ยังคงเป็นมหากาพย์ดราม่าที่คนให้ความสนใจกันต่อเนื่อง สำหรับประเด็นของ บิ๊ก ผู้ใหญ่บ้านฟินแลนด์ กับ แพรวพราว แสงทอง อดีตสามีภรรยากัน โดยก่อนหน้านี้ บิ๊ก ได้ถ่ายรูปกับทีมทนาย เพื่อปรึกษาในหลายๆ เรื่องที่ไม่ชัดเจน และเมื่อได้มีโอกาสเจอ บิ๊ก ผู้ใหญ่บ้านฟินแลนด์ เจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า
ล่าสุดที่ถ่ายรูปกับทนายได้ไปปรึกษา หรือเตรียมฟ้องหรืออย่างไร?
“ไปปรึกษาครบวงจรครับ หลายๆ เรื่องที่มีปัญหาที่ไม่ชัดเจน เราต้องการความชัดเจน หมายถึงว่าเรื่องครอบครัวเราไม่ต้องการชนะใคร หรือต้องการไปแย่งชิงอะไรกับใคร แต่เราต้องการความชัดเจนแค่นั้น”
ตอนนี้ปัญหาหลังๆ มันขึ้นอยู่กับเรื่องสมบัติ และเรื่องลูก?
“ลูกด้วย สมบัติด้วย แต่เราไม่ได้ไปทำเรื่องแบบว่าเอามานะ ต้องอยู่กับฉัน ไม่ ขอแค่ชัดเจน เวลาไปมาหาสู่กันให้มันชัดเจน”
เรายังเคลียร์กันไม่ลงตัวใช่ไหม?
“มันเป็นโนติสท์ครับ ในเรื่องการดูแล”
...
สาเหตุจุดตัดสินใจที่ทำให้บิ๊กต้องเข้าพบทนาย?
“กว่าจะพบก็ 2 เดือนแล้ว เราก็ไม่คิดเจอทนายเลยเพราะว่ามันไม่ใช่ประโยชน์ของเรา แต่พอเรามานั่งคิด เรารู้สึกว่าเราไม่ชัดเจนกับตัวเอง ต่างฝ่ายต่างไม่ชัดเจน ก็เลยปรึกษากับทนาย”
กระบวนการจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ หลังเราถ่ายรูปกับทนายแล้ว?
“เริ่มแล้วครับ (ยื่นโนติสท์ไปแล้วใช่ไหม?) ต้องถามทนาย เพราะว่ากระบวนการทุกอย่างรวบรวมไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่ายื่นรึยังนะ”
เรามีข้อเสนอตรงไหนอะไรบ้าง ที่เรารู้สึกว่าคุยแล้วไม่ผ่าน จนต้องพึ่งทนาย?
“ก็ 3 ข้อที่ทนายโพสต์ลงไป ก็ชัดเจนแล้ว 1.เรื่องการปกครองสิทธิ์ ก็คือผมไม่ต้องการปกครองเพียงผู้เดียว แต่ผมต้องการมีสิทธิ์ดูแลลูกบ้าง
2.ก็เป็นเรื่องของทรัพย์สิน ก่อนหน้านี้พูดไปแล้วว่าไม่ได้แบ่ง พอตอนนี้กลับมาคิดใหม่ ปัญหาดราม่าต่างๆ เข้ามา เลยขอตัดสินใจใหม่ ขอชัดเจนเรื่องสมบัติด้วย แบ่งให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยแบ่งให้ลูกเพราะกลัวไม่ถึงลูก
3.เป็นเรื่องของการถ่ายวิดีโอ หรือการเผยแพร่คลิป ของบุตรของเราโดยที่ไม่รับอนุญาต ซึ่งผมก็อยากจะบอกว่าให้พ่อกับแม่ถ่ายแต่เพียงผู้เดียว ถ้าคนอื่นจะถ่ายก็ต้องได้รับอนุญาตก่อน พ่อแม่มีสิทธิ์เต็มร้อยในตัวลูก แต่คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ เราต้องมีการพูดคุยกันก่อน เพราะการถ่ายคลิปลูกเรามันเป็นยอดวิว มันเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นมหาศาล ที่ผ่านม่าไม่เคยพูดนะ แต่ตอนนี้ก็ต้องพูด”
รู้สึกยังไงบ้างที่เขาเคยโพสต์ว่า เรื่องส่วนตัวควรจะเป็นส่วนตัว ไม่ควรคุยส่วนรวม?
“ก็คุยในบ้านมันคุยไม่รู้เรื่อง ถ้าคุยรู้เรื่องคงไม่ได้มาเป็นแบบนี้”
กลัวบานปลายไหม ที่เราออกมาพูดต่อหน้าสื่อ แล้วจบไม่ลงเจอทัวร์มาลง?
“คนที่เงียบก็ไม่ได้แปลว่าเขาทำอะไรนะ (หลายคนมองว่าเขาเก็บหลักฐานอยู่?) เอ๊า หลักฐานอะไรเอ่ย ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใครนะ ผมจบทุกอย่าง มีความชัดเจนเรื่องสิทธิ์ที่ตัวเองมีสิทธิ์อะไรบ้าง ไม่ต้องการทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เพราะทุกวันนี้กับตัวเองก็ไม่ไหวแล้ว”
ทนายมีการแนะนำอะไรบ้าง?
“เขาก็บอกว่าไม่ต้องโพสต์อะไรแล้ว เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ไม่เห็นบิ๊กเรียกร้องอะไรแบบนี้ เพราะบิ๊กยื่นทุกสิ่งทุกอย่างให้ทนายหมดแล้ว?
“ก็ต้องมี ถ้าเกิดมีแหย่เข้ามา เหมือนล่าสุดที่ผมโพสต์เรื่องการไปหาลูก เขาหาว่าผมพูดทำไม ถ้าไม่มีต้นเหตุผมจะพูดทำไม ผมจะเอาเรื่องอะไรมาพูดได้ ผมก็อยู่ของผมไปวันๆ แค่ไปหาลูกชั่วโมงเดียว เป็นเรื่องเป็นราวเลย”
เรารู้สึกว่าไม่โอเคที่เขาเอาลูกไปทำคอนเทนต์ใช่ไหม?
“ใช่ ก็อย่างที่โพสต์ชัดเจนเลย สามารถพูดซ้ำได้เลยว่าเราก็ไม่โอเคจริงๆ เพราะเป็นลูกเรา เราถ่ายมาตั้งแต่อยู่ในท้อง ส่วนที่ดีเราก็ชมอันไหนไม่ดีเราก็บอกไม่ดีครับ”
...
ทนายไปยื่นแล้ว ถ้าเพิกเฉย และมีการขึ้นศาล เราพร้อมขึ้นศาลไหม?
“พร้อมตลอด”
แต่ยังไม่มีการกำหนดวันใช่ไหม?
“ยังไม่มีการกำหนดเลย เพิ่งพูดคุยกับทนายไม่กี่วันนี่เอง”
อีกฝ่ายก็โพสต์ว่าเหมือนมีทนายดีๆ ที่พร้อมจะต่อสู้?
“ผมไม่ได้ไปต่อสู้กับเขานะ ผมเรียกร้องสิทธิ์ตัวเองเฉยๆ ผมไม่ต้องการไปต่อสู้กับคนที่เคยอยู่ด้วยกัน คนมันเคยรักกัน ไม่ได้อยากไปเป็นศัตรูกับใคร แต่ว่าในเมื่อมันมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ที่เข้ามาหาลูก ผมก็ต้องชัดเจน”
เพราะเกิดเรื่องได้มีการเคลียร์ส่วนตัวกันบ้างหรือยัง?
“ก็พูดคุยอยู่ พิมพ์กันอยู่ แต่จบไม่ลงครับ”
ในพาร์ตของความเป็นพ่อ สิทธิ์การดูแลลูกเป็นยังไงบ้าง?
“คือตอนนี้เขาก็ไม่ได้บอกว่าเขากีดกันหรืออะไรนะ แต่อย่างที่บอกว่ามันมีเหตุการณ์ที่ต้องทำ ถ้าวันนี้ไม่ทำวันหน้าก็ต้องเกิดขึ้นเรื่อยๆ การที่เรามีลูกมันคั่นกลาง ถ้าไม่มีลูกเราก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว เราอยู่ใครอยู่มันอยู่แล้ว แต่วันนี้เรามีลูก คำว่าพ่อแม่ตัดกันไม่ขาด มันต้องอยู่จนเห็นลูกโต ทำไมถึงต้องสร้างศัตรู ทำไมไม่ปรองดองกัน”
...
เราก็ไม่อยากให้ลูกมองว่าพ่อแม่มีปัญหากันขนาดนั้น?
“ใช่ ไม่อยากให้มองว่าพ่อแม่ต้องมาขึ้นศาล แต่ในเมื่อมันทำยากมันก็ต้องชัดเจน อนาคตยังไงก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
ลูกเราก็โตขึ้นทุกวัน เขารับรู้หรือยัง และเราคุยกับลูกยังไง?
“เอาจริงๆ ทุกวันนี้เรามีสิทธิ์อธิบาย อธิบายให้ลูกฟังได้ ไม่ใช่ไม่ให้ดูหรือปิดไปเลย คือพ่อทำงานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เราก็สอนให้ลูกเรารู้จักทำคลิปทำคอนเทนต์ บางคนอาจจะมองว่าผมเอาลูกมาทำคอนเทนต์ แต่เราก็ต้องสอนลูก ซึ่งลูกก็เข้าใจและชอบ วันไหนที่เขาไม่ถ่ายแล้วก็ไม่ถ่ายเขานะ เราก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจเขาเต็มที่”
อยากให้เรื่องนี้จบยังไง?
“ผมมองว่าทุกอย่างต้องชัดเจน เรื่องการเลี้ยงลูก อย่างวันจันทร์ถึงศุกร์คุณเอาเท่านี้นะ เสาร์ถึงอาทิตย์คุณเอาเท่านี้นะ ให้เป็นแบบนี้ดีกว่า อย่าเป็นไปในทางที่เธอเอาผู้หญิงไปฉันเอาผู้ชายมา ผมไม่ทำอย่างนั้น เพราะการแยกบุตรออกจากกันมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อเด็กครับ อยากให้ชัดเจน ให้ศาลออกคำสั่งเลย หรือให้ใครออกคำสั่งได้เลย ที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย”
ที่ผ่านมาเราไปรับลูกแล้วเราไปรับไม่ได้เหรอ?
“รับได้ แต่ว่าที่ผ่านมามันไม่ชัดเจน มันมีอะไรนิดหนึ่งก็เลยอยากทำให้มันชัดเจน”
ที่ผ่านมาเรื่องนี้มีผลกระทบต่อค่ายของเราไหม?
“ข่าวที่เป็นทุกวัน มีงานทุกวันก็เพราะข่าวนี้แหละ ผมมายืนตรงนี้ก็เพราะข่าว แต่ว่าไม่ได้อยากมีชื่อเสียงเพราะอะไรแบบนี้ แต่เราก็มีเอฟซีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอมันเป็นเรื่องเป็นราวคนรู้จักมากขึ้น ไม่กระทบงานเรานะ เพราะเราชัดเจนตลอด เราเป็นคนที่พูดความจริง”
...
จะฟ้องคนที่เข้ามาพูดจาไม่ดีกับเราไหม?
“ถ้าจะฟ้องก็คงมีประมาณเป็น 10,000 เป็น 100,000 คน ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นั่งฟ้องแต่คน คนคอมเมนต์หนึ่งคอมเมนต์ก็แปลว่าเขาสนใจเราแล้วนะ คือคุณคนรู้จักแล้วนะ เขาแค่คอมเมนต์มาและเราไปไล่ฟ้อง ผมว่ามันดูขำ เราก็ตอบกลับในโซเชียลเลย ผมไม่ฟ้องเพราะต้องใช้เงินในการฟ้องด้วย”
อย่างนี้ถ้าบิ๊กจะดำเนินการทางกฎหมาย แล้วอย่างคุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงลูกให้เราจะมองหน้ากันติดไหม?
“ผมว่าถ้าทำยิ่งมองไม่ติด ต้องทำให้มันชัดเจนเลย แบบนี้จะดูสบายใจกว่า ไม่มีใครคิดไปเอง”
แสดงว่า ณ วันนี้ก็ต้องการความชัดเจน?
“ถูกต้องครับ”
ทุกวันนี้ที่เราวิดีโอคอลหาลูก เราผ่านใคร?
“ก็ผ่านป้าแจ๋วเลย โทรหาป้าแจ๋วเลย แต่บางทีลูกเขาโตแล้วเขาก็จะกดมาเอง แต่บางทีพ่อโทรไปเขารับสาย เขาก็จะยื่นให้นาริตะเลยครับ”
มีบางมุมไหมที่เขาเป็นเด็กก็ไม่อยากให้ลุงกับป้าถ่ายคอนเทนต์ตลอดเวลา?
“มันก็มีอยู่แล้ว ในบางมุมอะ แต่ผมไม่เคยสั่งห้ามใครเลย จนคนรอบข้างเขาก็มีรายได้กันหมด เป็น 10,000 เป็น 100,000 คนในหมู่บ้านที่เป็นญาติ ญาติพี่น้องถ่ายรูปผมเอาลงโซเชียลมีเดีย เดือนนึงได้รายได้ 50,000-60,000 โดยที่ไม่ลงทุนอะไรเลย แค่เดินผ่านบ้านแล้วก็ถ่ายคลิป สูงสุดเป็น 100,000-200,000 เราไม่เคยว่า จนเขาเรียกว่าหมู่บ้านยูทูบเบอร์ ซึ่งเราก็ไม่เคยเรียกเก็บจากเขา มีแต่อยากให้เขามีรายได้ช่วยเหลือกันไป”
ที่เราออกมาโพสต์เรื่องการทำโรงสีข้าว?
“เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่ามันอะไรยังไง เพราะผมเพิ่งอยู่ได้ห้าปี ก็ไม่รู้ว่าอะไรยังไง เขาจะขนาดไหน แต่ว่าอาณาจักรที่สร้าง เขาก็เพิ่งสร้างตอนที่ผมอยู่นะ”.
คลิกเพื่ออ่าน “ข่าวบันเทิง” เพิ่มเติม