คู่รักสายกรีนที่รักษ์โลก อย่าง ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่งานนี้ทั้งคู่ได้จับมือกันมาร่วมงาน "ความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตร" พร้อมเปิดตัวแคมเปญ "React For Change ลองเปลี่ยนโลก" เพื่อให้เหล่านักเรียนและคนที่สนใจได้ทำชาเลนจ์ กับภารกิจ 3 RE ณ อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง) กรุงเทพมหานคร

ซึ่งหลังจากจบงานทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พร้อมรีวิวชีวิตคู่ 16 ปี ที่เรียกลงตัวสุดๆ และยังเผยเหตุการณ์ที่ทำให้เสียน้ำตา ส่วนเรื่องมีทายาทก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่าจะยังไม่มีตามที่เคยบอกไว้

วันนี้ตัดผมสั้นขอมาในลุคใหม่?

นุ่น : นานมากเลย คือไม่ได้เกิดจากใครเลย คือเพื่อนโทร. มาเห็นภาพเราถ่ายคู่กับพี่ท็อปแล้วดูแก่มาก หมายถึงเรานะ จากรูปนั้นมาเพื่อนเลยบอกว่าเธอต้องไปทำผมด่วน ไม่งั้นสามีเธอจะเบื่อ เราก็ไม่เข้าใจสไตล์ คิดว่าเขารักธรรมชาติ คงชอบแบบสวยธรรมชาติ แต่เพื่อนบอกว่าเธอชะล่าใจได้ไง เลยบอกขอตัวไปทำธุระแป๊บนึง และอีกอย่างพี่ท็อปพออายุเยอะขึ้นแล้วดูเฟี้ยวขึ้น เพราะว่าเพื่อนทักแรงเลยทำให้เสียเซลฟ์

...

พอเห็นลุคใหม่ของภรรยาเป็นยังไงบ้าง?

ท็อป : คือผมไปดูถึงร้านตัดผมเลย
นุ่น : ไม่มีรีเควสเลย บอกช่างแค่ว่าอะไรก็ได้ แค่ว่าต้องให้พี่ท็อปตะลึง ส่วนตัวชอบผมสั้นอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้คือการเปลี่ยนลุค แบบว่าไม่ได้เข้าร้านทำผมนานมากแล้ว
ท็อป : ไม่ได้รู้สึกว่าเขาสวยน้อยลงเลย ที่ผ่านมาคือโอเคมากๆ แต่เขาคงมั่นใจมากขึ้น แต่พอเห็นที่ร้านตอนไปรับก็รู้สึกน่ารักดี และมารู้ตอนหลังเขาเฉลยว่าเพราะเพื่อนทัก

มีวิธีกำจัดความเครียดยังไง?

นุ่น : คือจะตอบให้ เขาเป็นผู้ชายมีบุญมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ศีรษะถึงหมอนนับแค่ 10 เขาก็ไปแล้ว บางทีเรานอนไม่หลับ จะบอกว่าอยู่เป็นเพื่อนก่อน หันไปอีกทีคือหลับแล้ว

ตื่นมาเคยคิดไหม ว่าภรรยาจะเเกล้งตอนหลับ?

ท็อป : ไม่เคยคิดนะ หรือต้องระวังไหมเนี่ย

เคยมีเหตุการณ์อะไรที่ให้ต้องเสียน้ำตากันไหม?

ท็อป : เคยมีตอนที่ยังไม่แต่งงาน ตอนเป็นแฟนกัน และไปเที่ยวญี่ปุ่น เราก็บอกเขาว่าขอออกไปเที่ยวกับเพื่อนแป๊บเดียว ก็ออกไปประมาณ 5 ทุ่ม น่าจะกลับมาถึงห้องประมาณตี 4 พอได้ จังหวะที่เปิดประตูเข้าห้องแล้วแสงไฟมาสาดเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือหน้าคุณนุ่นแล้วน้ำตาหยด เหมือนแบบว่าผู้กำกับสั่งเลย อันนั้นโหดสุดแล้ว ใจร่วงไปเลยและรีบไปนอน

เหมือนว่าทางภรรยาจะไม่สบายใจหรือเปล่า?

ท็อป : ครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่ทำ ที่หนีเที่ยวแล้วกลับดึกไปหน่อย พอมาตอนหลังก็ขอตรงๆ จะไม่มีเห็นน้ำตาแล้ว วันนั้นมันเป็นภาพติดตา

แล้วเคยมีอาการโมโหไหม?

นุ่น : คือขอใช้พื้นที่สื่อนะคะ เพราะจริงๆ เป็นผู้ถูกกระทำ ฉันไม่เคยได้ด่าใคร ไม่เคยเกรี้ยวกราดใส่ใครเลย มันแค่ในละคร ชีวิตจริงมีแต่คนโขกสับ ทุกคนต้องคิดว่าเราข่มสามีแน่เลย ฉันไม่เคยได้ทำสิ่งนั้นกับใคร เลยต้องเอาทุกสิ่งไปลงในละครหมด อยากบอกว่าเราคือผู้ถูกกระทำท่านหนึ่ง (สามียกมือไหว้)

เป็นคนกลัวภรรยาไหม?

ท็อป : มันจะเป็นจังหวะเกรงใจ แต่เวลาหงุดหงิดมากมันก็หยุดไม่อยู่เหมือนกัน ก็ใส่สุดในคำพูดคำจา แต่ไม่ได้มีคำหยาบนะ เหมือนเป็นการระบาย

แล้วมีวิธีรับมือยังไง?

นุ่น : ถ้าเอาเรื่องจริงนะ คือจับลมหายใจที่ปลายจมูก แค่นั้นเลยค่ะ เพื่อเรียกสติตัวเอง ส่วนพี่ท็อปไม่ต้องเติมเชื้อไฟปล่อยเขาไปก่อน ทำให้ตัวเองหูดับไป ถ้ายิ่งต่อความมันจะยิ่งไม่จบไม่สิ้น อย่างที่บอกชีวิตจริงโดนกระทำสุดๆ

รู้สึกยังไงที่ได้ภรรยาไม่วีนเลย?

ท็อป : ผมโชคดีครับ และก็ผิดไปแล้วกับหลายเรื่องที่ทำมา ขอโทษต่อสาธารณะด้วยนะครับ (ยกมือไหว้)

เวลาทะเลาะกันจัดการยังไง?

ท็อป : มันต้องผ่านเวลานิดนึง แบบว่าถ้าเราเดือดมาเลย ทะเลาะกัน พูดจาแรงๆ ใส่กัน และพอเราได้หลับ พอตื่นมามันจะดีขึ้น และนุ่นเขาจะรอผมดาวน์ลง และผมจะมาขอบคุณนะที่เมื่อวานใจเย็น พร้อมขอโทษ

มันรุนแรงขนาดไหน ถึงต้องขอโทษกัน?

นุ่น : ส่วนมากเราจะเคลียร์กันมากกว่าด้วยเหตุผล มันเป็นชีวิตคู่ที่พื้นฐานแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน เพราะอารมณ์มันมีช่วงขึ้นลง แต่เหตุผลมันจะทำให้เราอยู่กันได้นาน ยังลองนับเล่นๆ ว่าเป็นแฟนกันมา 8 ปี แต่งงาน 8 ปี รวมเป็น 16 ปี ที่เราอยู่ด้วยกันมา เหตุผลทำให้เราอยู่กันได้โดยไม่บอบช้ำกันและกัน

...

เรียกว่าเป็นสามีตัวอย่างได้ไหม?

ท็อป : เมื่อกี้ขอโทษไปเยอะ ไม่น่าจะเป็นได้ มันไม่น่าจะดีเท่าไร

วันครบรอบนี่จำกันแม่นไหม?

ท็อป : ถ้าเขาบอกว่าใช่ มันก็ใช่อ่ะ ผมจำไม่ได้จริงๆ ขอสารภาพ
นุ่น : ใช่ค่ะ ครบ 8 ปี
ท็อป : แต่จำได้ว่าขอเขาแต่งงานวันที่ 1 มกราคม เพราะตั้งใจแล้ว ถ้าอันนี้จำได้แน่ๆ

เคล็ดลับอะไรที่ทำให้อยู่กันมานาน 16 ปี?

นุ่น : เราว่าคู่ไหนที่มีปัญหา มันจะมีจังหวะนึงที่บอกว่าไม่เอาแล้ว แต่ด้วยเหตุและผลจะทำให้อยู่ด้วยกันได้ คุยกันด้วยภาษาที่วุฒิภาวะที่ดี ใช่เหตุและผลคุยกันตอนที่อารมณ์ยังไม่ฟุ้งกระจาย มันจะเคลียร์ปัญหาได้ดีที่สุด

ยังคิดที่จะมีลูก เพื่อให้ครอบครัวสมบูรณ์ไหม?

นุ่น : ถ้าตอนนี้ก็ไม่คิดแล้วค่ะ เพราะคิดว่าคู่เราคงไม่เหมาะกับการมีลูก ด้วยพฤติกรรมเราเอย ความชมความสนใจด้วย แต่คิดกันว่าอยากเลี้ยงแมว แต่ยังไม่ผ่านด่านใครเลยที่บ้าน ซึ่งมันยากกว่าการมีลูกอีก (แพ้ขนสัตว์หรือเปล่า?) ไม่เลยด้วยที่เราอาจจะไม่มีเวลา แต่พอเห็นทาสแมวแล้วมันน่ารัก เลยอยากเข้าสู่วงการนี้บ้าง
ท็อป : ตอนนี้ทำได้แค่ซื้อตุ๊กตาแมวจากญี่ปุ่นมาเล่นแทน ในขณะดูทีวี เป็นการซ้อมเล่นๆ ไปก่อน

...

ไม่คิดจะใจอ่อนบ้างหรอ?

ท็อป : ผมว่ามันเป็นการสื่อสารตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว ผมให้นุ่นเขาตัดสินใจว่าอยากมีหรือไม่อยากมี เพราะบ้านผมเขายังไงก็ได้แล้วแต่ และพอนุ่นเขาบอกแบบนี้ก่อนแต่งงาน ซึ่งมันดีนะเพราะถ้าเราไม่คุยกันก่อน แล้วเราดันอยากมีเขาไม่อยากมีมันจะกลายเป็นปัญหา ส่วนแมวคือที่คอนโดห้ามเลี้ยงสัตว์ คือไม่อยากผิดกฎเท่าไร (ย้ายคอนโด?) หรือจะเป็นบ้าน งั้นคงต้องรอซื้อบ้านก่อนและค่อยคิดเรื่องแมว

กำลังดันคุณแม่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ใช่ไหม?

นุ่น : ใช่ค่ะ กำลังดันคุณแม่ ตอนนี้นอกจากสิ่งแวดล้อม สิ่งที่กำลังสนใจคือผู้สูงอายุที่อยู่ในบ้าน และคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะเราออกมาทำงานข้างนอก แต่ถ้าคุณแม่เขาเกษียณต้องอยู่แต่บ้าน เลยไม่อยากให้ช่วงเวลาผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์ เลยไม่รู้จะทำอะไรเลยชวนแม่เป็นอินฟลูฯ ส่วนเราเป็นโปรดักชั่นให้เพื่อให้เขาสนุกและได้พูดในเรื่องที่เขาสนใจคือเรื่องผู้สูงอายุ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การทำกิจกรรม เพราะเรานานๆ กลับไปหาเขาจะมีความตื่นเต้น เลยคิดว่าช่วงเวลาสำคัญในช่วงที่ว่างคืออยู่กลับครอบครัว

...