อีกหนึ่งนักแสดงสาวที่เติบโตอย่างงดงามในวงการบันเทิง สำหรับ เชียร์ ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ที่ค่อยๆ เติบโตจากการเป็นนักแสดงวัยรุ่นไอดอลของเด็กๆ สู่การเป็นนักแสดงหญิงที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง จากคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาทำงานในวงการ แต่ในเมื่อได้รับโอกาสนี้มาเธอก็ทำหน้าที่ทุกบทบาทได้เป็นอย่างดี จนตอนนี้โลดแล่นบนถนนสายบันเทิงมากว่า 20 ปี
ในรายการ Level Up EP.11 ที่ดำเนินรายการโดย มิ้นท์ อรชพร ชลาดล ได้ชวน "เชียร์ ฑิฆัมพร" มาแบ่งปันเรื่องราวชีวิต ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ รวมไปถึงแนวคิดดีๆ สำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามาทำงานในวงการ พร้อมกับรู้จักเรื่องราวชีวิตของ เชียร์ ฑิฆัมพร ในวัยเด็กมากขึ้น
วัยเด็กของ "เชียร์ ฑิฆัมพร"
ตอนนั้นเราเป็นสาวหวานพ่อแม่ถักเปียให้ แต่รู้สึกไม่ชอบเลยสงสัยมาตลอดว่าทำไมเราต้องใส่กระโปรง แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่เพื่อนสนิทโดนเปิดกระโปรง เรารู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว เลยต้องขอไปช่วยเคลียร์บอกเด็กผู้ชายคนนั้นว่าอย่าแกล้งเพื่อน ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณ 5 ขวบ หลังจากนั้นเราไม่ได้แค่ปกป้องเพื่อนที่เป็นผู้หญิงอย่างเดียว มันก็จะมีเพื่อนที่ไปแกล้งเด็กผู้ชายที่เป็นเด็กเรียบร้อยหน่อย เราก็เริ่มเข้าไปปกป้องเหมือนกัน เริ่มไปปกป้องชาวบ้าน แล้วรู้สึกว่าจะดูการ์ตูนยอดมนุษย์เยอะพอสมควร
ซึ่งการไปช่วยของเราก็ต้องเอาเท่าที่เราไหว เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นใช้กำลัง นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราไม่ชอบความไม่ยุติธรรม หรือสำคัญสุดเราอาจจะไม่ชอบการถูกรังแก ซึ่งสิ่งนี้ยังมีอยู่ในทุกวันนี้กับตัวเราเอง และอยากฝากไปถึงคนที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือครอบครัวของเราเอง
...
15 ปีผ่านไป จากเด็กห้าว สู่วงการนางงาม
จุดกำเนิดเรามาจากการไปเดินสยาม ไปเรียนพิเศษ ซึ่งวันแรกที่โมเดลลิ่งมาเจอคือเราใส่กางเกงเล รองเท้าแตะ และเขาก็มาขอเบอร์ พร้อมกับบอกว่าจะเอาเราไปประกวด ซึ่งตอนนั้นคิดว่าถ้าทำแล้วมันได้เงินก็ดี เพราะไม่เห็นต้องทำอะไรเลย สรุปว่ารูปเราที่ส่งไปคัดเลือกนั้นมันเข้ารอบ คือเราก็ต้องไปเดินประกวด งานเลยเข้าทันที แต่ว่าเวทีแรกในชีวิตเป็นเวทีที่ทำให้เราเจอคนคนหนึ่งที่รักและคิดถึงมาก คือ คุณโจ้ อัครพล เป็นพี่คนนึงที่เรารักเขามาตลอด ถึงแม้ว่าวันนี้เขายังไม่อยู่เราก็ยังคิดถึงเขาอยู่ดี
เพราะไปเวทีแรก โมเดลลิ่งเห็นแวว เลยส่งต่อไปเวทีมิสทีนในเวลาไม่ถึงเดือน ซึ่งเราก็ภาวนาให้ตัวเองตกรอบทุกกิจกรรม พยายามทำตรงนั้นให้ได้ไม่ใช่ตัวเรา สายตาที่มันเกิดขึ้นโดนคำบูลลี่ เพราะทุกคนเข้ามาเพื่อสวยเพื่อชนะ แต่เรามาเพื่ออะไรยังไม่รู้จุดประสงค์ตัวเองเลย พอเค้าส่งมาเราก็มา ซึ่งเวทีมิสทีนเราเลยไม่อยากเข้ารอบ แต่เหมือนเป็นเรื่องที่แปลก ยิ่งไม่อยากเข้าก็อยู่ใน 10 ชื่อแรกทุกกิจกรรมเลย แล้วมันก็เข้ารอบมาเรื่อยๆ ซึ่งก็ทำในแบบที่มันเป็นเรา สุดท้ายจับพลัดจับผลูก็เลยได้มิสทีนมา ซึ่งก่อนจะตัดสินเราก็เคยพูดกับม่าม๊าไว้แล้วว่าขอเป็นเวทีสุดท้าย เพราะจะไม่ประกวดอีกแล้ว
ชีวิตเปลี่ยน เป็นนางเอกเรื่องแรก ดังจนพลุแตก
แต่หลังจากที่เราได้ตำแหน่ง ชีวิตเปลี่ยนไปมาก ซึ่งเราก็ได้โอกาสหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก คือการเข้าวงการบันเทิง สีสันของการเป็นคนมันมากขึ้น เข้าวงการมาแรกๆ ก็มีการริษยาเกิดขึ้น มีการแข่งขัน อยู่ตลอดเวลา แต่เราโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือเราค่อนข้างโฟกัสกับตัวเอง ค่อนข้างมีความเชื่อถ้าการที่เราไม่ต้องไปทำอะไรด้วยภาพแต่เราทำด้วยเนื้องานอะไรบางอย่าง และสุดท้ายเดี๋ยวผลงานมันก็ออกมาเอง มันก็เลยออกมาเป็นผลงานละครเรื่องแรก ที่ทำให้เราโด่งดัง “เบญจา คีตา ความรัก” ซึ่งจบด้วยเรตติ้งที่ 25
เหนื่อย ไม่มีเวลาให้ตัวเอง แต่มีความสุขมาก
ตอนถ่ายทำละครเรื่องนั้นชีวิตไม่ได้ไปไหนเลย เช้าไปโรงเรียน เย็นไปกองละคร จนกระทั่งวันที่ได้ไปขึ้นเจ็ดสีคอนเสิร์ต แล้วเจอศิลปินเยอะไปหมดเลยเหมือนงานปีใหม่ ซึ่งเราก็ดีใจที่คนรู้จักเราเยอะและมีคนร้องเพลงละครได้ หลังจากนั้นก็เล่นเป็นนางเอกมาเรื่อยๆ ตอนนั้นรู้สึกชอบในการทำงานมาก ซึ่งเราอยู่ในวงการมานาน ยอมรับว่าเหนื่อย เหนื่อยแต่มีความสุขมากเช่นกัน และเลือกที่จะอยู่กับมันได้ดีด้วย
เสียสละเวลาส่วนตัว ยอมให้เพื่อนเลิกคบ?
แต่อยู่ดีๆ มีเหตุการณ์หนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันมาถึงวันที่เพื่อนไม่คบเราแล้ว เพราะเพื่อนไปไหนไม่ชวน เราก็สงสัยว่าทำไมเพื่อนไม่เอา เรามันมาถึงวันนี้ได้ยังไง ซึ่งเราเสียใจมาก แต่สุดท้ายพอคุยกับเพื่อนแล้วเพื่อนก็บอกว่าก็ชวนมา 10 รอบแล้วเราไม่เคยว่างเลย ตอนแรกเราเสียใจ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับเพราะสิ่งที่มันผ่านเราไปแล้ว มันผ่านเราไปสู่สังคมการทำงาน ซึ่งเราก็จำเป็นต้องทำ มันเลยเหมือนเรียนรู้ที่จะต้องสละบางอย่างออกเหมือนกันก็คือชีวิตส่วนตัว ก็เลยต้องสละบางอย่างออก เช่นเรารู้สึกว่าเราได้เจออาชีพหนึ่งที่มันได้เงินด้วย หล่อเลี้ยงคนในครอบครัว ดูแลคนในครอบครัวได้ด้วย และมันสร้างมูลค่าทางใจให้กับคนอื่นได้ด้วย
...
แฟนคลับ คือ ความสุขของเรา
ซึ่งมันมีเหตุการณ์นึง มีแฟนคลับเขาเจอเราแล้วเป็นงานที่เรารีบมาก ซึ่งทำเสร็จถ่ายเสร็จแล้วเราจะได้เจอแฟนคลับเลย และต้องบ๊ายบายต้องไปต่อแล้ว แต่การเจอเขาไม่ถึง 5 นาทีเขาร้องไห้นะ เขาขอบคุณซึ่งเขาก็บอกว่าเขาแย่มาเป็นอาทิตย์แล้ว แล้ววันนี้เขามาเจอเราแค่ 5 นาที เขารู้สึกแบบเขามีความหมายจังเลย เขามีความสุขจังเลย คำพูดนั้นมันทำให้เราคิดว่างานที่เราทำ คือเราก็ไม่รู้หรอกว่างานที่เราทำมันไปสร้างอะไรอย่างอื่น หรือไปสร้างมูลค่าด้านอื่นได้ แต่พอเขาพูดแบบนี้มาคือเราโคตรมีความสุขกับงานในวงการบันเทิงเลย
แนะเด็กรุ่นใหม่ให้รู้จักคำว่า "ใจเขาใจเรา"
ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะเป็นคนที่ออกหน้ากอง แต่เราก็โคตรเข้าใจคนหลังกล้องเลย เพราะว่าคนที่อยู่หลังกล้องเขาจะพยายามทำทุกองค์ประกอบให้คนหน้ากล้องคนนี้เพียงคนเดียว ออกไปสู่สายตาคนได้ดีที่สุด เราถึงสนิทกับคนในกองมาก เราถึงรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เราตั้งใจทำได้เพื่อตอบแทนพวกเขา เพราะฉะนั้นเอาจริงๆ ถ้าใครเป็นคนในวงการบันเทิงต่อไป อย่าคิดแต่ว่านี่คือหล่อสวย นี่คือทำแล้วคนมากรี๊ดให้ แล้วทำให้มันผ่านๆ ไปอยากให้โฟกัสมากๆ และ โฟกัสไปถึงคนอื่นๆ ด้วย นี่คือการเคารพงานอย่างหนึ่ง และเคารพในสิ่งที่เขาทำด้วย
...