราสามารถเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกได้
นิยามคำพูดครอบครัว ที่เวลาลูกไปโรงเรียนแล้วครูให้วาดรูปครอบครัว มันมักจะเป็นพ่อแม่แล้วก็ลูก แต่มาถึงยุคนี้แล้ว มันก็จะเป็น พ่อลูก แม่ลูก มีแม่ลูกยาย พ่อแม่ลูก แม่ลูกหมา น้องหมาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวได้ คือยุคสมัยมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว มันไม่มีคำจำกัดเรื่องของเพศ หรือเรื่องกรอบของครอบครัว ว่าต้องเป็นแบบนี้หรือแบบไหน"
อย่าเริ่มต้นโกหกลูก
เพราะเป็นการทำร้ายโดยไม่รู้ตัว
"ตอนนี้ลูก 5 ขวบแล้ว ก่อนหน้านี้เราจะไม่ได้ใช้คำว่าหลอกลูก แต่เราจะบอกว่า พ่อเขาไปทำงาน จนกระทั่งวันหนึ่งลูกถามว่า ก็เคยไปที่ทำงานพ่อ แล้วทำไมวันนี้ไปไม่ได้ เราก็ เออเนอะ ไม่น่าไปพูดแบบนั้น แล้ววันคริสต์มาสปีที่ผ่านมา เขาขอไอโฟน เราก็บอกว่า ไม่ได้หรอก ไม่มีเงิน มันแพง สิ่งที่เราบอกลูกตลอดว่าพ่อทำงาน ลูกเขาก็คิดแล้วว่า พ่อมีตังค์ ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปขอพ่อก็ได้ เราก็ไม่อยากให้ลูกคิดว่า ทำไมพ่อมีตังค์ แต่พ่อไม่มาหา
จากคริสต์มาสนั้นก็เลยล้มล้างทุกอย่างเลย ลูกถามว่าพ่ออยู่ไหน ก็เลยเริ่มพูดความจริงว่า ไม่รู้พ่ออยู่ไหน และบอกว่ามันเป็นอย่างนี้ๆ เริ่มจากการพูดความจริง เราต้องไม่หลอกตัวเอง เราหลอกตัวเองไป เราทำร้ายเขา หรือถ้าวันหนึ่งเขามารู้ความจริงที่เราเคยหลอก มันมีแต่ผลร้ายกับเราทั้งนั้น เพราะว่าเราโกหกเขา สุดท้ายคนที่เจ็บคือเรา เพราะว่าเราตั้งใจจะปกป้องเขา
มันต้องเริ่มจากการพูดความจริง ว่าเป็นแบบนี้นะ แต่ลูกยังมีแม่ มียาย พวกเราคือครอบครัว และยังมีน้องหมา ทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้ขาดอะไรไป ทุกวันนี้เรารู้เลยว่า ลูกเราไม่ได้ขาดอะไรเลย
...
เชื่อว่าพ่อแม่หลายคน ยังอยู่ในจุดที่ตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะพูดความจริง หรือเดินออกมา คาร์ล่า คิดว่าการที่เรารู้จุดหนึ่งในชีวิต แล้วเราเดินออกมา นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในชีวิต เด็กเขาฉลาดมาก เขารู้เยอะ เราจะมานั่งหน้าตึงหรือเฟคใส่กันขนาดไหน คิดเหรอว่าลูกเราจะไม่รู้ เขารู้ เขาไม่โง่ เด็กไม่โง่"
ไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนที่ไม่รักเราเพื่อลูก
สุขภาพจิตของลูกสำคัญสุด
"คิดว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องอยู่เพื่อลูก หลายครอบครัวที่พ่อแม่ถอยออกมา แล้วกลับมาช่วยกันดูแลลูก เขาเป็นครอบครัวที่มีความสุข มากกว่าตอนที่เป็นสามีภรรยาอีก สุขภาพจิตของลูก มันสำคัญมากกว่าคำว่า อดทนเพื่อครอบครัว จริงๆ แล้วทำเพื่อครอบครัว เราอาจจะต้องถอยหลังกันคนละก้าว แล้วมองเข้ามาอีกทีว่า ถ้าเราช่วยกันเลี้ยงลูกแบบนี้ ลูกเราจะมีความสุขมากกว่าหรือเปล่า มันเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน
แต่ก็พูดยาก เพราะบางคนอาจจะออกมาไม่ได้ อยู่ไม่ได้ อันนี้ต้องยอมรับความจริง เราอยู่ในยุค 2024 แต่มันจะเป็นเรื่องราวของการไม่กล้าเสียหน้า ก็ยังเป็นอย่างนี้อีกหลายครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่า สิ่งที่ลูกเก็บไว้ในใจ ทุกวันนี้เขายังไม่เห็นหรอก แต่ไม่แน่ใจว่าในอนาคตเขาจะมีเรื่องของพ่อ เรื่องของแม่รึเปล่า ที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต จริงๆ แล้วเราต้องเริ่มจากการพูดความจริงกับลูกก่อน ค่อยๆ สอนเขา"
...
เรื่องเล็กของเรา
เป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูก
"อย่างงานโรงเรียนของลูก ครอบครัวอื่นก็จะมีพ่อแม่ไปเป็นคู่ แต่คาร์ล่าไปคนเดียว เราก็คิดว่าเป็นงานแค่นี้ ไม่ต้องให้คุณยายมาด้วยหรอก พอถึงเวลา 8 โมง เราก็เดินไปบอกลูกว่า หม่ามี๊ไปก่อนนะ เดี๋ยวไปทำงาน ลูกเขาก็มองเพราะเห็นว่าพ่อแม่คนอื่นยังอยู่ และเราเป็นคนเดียวที่เดินออก แต่เราก็คิดว่าเราทำหน้าที่ตรงนี้ดีที่สุดแล้ว แต่แค่จุดเล็กๆ ที่เรามองว่ามันเล็กแค่นี้ คิดว่างานเสร็จแล้ว ขอกลับไปทำงานต่อก่อน แต่ความจริงคือ ลูกเรามองว่าไม่เหลือใคร ดังนั้นเลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับเด็ก บางสิ่งที่เล็กสำหรับเรา แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับลูก ต้องเปลี่ยนตัวเองนะ เพราะเราคือโลกทั้งใบของเขา
อย่างเราเคยถ่ายวิดีโอ แล้วลูกหันมามองว่าเราอยู่ไหน พอหันมาเจอเรา แววตาเขาสปาร์กขึ้นมา รู้เลยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูก คือเราแค่อยู่ตรงนั้น ยืนโบกมือให้เขา เขาก็อุ่นใจแล้ว หลังจากนั้นเลยรู้ว่าอะไรที่เกี่ยวกับลูก เราต้องให้เขาคูณสอง
จนบางทีเราอาจจะน้อยใจชีวิตว่าทำไมเราต้องมาแบกรับภาระคนเดียว ซึ่งมันยากไปหมดเลย แต่พอย้อนกลับไป เรามีแรงฮึดมาจากไหนก็ไม่รู้ ว่าให้เปลี่ยนตัวเอง เราอยากอยู่ตรงนั้น และให้เขาเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ไม่อยากให้เขามีปมอะไรในใจเรื่องพ่อ มันเป็นอะไรที่เซนซิทีฟมาก เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
ทุกวันนี้ก็จะคุยกับเขา เขาจะถามว่า วันนี้แม่ไปทำอะไรมาหลังจากที่ไปส่งไปโรงเรียน เราก็จะแลกเปลี่ยนกัน ไม่เหมือนสมัยเราที่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ว่าคิดอะไรอยู่ เราอยากให้เหมือนเราเป็นเพื่อนกัน แต่ยังให้เคารพความเป็นแม่อยู่ ซึ่งเรามีเป้าหมายอยู่ว่า อยากเป็นทั้งพ่อแม่และเพื่อน เป็นเซฟโซนที่ดีที่สุด เราไม่อยากเอาสิ่งที่พ่อแม่เราทำกับเรา มาทำกับลูก"
ลูกเปรียบเหมือนเป็นครู
ที่สอนให้แม่โตขึ้น
"สิ่งหนึ่งที่เรารู้เลยคือ เมื่อก่อนเราเป็นคนบอกรักคนยาก ขอโทษคนยาก แต่พอมีลูก เราจะรู้เลยว่า มันง่ายมากกับการที่เราขอโทษคน บอกรักคน มันไม่ได้ยากขนาดนั้น และทุกอย่างสมัยนี้ เราคุยกับเด็กด้วยเหตุและผลหมดเลย แล้วทุกวันนี้เด็กเขาโตเร็วมาก
ลูกเราคือครูที่ดีมากๆ อีกหนึ่งคน คือสอนให้เราโตขึ้น สอนให้เราเห็นถึงความสำคัญในชีวิต อะไรที่ไม่สำคัญให้ตัดทิ้งออกไปได้เลย อะไรที่ท็อกซิกตัดออกไป และเราจัดเรียงชีวิตเราได้ดีขึ้น เอาลูกตั้งต้น
เมื่อก่อนคนมาพูดว่า คุณไม่มีลูก ไม่มีวันเข้าใจ มาวันนี้รู้เลยว่าจริง เพราะหลายๆ อย่างที่พ่อแม่เคยสอนมา เราไม่เข้าใจ จนเรามามีลูกเอง ตอนที่เรามีลูก เราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เราคิดว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่มาตอนนี้เราทำได้ คนที่สำคัญที่สุดคือลูก ไม่ใช่คนที่เราพยายามกลับไปแก้ มันคือการทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตเป็นบุคลากรที่ดี นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด
เคยน้อยใจว่าทำไมเราต้องอยู่คนเดียว โชคไม่เข้าข้างเรา ทำไมชีวิตห่วย แต่สุดท้ายแล้วก็มองกลับมาเหมือนกันว่า พอเพื่อนเริ่มมีครอบครัว มีลูก เพื่อนที่มีลูก ก็จะมาปลอบใจเราว่า ไม่มีพาร์ทเนอร์ ดีกว่ามีพาร์ทเนอร์ที่ใช้ไม่ได้นะ ตอนแรกก็คิดว่าปลอบใจ แต่พอมองเข้าไปจริงๆ คุณพ่อบางครอบครัวก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเลี้ยงลูก และคุณแม่บางคนก็เลี้ยงลูกคนเดียว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่ดี สุดท้ายแล้วเราก็ย้อนกลับมาเลยว่า ไม่มีเลยมันก็ดีเหมือนกัน การตัดสินใจทุกอย่างมีแค่เราคนเดียว และมีพ่อเรา แม่เรา เป็นซัพพอร์ตที่ดี"
ทุกอย่างมีข้อดีเสมอ
อยู่ที่เราต้องเปลี่ยนมุมมอง
"ทุกอย่างมันมีข้อดีเสมอ เราต้องเปลี่ยนมุมมอง มันทำให้เราตัดสินใจได้คนเดียวไปเลย โดยไม่ต้องถามคนอื่น เช่น การเอาลูกเข้าโรงเรียน ก็คิดเองคนเดียวไปเลยว่า โรงเรียนนี้มันดีที่สุดแล้ว อย่างเคยเห็นบางครอบครัวมีแฟมิลี่ทริป เราก็อยากมีบ้าง เพราะมันดี แต่ถ้าไม่มี ลูกเราไม่ขาดเลย นั่นคือสิ่งที่เราภูมิใจมาก จนทุกวันนี้ และลูกเราเข้าใจว่า ถึงอาจจะไม่ได้เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก แต่เขาเป็นเด็กที่มีความสุข เข้ากับใครก็ได้ แล้วในที่โรงเรียน ก็จะสอนลูกเลยว่า ถ้ามีใครมาบูลลี่ ก็อย่าไปโต้กลับ ให้เดินไปหาครูเลย และอธิบายว่าเขาทำแบบนี้ ถ้าไม่ได้อีก ให้มาบอกแม่เลย
รู้สึกว่าโชคดีที่โรงเรียนไม่ได้เป็นสมัยใหม่ ไม่ได้มีวันพ่อวันแม่ เพราะมันตรงกับวันหยุด แต่จะมีการทำของขวัญมาให้พ่อให้แม่ อย่างวันที่ต้องทำของขวัญมาให้พ่อ เขาก็จะถามว่า เอาไปให้พ่อได้มั้ย เราก็จะแค่ถ่ายรูปแล้วส่งไป ให้รับรู้ว่าลูกทำให้ อยากจะโทรก็โทรมา ไม่เคยปิดกั้นความสัมพันธ์ของพ่อและลูก
ถ้าวันหนึ่งลูกถามว่า ไปอยู่กับพ่อได้มั้ย มันคงบีบหัวใจเหมือนกัน แต่เราก็เคารพในการตัดสินใจของลูก ไม่ว่าลูกจะไปในทางไหน แต่สุดท้ายแล้วลูกไม่เอาหรอก เคยคุยกับใครหลายคนที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ลูกเขาจะรู้ว่านี่คือครอบครัวของเขา เพราะเขาโตมากับคนนี้"
ไม่เคยคิดจะไปยัดเยียด
ความท็อกซิกให้กับลูก
"ถามว่ารับมือยังไงกับวันพ่อ คืออะไรที่เกี่ยวกับพ่อ ก็จะเก็บไว้ ไม่เคยทิ้ง แต่สิ่งที่ไม่ค่อยเห็นด้วยก็คือ คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวบางคน มักจะพูดในสิ่งที่ไม่ดีของอีกฝ่ายให้ลูกฟัง เป็นการกรอกหู เรารู้สึกไม่โอเค ในฐานะที่เลี้ยงลูกมาคนเดียว เราไม่เคยพูดกรอกหูในเรื่องที่ไม่ดี เรื่องที่มีปัญหาให้ลูกได้ยิน เพราะมันเป็นสิ่งที่ท็อกซิกให้กับลูก จะไม่มีวันไปแตะถึงบุคคลที่ 3 ให้ลูกได้ยินเด็ดขาด เพราะรู้สึกว่ามันมีแต่ผลร้ายให้กับลูก เดี๋ยวเขาโตไปก็จะรู้เอง ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่อยากจะมาเลี้ยงลูกเรา หรืออยากมาอยู่ในช่วงชีวิตที่ลูกยังเอาเราอยู่ เพราะเด็กสมัยนี้แป๊บเดียวเดี๋ยวเขาก็โตแล้ว ไม่เอาเราแล้ว"
ไม่เห็นด้วยกับโรงเรียน
ที่จัดกิจกรรมวันพ่อวันแม่
"รู้สึกไม่เห็นด้วยกับโรงเรียนที่มีกิจกรรมวันพ่อวันแม่ เพราะบางครอบครัวเขาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือแม้แต่บางคนเขาเสียพ่อแม่ไป แล้วให้ทำพวงมาลัยไปไหว้เก้าอี้เปล่าเหรอ หรือบางคนเขามีคุณอา คุณป้าเลี้ยงมา แต่เขาไม่ว่างมา ก็ให้ไปยืนร้องไห้เหรอ หรือให้เอาพวงมาลัยไปไหว้แม่ของเพื่อนเหรอ มันก็ไม่ได้ คือเขาตั้งใจทำเพราะเขาถูกบังคับให้ทำ
เราต้องสอนให้เห็นว่านี่คือวันแม่นะ อาจจะไม่มีคุณแม่อยู่บนโลกแล้ว แต่ก็โอเค สอนให้เขารำลึกว่าเขาเกิดมาจากแม่ หรือถ้าวันพ่อ ก็สอนให้เขารำลึกเช่นกัน ว่าถ้าไม่มีพ่อ เขาก็เกิดมาไม่ได้ ถ้าเป็นคาร์ล่า ก็จะไม่เอาลูกไปทำอะไรแบบนี้ ให้เป็นวันหยุดไปเลย ทำอะไรสนุกๆ ดีกว่า และบางโรงเรียนเขาจะไม่ให้เอาเค้กมาเป่าในวันเกิดเลย เพราะบางคนเล่นใหญ่ บางคนไม่มี มันก็จะเกิดเป็นข้อเปรียบเทียบ"
เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
ถ้าไม่ไหวก็พักก่อน
"ที่ผ่านมา ก็จะมีแม่เลี้ยงเดี่ยวมือใหม่ทักมาหาว่า จะไปยังไงต่อดี ซึ่งเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ให้เลิกกับสามีคุณเลย แต่จะให้เขาเช็คเป็นข้อๆ เลยว่า โลกนี้มันห่วยจริงๆ จะทำยังไงก็ได้ ให้ลูกเราโตมาเป็นบุคลากรที่ดี ไม่หลงไม่เป๋ไป ที่ผ่านมาเราเจอมาหนักมาก แต่เราก็ไม่ได้ไปพูดให้ใครฟัง บางทีการที่เราแชร์ประสบการณ์ของตัวเองออกไป เขาก็มาขอบคุณที่เราได้คุยกันในวันนี้ ไม่รู้หรอกว่า ช่วยฮีลใจได้มากแค่ไหน และเราไม่อยากฝากถึงแม่เลี้ยงเดี่ยวคนอื่นว่า คาร์ล่าทำได้ คุณก็ทำได้ เพราะแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
ถามว่า อยากจะให้แนะนำอะไร ก็อยากจะให้เริ่มพูดความจริงกับลูก อยากจะให้ลองวิเคราะห์ตัวเอง ว่าเราอยากจะเป็นคนแบบไหน และเราอยากเป็นคนแบบไหนให้ลูก หรือจะเป็นตัวเองนี่แหละ ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด แล้ววันนั้นถ้าไม่ไหว ก็ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย แล้วถอยตัวเองออกมา หยุดพักก่อน ไม่ต้องรีบ แล้วกลับมาใหม่ เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เราต้องการเลี้ยงลูกให้ได้เป็นบุคลากรที่ดีที่สุด อีกอย่างหนึ่งคือเราต้องมูฟออน อะไรที่มันเคยไม่ดี ก็ปล่อยไป และเราไม่ต้องไปเดินตามใคร
อีกอย่างที่คนมักจะบอกว่า เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องสตรอง ต้องเข้มแข็ง โอเค เข้มแข็งถูกแล้ว แต่อย่าลืมดูแลใจตัวเอง ไม่ว่าจะเข้มแข็งขนาดไหน มันก็มีวันที่บางทีมันไม่มีแรงที่จะลุกแล้ว คุณต้องเลี้ยงลูกในวันที่ใจแตกสลาย เพราะโดนความรักที่ห่วยๆ มันยากมากที่จะต้องสตรอง และสิ่งหนึ่งที่คนทำเยอะคือการเข้าไปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาไม่พูดเท่านั้นเอง"
แม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่สิ่งที่เพอร์เฟ็คสำหรับมนุษย์
แต่เราพยายามทำให้เพอร์เฟ็คมากที่สุดสำหรับลูก
"สุดท้ายแล้ว ยังมีคนที่เจอปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เจอมา หรือปัญหาที่จะเดินต่อไปดีรึเปล่า บางครอบครัวที่เราเห็นว่าเพอร์เฟ็คในอินสตาแกรม เราก็ไม่รู้ว่าหลังบ้าน สุดท้ายแล้วเขาเป็นยังไง ดังนั้นแล้ว อยากจะให้รู้ว่า คุณไม่ใช่ตัวคนเดียว ถ้ามีปัญหาทักหา คาร์ล่า ได้ ถ้าตอบได้ก็จะช่วย เป็นกำลังใจให้ ช่วยเป็นกระบอกเสียง ในกลุ่มของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว จริงๆ แล้วยังมีคนอีกมากมายที่เจอปัญหา ดังนั้นสู้ให้สุด และเป็นเวอร์ชั่นของเราที่ดีที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าตัวน้อยของเรา หรือลูกของเรานั่นเอง
ถามว่า ทรอปิกเรื่องแม่เลี้ยงเดี่ยวเป็นเรื่องที่เซ้นซิทีฟมั้ย มันก็ยังเซ้นซิทีฟอยู่ ปีนี้ปี 2024 แล้ว คนก็ยังมองว่าแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นผู้หญิงที่ไม่สมบูรณ์ หรือบางคนใครรู้ว่าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็จะหนีหมด ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำผิดตรงไหนเลย แค่เส้นทางชีวิตเราไม่ได้ราบรื่นเหมือนคนอื่น แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันทำให้เราสู้ชีวิต อดทนและแข็งแกร่งมากขึ้น แม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่สิ่งที่เพอร์เฟ็คสำหรับมนุษย์ แต่เราพยายามทำให้เพอร์เฟ็คมากที่สุดสำหรับลูกเรา".