- ต้าห์อู๋-ออฟโรด คู่จิ้นดัง กลับมาฟินอีกครั้งในซีรีส์เรื่อง "CENTURY OF LOVE ปาฏิหาริย์รักร้อยปี"
- ยอมรับบทบาทในเรื่องนี้สุดหิน ถึงกับเครียดและกดดันมาก
- ถ้าวันหนึ่ง ต้าห์อู๋ ไม่มี ออฟโรด และ ออฟโรด ไม่มี ต้าห์อู๋ มันจะเป็นอย่างไร?
กลับมาเจอกันอีกครั้ง สำหรับสองหนุ่ม ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว กับ ออฟโรด กันตภณ จินดาทวีผล ในซีรีส์เรื่อง "CENTURY OF LOVE ปาฏิหาริย์รักร้อยปี" ทางช่อง One31 ครั้งนี้ ต้าห์อู๋ รับบท "ซาน" ชายหนุ่มผู้มั่นคงในรัก มีชีวิตเป็นอมตะ และ "วี" ที่รับบทโดย ออฟโรด เด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของซานแบบไม่ทันตั้งตัว
บอกเลยว่า ในซีรีส์เรื่องนี้ ทั้ง 2 คนได้พลิกภาพการแสดงแบบก้าวกระโดด จากลุคหนุ่มวัยใสในซีรีส์ "รักไม่รู้ภาษา" พลิกสู่โลกการแสดงอีกขั้ว ที่มาในโหมดสุดเข้มข้น เรียกว่า สลัดทุกภาพจำที่คุณเคยสัมผัสมา
เพราะ ต้าห์อู๋-ออฟโรด ทุ่มสุดตัว เทหมดหน้าตักเพื่อบทบาทใหม่ในเคมีสุดกร้าวใจ ที่จะทำให้คุณต้องทึ่งไปกับพลังการแสดง และที่สำคัญซีรีส์เรื่องนี้ ได้ทีมงานระดับคุณภาพ ผลงานการกำกับฯ ของ วรวิทย์ ขัตติยโยธิน และ ธนวัจน์ ปัญญารินทร์ ทั้งผู้กำกับ และทีมเขียนบท จาก ละคร "คุณชาย" มาจัดหนักทุกความเข้มข้น ความท้าทายที่รอการพิสูจน์ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
...
ล่าสุด ต้าห์อู๋ และ ออฟโรด ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานในเรื่องนี้ พร้อมกับยอมรับว่า ทำงานกันหนักมาก และเครียดสุดๆ ทั้งกดดันตัวเองจนเกือบจะท้อ แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็ผ่านไปได้ นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้พูดถึงความสนิทสนม การเป็นพาร์ตเนอร์กัน ถ้าวันนี้ไม่มีต้าห์อู๋ ก็คงไม่มีออฟโรด!
ปาฏิหาริย์รักร้อยปี (Century of Love) เป็นซีรีส์ที่จะเห็นความจิ้นฟิน?
ต้าห์อู๋-ออฟโรด "เรื่องซีนต่างๆ นั้น เติบโตขึ้นและทำงานกันหนักมาก ในแต่ละพาร์ตที่มีความละเอียดและมิติของงานแสดงที่ลึกลงไปอีก ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรัก เรื่องเลิฟซีน มันเขินมาก ตอนแรกคงไม่เล่นเยอะ แต่ไม่น่าเชื่อ เยอะกว่าเรื่องที่แล้วอีก เรื่องนี้มีความสมเหตุสมผล ตรงนี้มีความเข้าใจได้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ และมีความฟินไปกับเรื่อง ไม่ใช่แค่เลิฟซีน
คนจะมองว่าเลิฟซีนคือ ฉากเข้าพระ เข้านาง ผมรู้สึกว่าบางทีซีนแบบนั้นอาจจะเป็นซีนดราม่าก็ได้ แต่ว่าที่จะได้เห็นคือจะมีการเล่าเรื่องเป็นภาพ เป็นฟิวมีนนิ่งของซีน เกือบทุกซีนที่มีดีเทลเข้าไป ความละเอียดเลิฟซีนคือการปล่อยฟรี การแสดงความรักของคน 2 คนในตัวละครนั้นๆ ปล่อยให้ตัวละครทำไปในการแสดงความรัก"
พอเจอกันอีกครั้ง คนที่รอดูก็คาดหวัง กดดันไหม?
ต้าห์อู๋ "จริงๆ ไม่ได้กดดันจากคนรอบข้าง อย่างผมเริ่มจากตัวเองมากกว่า ที่รู้สึกว่าเราอยู่ในช่องวัน 31 ที่ที่ผลิตนักแสดง หลายๆ คนร่ำเรียนมาเพื่ออยู่ในสายอาชีพนี้ แล้ว ณ วันหนึ่งที่เราได้โอกาส เราอยากเป็นนักแสดงที่ไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงแล้วได้เข้ามาในโปรเจกต์
ตอนแรกๆ ได้ยินมาบ้างว่า เด็กสองคนนี้มาจากบอยแบนด์ จะแสดงได้เหรอ? พอได้ยินแบบนี้ก็อยากทำให้เต็มที่ ไม่ต้องเอาชนะใครหรอก แต่เรามาตั้งคำถามกับตัวเองว่า วันนี้เราเรียกตัวเองว่านักแสดงได้หรือยัง
ตอนแรกๆ ที่ได้ยินก็เข้าใจ เข้าใจได้ และต้องทำให้ดีที่สุด และมีช่วงที่ท้อ เพราะเรารู้สึกว่าเราจะ give up จากงานแสดงไปเพราะว่ายังไม่ได้ไปทำหน้าเซตจริงๆ ซึ่งมีการเรียนที่มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด เพราะเราไม่ได้ลงมือทำ จนกระทั่งได้เรียนรู้ด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร
ช่วงแรกๆ แทบจะยอมแพ้เลย เรียนไปไม่เข้าใจ ตอนนั้นเพราะความไม่เข้าใจเราเรียนแค่ในห้อง และคิดว่าทำไม่ได้เนื่องจากเรามีการหวังผล ยอมรับว่าอยู่กับการประเมิน การหวังผลมาตลอดว่าสิ่งที่ทำได้ ไม่ได้อย่างไร พอได้ทำงานจริงๆ แล้วก็ไปได้ค่อยทำความเข้าใจ ต้องขอบคุณพี่หวอ วรวิทย์ (ผู้กำกับฯ) ที่ทำให้เราเข้าใจและรักงานแสดง"
...
ตอนนี้ถือว่าก้าวข้ามผ่านคำสบประมาทนั้นได้หรือยัง?
ต้าห์อู๋ "ให้ผลงานเป็นตัวตัดสินดีกว่า เพราะเราตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายมันดีหรือไม่ดี แค่ ณ วันนี้ผมผ่านงานการแสดงมากับพี่หวอ วรวิทย์ ผมรู้สึกแฮปปี้ ดีหรือไม่ดียังไงค่อยพัฒนากันต่อไป"
ทำไมถึงจะยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่เริ่มจริงจัง?
ต้าห์อู๋ "มันกดดันหลายอย่าง ระหว่างเรียนจะได้ยินประมาณว่า ถ้าโปรเจกต์นี้ไม่ดีเนี่ยลำบาก จะไปต่อยากในเส้นทางนักแสดง แล้วทีมเขียนบทดีมากนะ ต้องออกมาดีแน่ๆ ได้ผู้กำกับฯ ดีมากๆ เลย อาจพูดเพื่อซัพพอร์ต แต่สุดท้ายเป็นสิ่งที่บอกว่า มึงต้องทำให้ดีนะ
มันเลยกดดัน เครียดมาก ไม่มีความสุข นั่งร้องไห้ มันแบลงก์ไปหมด ทำอะไรไม่ถูกทั้งที่ยังไม่เริ่ม แค่เรียนการแสดง ยังไม่ได้ทำจริง มันคือการแสดงในห้องสี่เหลี่ยม เหมือนมีคนตัดสินเราไปแล้วว่าทำไม่ได้ ก็เลยโทษตัวเองว่าคงทำได้ไม่ดี คงไม่ใช่สิ่งที่ถนัด ทั้งที่พยายามมาก
เป็นเพราะ ณ ตอนนั้นเราหวังผลกับมัน ตั้งแต่เด็กเราโตมาแบบหวังผล ซึ่งแอ็กติ้งมันหวังผลไม่ได้ มันพยายามไม่ได้ จนเปิดกองวันแรกถึงเพิ่งเข้าใจ ไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องพยายาม ปล่อยอยู่กับปัจจุบันขณะ ต้องขอบคุณพี่หวอ เขาคือครูชั้นดีที่ทำให้เราเข้าใจและรักการแสดง"
...
แล้ววันไหนที่เริ่มเข้าใจ รู้ว่านี่คือการแสดง?
ต้าห์อู๋ "หลังคิว 2 คิว 3 เริ่มชอบรู้สึกสบายใจที่พี่หวอเดินเข้ามากำกับ คิดตาม ทำได้ ผ่าน จบ มันเริ่มแบบ แค่นี้เองอะ มึงแค่เคลียร์สติตัวเองให้ดี"
ขณะที่เขาเครียดอยู่ ออฟโรดที่เป็นพาร์ตเนอร์ ได้รับรู้หรือซึมซับกับสิ่งที่เขาเผชิญไหม?
...
ออฟโรด "รับรู้ตลอด ก็ให้กำลังใจ ลงเรือลำเดียวกันแล้ว อยู่ในโปรเจกต์ที่ก็ใหม่ทั้งคู่และมีแรงกดดันเยอะ แต่เชื่อมั่นว่าเขาทำได้ เพราะเชื่อมาตลอด ก่อนเริ่มโพรเซส ผมกับพี่อู๋เป็นเหมือนกัน แต่พีเรียดต่างกัน"
ต้าห์อู๋ "ตอนเรียนการแสดงด้วยกัน เขาทำการบ้านมาเต็มที่ แต่ ณ ตอนนั้น ยังไม่มีผู้กำกับฯ เข้ามา เขาก็จะดีไซน์ตัวละครในแบบของเขา ขณะที่ผมน่ะ หาไม่เจอ ทำไม่ได้เลย"
ออฟโรด "ช่วงแรกๆ ผมจะชิลมาก แต่พอไปเจอสถานการณ์จริง เป็นช่วงที่กองเริ่มถ่ายทำไปแล้ว มันไม่ได้สักที เหมือนทำการบ้านมา แต่สิ่งที่ทำมาไม่ใช่ แล้วเราตั้งใจทำมากและคิดว่าสิ่งนี้ใช่ กลายเป็นเราเปลี่ยนไม่ได้ ความมั่นใจหายไปเลย เกิดความกลัว ไม่กล้า ปิดทุกอย่าง ทำแค่เฉพาะบทที่มี ไม่ใช่ดื้อ แต่กลัวผิดอีก เลยเล่นแค่นั้นพอ บางทีเขาก็บอก ทำไมเล่นเป็นหุ่นยนต์
จริงๆ ไม่ใช่เราไม่สู้ เราทำทุกวิถีทาง อ่านบท ทำการบ้าน เรียนแอ็กติ้ง ผมเหมือนทฤษฎีแน่นมาก แต่บางทีทฤษฎีเยอะไปก็ไม่ดี แล้วความสุขมันหายไป แต่เรารู้สึกอยากทำให้ดี เพราะบอกเขาว่าจะเดินไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นผมจะไม่ทิ้ง มันคือความรับผิดชอบของนักแสดง ข้างในมันคือการจัดการความรู้สึกตัวเองว่าเราจะไปต่อยังไง
ความสุขผมหายไปเยอะ ผมไปด้วยความกลัว ผมทำทุกวิถีทางเลย บางทีรู้สึกความสุขมันหายไปแต่อยากทำอยู่ เพราะเคยบอกกับพี่อู๋ไว้ว่า เราจะไปด้วยกัน ทีมงาน พี่อู๋ก็ช่วยรับฟังเรา เขารับฟังเราจนทำให้เราผ่านตรงนั้นมาได้ ทำให้รู้สึกว่าอย่างน้อยยังมีคนที่เข้าใจเราและอยู่ข้างเราในวันที่เรามีปัญหา กว่าจะปรับตัวเข้ากับกองได้ก็หลังๆ เลย"
ทุกวันนี้มีความสุขกับการแสดงแล้วหรือยัง?
ออฟโรด "ผมรู้สึกผมโตขึ้น การจัดการอะไรหลายๆ อย่าง อย่างน้อยไม่ได้กระโดดจาก 1 ไป 2 แต่โดดจาก 1 ไป 7 ไป 8 เหมือนได้เจอของยากแล้วมีภูมิคุ้มกัน พี่หวอทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น บางทีผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านี่คือสิ่งไม่ดี คือข้อบกพร่อง แต่ได้มารู้ในเรื่องนี้และเขามาแก้ให้ อาจจะยังแก้ไม่ได้หมด แต่ทำให้เราเห็นปัญหา นอกจากผลงาน รู้สึกได้คำสอน ได้บทเรียน ได้อะไรหลายๆ อย่างจากเรื่องนี้มากๆ ครับ"
ต้าห์อู๋ "ผมมีความสุขกับการแสดง เพราะมีช่วงแรกๆ ที่ยังไม่ได้ก้าวมาในด้านการแสดง รู้สึกว่าผู้ใหญ่อคติกับเรารึเปล่า ชอบบอกว่าทำไมเรารู้ก่อน ทำไมเราบล็อกตัวเอง ชอบบอกว่าเราคิดมาแล้ว ทั้งที่เราไม่คิดอะไรเลย แต่ในหลายๆ เรื่องเราไม่รู้ตัว เพราะเราโตมาด้วยการคิดก่อนทำ แต่ ณ วันนี้ทำให้เข้าใจว่ายังมีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้าอีกเยอะให้เราเรียนรู้"
ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นพาร์ตเนอร์ของกันและกันคงไม่ได้มาถึงวันนี้ใช่มั้ย?
ต้าห์อู๋ "ใช่"
ออฟโรด "ผมว่าเราต้องขอบคุณที่ทุกครั้งเวลาเราหันหน้าออกจากกันเราไม่เคยไปเลย เราจะเลี้ยวกลับมาทุกรอบเลย แม้เราจะน้อยใจกัน แต่เราก็ยังไปด้วยกัน ผมไม่ต้องการที่จะไปเปลี่ยนเขา แต่เราจะทำยังไงให้เราอยู่กับเค้าและโตไปด้วยกัน นี่คือความรักของผม นี่คือสิ่งที่พยายามทำมาตลอด วิธีการบอกรักของผมเป็นแบบนี้ ผมอาจจะไม่ได้เป็นคนปากหวาน"
วันหนึ่งถ้า ต้าห์อู๋ ไม่มี ออฟโรด และ ออฟโรด ไม่มีต้าห์อู๋ มันจะเป็นอย่างไร?
ต้าห์อู๋ "ไม่เคยคิดนะ เพราะว่าต่อให้สักวันหนึ่งเราจะต้องแยกทำงาน ก็ยังใช้ชีวิตได้ต่อไปด้วยกันได้เรื่อยๆ เราไม่ได้ทำงานไป 30 50 ปี อยู่แล้ว ผมว่ายังไงสุดท้ายแล้ว เราก็โตไปด้วยกันอยู่ดี และเราก็จะไม่หายไปจากชีวิตของกันและกันแน่นอน"
ออฟโรด "เป็นที่พึ่งพา เป็นบ้านพักให้เขา เราก็รักกันนี่แหละ"
ช่วงที่ยากลำบาก?
ต้าห์อู๋ "ชีวิตเรามีช่วงที่ยากลำบากหลายช่วงมาก เค้าเป็นกำลังใจให้เราที่ดี มันเป็นเหมือนแบบว่าในหลายๆ ครั้งเราไม่รู้จะพูดกับใคร แต่ก็มีเค้า เพราะว่าเค้าเป็นคนที่รู้ทุกเรื่องในชีวิตเรา เราเป็นคนที่จัดการปัญหาทุกอย่างได้ คนเลยชอบมองว่าผมเก่งมาตลอด มันกลายเป็นว่าเราต้องการคนที่รับฟังเราได้ ไม่ต้องมาช่วยแก้ปัญหา แต่อย่างน้อยก็เข้าใจเรา มันเลยกลายเป็นว่า โชคดีที่มีออฟโรด เค้าไม่ได้แค่ฟังเฉยๆ แต่เค้าจะให้กำลังใจ"
ออฟโรด "คนอาจมองว่าพี่อู๋แก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่จริงๆ เค้าต้องการความชัวร์บางอย่างว่ามันดีจริงๆ มั้ย ซึ่งผมก็จะไม่ค่อยได้ถาม รอให้เค้าโทรมาหาเอง และเค้าก็โทรมาบ่อยอยู่ (ยิ้ม) หรือแม้กระทั่งบางเรื่องผมก็แนะนำในแบบของผม ซึ่งที่ผ่านมาเราก็คุยกันตลอดอยู่แล้ว".