เปิดทุกช่วงชีวิตของนักแสดงสาวที่มาจากเวทีล่าฝันอย่าง มิ้น มิณฑิตา วัฒนกุล หรือที่หลายๆ คนรู้จักในชื่อของ มิ้น AF ที่จะมานั่งเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองในรายการ Level Up ที่ออนแอร์ทางช่องยูทูบ Thairath Online Originals ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 น.

ซึ่งมิ้นได้เปิดใจเล่าแบบหมดเปลือกถึงชีวิตในแต่ละช่วงวัยที่ได้เปลี่ยนตัวมิ้นไป จากเด็กเรียนเก่ง ก้าวเข้าสู่เวทีการประกวด และถึงจุดที่ชีวิตเปลี่ยนจากที่จากสูงสุดลงมาแย่ที่สุด และแต่ละช่วงชีวิตของมิ้นทำให้เจ้าตัวคิดได้ และตัดสินใจเป็นคนใหม่ในแบบที่ตัวเองอยากจะเป็น

ที่ 1 โลกใบนี้ช่างสวยงาม

ช่วงวัยเด็ก มิ้นเป็นลูกคนกลาง มีพี่สาวและน้องสาว ภาพความทรงจำคือโลกใบนี้ช่างสดใส จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น ใครมีปัญหาจะช่วย แคร์ปัญหาคนอื่น พ่อแม่ทะเลาะกันก็นั่งฟัง เป็นสายซัพพอร์ต เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แม่ให้ไปทางไหนก็ไป

แต่ปัญหาของมิ้นคือคิดว่าตัวเองไม่มีปัญหา มันเกิดขึ้นเองตามกลไกการเลี้ยงดู ตอนนั้นคิดว่าถ้าหลุดออกจากคาแรกเตอร์ที่ถูกวางไว้ให้เป็นจะโดนอะไร ถูกเปรียบเทียบ ถูกทำให้ไม่มีคุณค่า ทำไมทำไม่ได้เหมือนน้อง ทำไมทำไม่ได้เหมือนพี่ มันทำให้เรารู้สึกว่าไม่ดีพอ เส้นทางการเป็นตัวเองไม่มี มีแต่เส้นทางการเป็นคนดี คนเก่ง พี่เกเร มิ้นตั้งใจเรียนให้ได้เกรด 4 อยากให้สอบโรงเรียนไหนไปหมด ให้นอนกี่โมงทำให้ได้

เพราะที่บ้านไม่มีใครเก่งวิชาการ ถ้าอยากจะเรียนพวกศิลปะ เช่น ร้องเพลง เขาก็จะบอกว่า มิ้นร้องไม่ได้ น้องร้องเพราะกว่าให้น้องเรียน ไปเรียนอย่างอื่นดีกว่า ก็เลยคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ คำพูดแม่คือประกาศศิต ถ้าเราไม่ทำตามที่แม่ต้องการ แม่ก็จะเสียใจ มิ้นก็จะเสียใจ

ตอน ม.4 ได้ 3.9 ภูมิใจมาก แม่ก็ดีใจ แต่เทอมต่อมาได้ 3.8 ก็โดนดุ เป็นปมในใจเป็น 10 ปี เพราะตอนนั้นน้องกับพี่แค่เรียนให้ผ่านก็ได้รับคำชมแล้ว แม่แฮปปี้แล้ว แต่เราโดนว่า จริงจัง สายตาที่มองผิดหวัง เลยรู้สึกว่าที่เราพยายามเป็นเด็กดี แต่พอพลาดหนึ่งครั้งมันรู้สึกว่าแล้วฉันทำทำไม

...

ตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ช่วง ม.6 เริ่มทำกิจกรรม อยากเข้าศิลปากร แต่พอคุยกันที่บ้านก็จะมีวิธีโน้มน้าว ก็วางความฝันของตัวเองอีกครั้ง ตัดสินใจไปเรียน จุฬาฯ เศรษฐศาสตร์ อย่างที่แม่ฝัน ก็บอกตัวเองว่า ฝันแม่ครึ่งหนึ่ง ฝันหนูครึ่งหนึ่ง บอกตัวเองไว้ว่าเราก็ชอบเศรษฐศาสตร์

วัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่เราต้องซัพพอร์ตความรู้สึกคนอื่นๆ เยอะมาก แต่ก็จะมีช่วงที่มีดราม่าเล็กๆ แค่โดนเพื่อนล้อว่าไอ้ลูกดารา ที่กลับมาถึงบ้านแล้วร้องไห้

เรื่องดีๆ ของการเป็นลูกดาราก็มี แต่เรื่องแย่ๆ เวลาที่เราทะเลาะกับใคร แล้วเขามักจะพูดว่า อ๋อ เป็นลูกดาราแล้วทำแบบนี้ได้เหรอ ใช้อำนาจเหรอ ทำให้แพ้ตลอด แต่พอโตมาถึงรู้ว่ามันคือเรื่องเล็กๆ 18 ปีมันมีดราม่ามาตลอด แต่ก็ปลอดภัยดี เพราะสิ่งที่เราต้องทำคือทำตามความคาดหวังของแม่ แล้วเราดันทำได้

LEVEL ที่ 2 ชีวิตที่เปลี่ยนไป

เข้าสู่วงการบันเทิง เป็นช่วงที่พีกสุดๆ ในชีวิตแล้ว ไม่คาดฝันมากๆ ว่าจะได้เข้าบ้าน AF เพื่อนที่ไม่สนิทมาชวนให้ไปเป็นเพื่อนประกวด AF ตอนนั้นคิดว่าไปเล่นสนุกๆ ไม่ได้คิดว่าไปทำตามฝัน ตอนบอกแม่ให้พาไป แม่เครียดมาก โดนแม่ดุ เขากังวลไปหมด แต่สุดท้ายก็ยอมให้ไป แล้วก็ได้

พอต้องเข้ารอบ 2 พ่อไปส่ง แต่เราที่โดนประเด็นเรื่องใช้เส้นพ่อมันก็รู้สึก ตอนนั้นบอกให้พ่อรอที่รถ เดี๋ยวไปกับแม่เอง แต่สุดท้ายออกมาจากห้องก็เจอพ่อนั่งรออยู่ แล้วเขาก็บอกว่าได้เพราะลูกดารา

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตพุ่งขึ้นมากๆ มีแต่ความสำเร็จ ไม่ได้มองสิ่งที่คนพูดจาแย่ๆ เป็นเรื่องซีเรียส เพราะชีวิตมันขึ้น มีแต่ความสำเร็จ มีแต่อะไรใหม่ๆ ให้ทำ มันมีความสุข และที่แม่ยอมเพราะแม่ชอบ AF ขนาดพอรู้ว่าสอบเข้าเศรษฐศาสตร์ได้ตามฝันของแม่เขายังบอกให้ดรอป พอออกจากบ้าน AF แม่ให้สอบใหม่คณะที่มิ้นชอบ แม่เปลี่ยนทางมาก ทำเอามิ้นงงสุดๆ

แต่ด้วยความเป็นคนแค้นฝังหุ่นก็เลยยืนยันจะเรียนเศรษฐศาสตร์ ตอนนั้นประชด และช่วงที่อยู่ในบ้าน มิ้นไม่รู้ว่าตัวเองเป็นที่รู้จัก หรือป๊อปปูลาร์ขนาดไหน ตอนที่อยู่ในบ้านตอนนั้นมีความสุขมาก แต่พอออกจากบ้านทำตัวไม่ถูก แต่งานเข้ามาเยอะมาก ทำทุกอย่างที่เข้ามา ได้เล่นละคร และก็ชอบมาก ตอนร้องเพลงรู้สึกกดดัน แต่พออยู่หน้ากล้องรู้สึกว่าทำได้ดี

ชีวิตกำลังดีมากๆ แต่ก็เจอข่าวเรื่องการเมืองในชั่วข้ามคืน มันจะมีคนตั้งคำถามจนเราได้เป็นสีใดสีหนึ่งขึ้นมาที่ไม่ตรงกับเขา แล้วก็มีความพยายามมากมายจากคนอีกกลุ่มที่มองว่าเราอยู่คนละฝั่งกับเขา พยายามพูดถึงเรื่องของเราผ่านข่าวและกระทู้ พยายามใส่ไฟว่าเราเป็นอย่างนั้น รื้อทุกอย่างออกมา เอามาเชื่อมโยงและเล่าเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องจริง

...

แล้วเป็นประเด็นก็โดนผู้ใหญ่เรียกไปคุย จนไปงานหนึ่งแล้วโดนคนมองว่าเราไม่ร้องเพลง ซึ่งเขาบอกเรา 5 นาทีก่อนโชว์จะเริ่มว่าให้ขึ้นไปร้อง ทั้งโต๊ะไม่มีใครรู้ว่จะต้องให้ขึ้นไป พอลงมาก็เป็นเรื่อง

นักข่าวจ่อไมค์ถามทำไมไม่ร้อง เราก็ตอบไปว่า ไม่รู้เนื้อ ร้องไม่เป็น ก็เอาไปลงข่าว ตอนนั้นสื่อมีพลังมาก เขาเขียนว่าเป็นนักร้อง จบการประกวดมาแต่ไม่รู้เนื้อเพลงได้อย่างไร ทุกอย่างทำเพื่อซัพพอร์ตความคิดชุดหนึ่ง สังคมอินกับการชี้เป็นชี้ตายของใครสักคน สังคมอินกับการเป็นสีนั้นสีนี้ ตอนนั้นมิ้นช็อก

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ก็โดนแคนเซิลงานทันที แต่เป็นการแคนเซิลงานที่เต็มไปด้วยความรัก ผู้ใหญ่บอกว่าต้องเบรกก่อน แม้จะออกไปอธิบายก็ไม่มีใครฟัง เขามองโลกเป็น 2 สี ขาวกับดำ ไม่มีตรงกลาง ตอนนั้นโดนคนขู่เผาบ้านเลย ผู้ใหญ่บอกให้เงียบ ไม่ต้องห่วงปีเดียวคนก็ลืม

แต่ตอนนั้นมีละครอยู่เรื่องหนึ่งที่ที่ต้องถ่ายต่อ แต่ไปทำงานแล้วไม่มีใครคุยด้วยเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาดูเอ็นดูเรา มิ้นนั่งกินข้าวคนเดียว ไม่มีใครอยากเกี่ยวข้อง ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดนะ บางคนแค่กลัวเหมาไปด้วย

มันเป็นอะไรที่ยาก มันเครียดว่าทำไมไม่มีความยุติธรรมมากกว่า ทำไมเราซวยขนาดนี้ สิ่งที่เจ็บปวดคือจะบอกให้ทุกคนรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ได้เป็น แล้วอีกฝั่งก็จะหาว่าเรากลับลำ แล้วก็จะโดนเกลียดจากทั้ง 2 ฝั่ง มันยากไปหมด

มีพี่คนหนึ่งบอกมิ้นว่า ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่ที่นี่คือสนามรบ มาทำงานแล้วกลับไปมีความสุขที่บ้าน อยู่ที่นี่ไม่ต้องร้องไห้ ที่นี่ไม่ใช่ที่จะเอาใจมาลงเล่น ไม่ต้องพิสูจน์กับใครว่าเราเป็นคนดี

และเหตุการณ์ต่อมาก็คือโดนแฟนทิ้ง แต่ไม่ใช่จากเรื่องนี้หรอก แต่ก็เป็นปมใหญ่ เขามีคนนั้นคนนี้ เราก็ทะเลาะกันเรื่องนี้ แต่พอเขาเจอคนใหม่ที่ถูกใจ พอเราบอกเลิกเขาก็ไป

...

ตอนนั้นชีวิตเหมือนโดมิโน เลยไม่อยากอยู่ตรงนี้ ไปใช้ชีวิตที่อื่นที่ไม่มีคนดูถูกเราดีกว่ามั้ย ตอนนั้นใกล้เรียนจบแล้ว อยากไปต่างประเทศ

แต่เพิ่งมารู้ว่า 5 ปีที่ผ่านมาเงินเก็บที่บ้านไม่มีเลย จัดการการเงินไม่เก่ง ตอนนั้นไม่มีทางเลือก ก็ต้องไปต่อ พอเห็นเช็คจากการเล่นละครก็บอกตัวเองว่า อยู่ต่อ จะไปทำอะไรที่ได้เงินเยอะขนาดนี้ ไปล้างจานที่อเมริกาเหรอ ก็เลยทำต่อ

จนได้มีโอกาสที่กลับมาดังเปรี้ยงอีกหนึ่งครั้ง ละครเรื่องแรงเงา ยอมรับว่ามันชุบชีวิตสุดๆ ชีวิตเปลี่ยน กำลังค่อยๆ ขึ้น แต่น้องตาย นักข่าวมา

ตอนนั้นโกรธสื่อมาก ลึกๆ คือโกรธมากที่มาถามว่ารู้สึกยังไง ไม่ร้องไห้เลย มิ้นนั่งหน้าบึ้ง ส่วนพ่อร้องไห้ แล้วข่าวแย่ๆ ก็ตามมา คนมองว่าสมแล้วเพราะมันเป็นเสื้อสีนี้ไง ลูกเลยต้องตาย หรือทำตัวเป็นเด็กดีแต่น้องตายยังไม่ร้องไห้เลย

ตอนนั้นก็ทนอยู่กับมัน แล้วก็ค่อยๆ เก็บมาเป็นความเข้าใจ เรื่องการเมืองมันคงทำให้คนเจ็บปวด แล้วก็กลับไปย้อนดูตัวเองว่าทำไมถึงไม่ร้องไห้ เพราะมันช็อก โกรธ อยากบอกพ่อว่าทำไมไม่บอกเขาว่าเราไม่ให้สัมภาษณ์ ตอนนี้มันควรเป็นพวกเรามานั่งร้องไห้ด้วยกัน ไม่ใช่ร้องไห้ให้ใครดู มันเป็นความไม่เข้าใจ เราเองก็ไม่ได้พูดว่าไม่ให้สัมฯ นะ เพราะเราไม่ไหว

และช่วงนั้นก็โดนแอบถ่ายในห้องน้ำที่ดาราโดนกันเยอะมากในช่วงนั้น คือมิ้นโดนแบล็กเมล์มาเป็นปีๆ เขาส่งข้อความมาบอกว่าต้องจ่ายเงิน ไม่อย่างนั้นจะปล่อยคลิป และเรื่องแอบถ่ายในห้องน้ำทำให้มิ้นกลัวสังคม กลัวคน ช่วงชีวิตตอนนั้นปมเยอะไปหมด ยุ่งเหยิงไปหมด ชีวิตมีแต่ความกลัว

...

LEVEL ที่ 3 ออกมาเติบโต

จากเด็กว่านอนสอนง่าย กลายเป็นเด็กดื้อ อายุ 25 ออกมาอยู่คนเดียว มันเป็นเรื่องที่รู้สึกผิดบาปมาก แค่รู้สึกว่าต้องออกไปบิน ต้องออกมาโต แต่อยู่ตรงนั้นมันทำไม่ได้ ยิ่งพอน้องเสีย จากที่เป็นลูกที่ถูกคาดหวังก็ยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิม เราต้องทำได้ เก็บความฝันที่เขามีให้ครบ แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ ก็เลยทำให้มิ้นต้องออกมา

ตอนที่ออกมา พ่อแม่ก็คิดว่ามิ้นมีปัญหา พอออกมาก็อ่านหนังสือ ฟังพอสแคสต์ทุกวัน พยายามทำความเข้าใจเรื่องตัวตน เรื่องการเงิน และรับผิดชอบการงาน และดึงตัวเองในวันที่ดาวน์ พอเพื่อนที่ดีเข้ามาในชีวิตก็รู้สึกมีความหวัง เป็นช่วงที่ค้นหาตัวเองเยอะ

ช่วงนี้ทำให้รู้ว่า ชีวิตมันยาวและมันก็สั้น อย่าเอาอะไรกับมันมาก มันปลง และเลิกทำตามความคาดหวังคนอื่นได้แล้ว แม้เราจะพยายามทำตามความต้องการของเขาให้ตายก็ไม่ทำให้เขามีความสุข เราก็ไม่มีความสุข ยังไงเขาก็ต้องทุกข์ ปล่อยให้เขาทุกข์บ้าง เขาจะได้มีภูมิต้านทาน

เขาต้องรักเราอย่างที่เราเป็น ต่อให้เราไม่ถูกใจแม่เลย แม่ก็รักเรา ถึงการแสดงออกจะรุนแรงแค่ไหน แต่เขาก็รักเรา ช่วงชีวิตนี้มิ้นหาตัวเองเจอแล้ว ไม่ต้องรักมิ้นมากก็ได้ ขอบคุณทุกอย่างที่เข้ามา เพราะทุกการกระทำของทุกคน


LEVEL ที่ 4 ค้นหาตัวเองเจอ

ตอนนี้เรามีแฟนตัวตนชัดเจนมาก มิ้นถามตัวเองเยอะมากว่าเราเป็นใคร นักแสดงก็ไม่ดัง นักร้องก็ไม่มีผลงานชัดเจน เราเป็นอะไร ก็รู้สึกเป็นปัญหา แต่พอวนกับความคิดนี้ ก็รู้สึกว่าเราอาจจะไม่ได้เด่นดังในด้านใดด้านหนึ่ง แต่เราก็ภูมิใจทุกสิ่งที่เราทำ และเต็มที่กับมัน

ซิลวี่เป็นแฟนผู้หญิงคนแรก มิ้นไม่เคยคิดว่าชายคู่หญิง ไม่ชอบการฟิกว่าคนๆ นึงต้องทำอะไร และเป็นอะไร มันต่อต้านในใจกับอะไรแบบนี้มาตลอด

อย่างแม่บอกว่า เราเป็นดาราแล้วนะ ต้องหาแฟนที่เชิดหน้าชูตา มันรู้สึกว่าไม่เมกเซนส์เลย ที่จะต้องมองแค่คนแบบนี้ แต่มันไม่ได้ ความรู้สึกสำคัญกว่า เจอคนไหนที่ใช่ก็คนนั้นแหละ ไม่ต้องคิดอะไรเลย มิ้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ชอบ เจอแล้วสปาร์กแล้วไปเลย มิ้นเป็นคนแบบนั้น ซึ่งกับซิลก็เป็นแบบนั้น

ใครจะด่าว่าเป็นลูกชั่วก็ได้ แต่ตอนที่คบกับซิลไม่ได้คิดว่าพ่อแม่จะรู้สึกยังไง เพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่ต้องพอใจมิ้นหมดทุกเรื่องก็ได้ แต่พ่อแม่รู้ดีที่สุดว่ามิ้นรักพ่อแม่มาก และเราก็รู้ว่าเขารักเรามาก รักเราอยู่ดี และเรารักใครเขาก็รักในที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงออกมาขนาดนั้น