นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนบนโลกโซเชียลที่กำลังถูกจับตามองอยู่ในขณะนี้ กับประเด็นนักแสดงรุ่นใหญ่ ม้า อรนภา กฤษฎี รับจ๊อบพาลูกค้าซึ่งเป็นนักแสดงน้องใหม่ไปเสริมหล่อที่เกาหลี ปรากฏว่าไม่พอใจที่ชวนไปกินปูแล้วน้องดาราไม่ไป ตบหน้าฉาดใหญ่กลางห้างดัง จนทำให้เกิดการโต้กันไปมาระหว่าง ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ที่ได้ออกมาเปิดประเด็นเรื่องราวดังกล่าว

ล่าสุด (30 พ.ย.65) ม้า อรนภา กฤษฎี ได้ออกมาเปิดใจครั้งแรก หลังจากที่เดินทางกลับจากเกาหลีมาถึงเมืองไทยเมื่อคืนนี้ ถึงประเด็นทั้งหมดที่เกิดขึ้น

"ก่อนอื่นต้องขอโทษพี่มีความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นยอมที่จะรับผิดตรงนี้ไหม ยอมค่ะ และเราก็ขอโทษน้องไปแล้วปรับความเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างแต่ก็ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นน้องเขายังมี บางสิ่งบางอย่างที่ติดคาใจเค้าอยู่ก็เลยทำให้เขาไปปรึกษาทนายหลายคน ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องต้องบอกแบบนี้ว่าเรายังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน

...

จนกระทั่งวันนึงมีการนำเสนอเรื่องราวนี้ขึ้นมาหลังจากที่เราพยายามจะติดต่อน้อง แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งในที่สุดเราก็ต้องติดต่อกับผู้จัดการคนเก่าของเราพอเราได้พูดคุยกันแล้วก็ตกใจกับการนำเสนอข่าวมาก จนไม่กล้าที่จะเจอหน้ากันแต่เราก็พูดคุยกับผู้จัดการของน้อง และในที่สุดเราก็จะได้มาเจอกันในวันที่ 29 พ.ย. ซึ่งตั้งใจว่ากลับถึงเมืองไทยเราจะพูดผ่านสื่อพร้อมกันเพราะรายละเอียดอยากให้รอฟังจากเราทั้ง 2 คนจะดีที่สุด

สิ่งหนึ่งเลยเราต้องขอโทษคุณพ่อคุณแม่เขา และต้องขอโทษกับสิ่งที่พี่ทำผิด และทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวพี่ แต่อย่างหนึ่งเราอยากให้ฟังทั้งสองฝั่ง จากเรา จากป้า อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเรา แต่สุดท้ายเราก็ต้องขอยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นตามมา อันนี้คือสิ่งที่พี่เขียนเอาไว้จะนำไปโพสต์แต่ก็ไม่ได้โพสต์เพราะพี่คิดว่าน่าจะเงียบไปก่อน

ในขณะที่มันมีกระแสข่าวตามมาเยอะมากมายก็ไม่รู้จะตอบโต้กันไปทำอะไร เราทำการตลาดให้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมเกาหลีมานานมาก ใครเห็นก็อยากจะให้เราช่วยแนะนำ ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเป็นราว เวลาเราทำอะไรสิ่งหนึ่งที่เป็นกมลสันดานของเรานั่นคือต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ พอใจในสิ่งที่เราจะต้องทำให้เขา ให้คนที่เขารับพอใจอย่างมากที่สุด

และเคสนี้เรารู้จักกับน้องจากผู้จัดการส่วนตัวมาก่อน และสิ่งหนึ่งที่เราพูดเลยว่าเธอเป็นคนหล่อ แต่เสียอย่างเดียวต้องห้ามมีจมูกงุ้ม ต้องทำตัวเองให้สมบูรณ์แบบ และพาตัวเองเข้าไปสู่วงการบันเทิง ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็เข้าไปปรึกษาแพทย์เรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้มีการนัดหมายอะไร เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะก็ยังมีคนอื่นอีกที่สนใจอยากจะไป

หลังจากนั้นน้องเขาก็ติดต่อกลับมาแล้วบอกเราว่าก่อนจะทำอยากเที่ยวก่อน ซึ่งบอกให้เราพาไปเที่ยวหน่อย เราเลยบอกว่าไม่มีปัญหา เพราะมันเข้าทางเราอยู่แล้ว เราต้องดูแลอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดความประทับใจและไม่ให้เสียชื่อเสียงของเรา ซึ่งเราก็ต้องพยายามจะปิดบังเรื่องราว เพราะมันส่งผลกับการทำงานของน้องในอนาคต

ซึ่งเรานัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วแต่ก็ต้องคลาดกัน จนในที่สุดเขาก็บอกว่าเขาจำไม่ได้เลยต้องไปรอบอื่น ในรอบอื่นต้องไปถึงก่อนฉัน 2 ชั่วโมง ซึ่งเขาก็บอกว่าอยู่ได้ไม่มีปัญหา จนในที่สุดเราก็ไปเจอกัน ก็เข้าไปเช็กอินในโรงแรม แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปกินกาแฟนั่งคุยกันและได้เรียนรู้ เรียกว่าต้องศึกษาอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะทำยังไงให้เขาถูกใจและยิ่งเป็นวัยรุ่น

...

และเขาก็ชวนดิฉันพูดถึงเรื่องการกลับเข้าวงการบันเทิง จนฉันบอกว่ามันไม่ได้แล้ว ก็เลยมีการตบบ่ากันเล็กน้อยว่าไม่ได้ๆ หยุดพูดเรื่องนี้ หลังจากนั้นเราก็พากันไปกินข้าว และพากันไปไหว้พระเสมอ แต่ทางตอนเย็นเราหาร้านอาหารที่จะต้องกินกันคุยกันไปคุยกันมาก็เลยบอกว่า “ไปกินปูกันไหม” เสร็จแล้วเราก็บอกเอาไหม เขาก็บอกเอาครับ ผมชอบกินปู

ก่อนออกจากโรงแรมฉันก็ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งเวลานั้นร้านอาหารในเกาหลีช่วงนั้นร้านปิดเยอะมาก เราเลยให้ทางโรงแรมที่เราพักโทรไปเช็กว่าวันนี้ร้านเปิดไหม และสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือการไปกินเร็วๆ เพราะต้องงดน้ำงดอาหารก่อนการทำศัลยกรรม วันนั้นหลังจากไหว้พระเสร็จมันก็จะมีห้องสมุดใหญ่โตมากก็เลยชวนกันไป แต่สุดท้ายก็ได้ไปที่โซลทาวเวอร์ หลังจากนั้นเขาก็อาสาถ่ายรูปให้เรา ถ่ายคลิปให้เรา

ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ขอแยกกันไป เพราะเราสองคนความชอบมันไม่เหมือนกัน เราก็พยายามเก็บข้อมูลและจะปรับให้ได้ดีที่สุด ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ต้องเกรงใจ และเราก็ปล่อยให้เขาไปเที่ยว ส่วนนี้ฉันก็นั่งรอ จนเวลาผ่านไปเราก็สั่งขนมวัฟเฟิลและแบ่งไว้ให้เขา พอเค้าเดินกลับมาก็ถือถุงช็อปปิ้งมาเยอะเลย

ซึ่งก่อนที่จะไปกินข้าว เราก็ถามเขาว่าถือของมาเยอะขนาดนี้ไหวไหม กลัวน้องจะหนัก ในขณะที่หิ้วไปเราก็พูดว่าถ้าเป็นในเมืองไทยเราจะรู้จักคนเยอะแยะและจะเอาของไปฝาก แต่พออยู่กลางเมียงดงมันเงียบเหงามาก มันฝากไม่ได้ เราก็ย้ำครั้งที่สองว่าไหวไหม เพราะของมันเยอะเหลือเกิน พอเขาบอกว่าไหวก็เดินไปที่ร้านรองเท้า พอดูเสร็จและซื้อกับจ่ายตังค์เรียบร้อย และเขาก็ลุกขึ้นยืนมาพูดว่า “ไม่ไปกินปูแล้วนะ” จนดิฉันมือไวแล้วเผลอตบหน้า ตอนนั้นฉันก็แอบตกใจเหมือนกัน เพราะแผนการเราตั้งใจวางไว้กันหมดแล้ว

...

ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจ เขาก็บอกมาตบหน้าผมเลยเหรอ ทำแบบนี้กับผมไม่ได้ เราก็ต้องขอโทษเขาในตอนนั้น ซึ่งเราขอใช้คำว่าแตะ ไม่ได้ตบแบบสุดแรง หรือมีรอยมีแผล แล้วเขาก็บอกว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ผมโกรธมาก เราก็รู้สึกเสียใจมาก และปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์สักพักใหญ่ และเห็นว่าเขายังไม่ไปไหน เราเลยเดินเข้าไปและจับมือเขาบอกขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เพราะถามมาตลอดแล้ว แล้วก็ไม่มีการปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น ยังคิดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมอยู่ ก็เลยบอกเขาว่าเวลาน้องจะทำอะไร การที่เราจะอยู่ร่วมกันกับใคร เราต้องพูดกันดีๆ เพราะมันไม่มีการบอกเลยว่าไม่มีการไป และดิฉันก็เป็นคนมือไว

จนเขาก็เข้ามาบอกว่าจริงๆ ผมเคารพแม่มากเลยนะ และขอบคุณแม่มากที่สอนผมทุกอย่าง จนเขาก็เลยบอกว่างั้นไปกินปูกัน เราก็เลยเรียกแท็กซี่ไปกินปูที่ร้าน ในขณะที่กินไปแล้วก็มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการเป็นอยู่ต่างๆ ทั่วไป ในระหว่างนั้นเขาก็ถ่ายคลิปอาหารบนโต๊ะ จนเราก็เลยบอกเขาว่าฝากถ่ายห่อหมกเราไปด้วยหน่อย หลังจากนั้นก็กินกันจนอิ่ม และบอกเราว่าอยากกลับไปดูละคร

...

พอกลับไปถึงโรงแรมแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เราเจอกันตอน 11 โมงครึ่ง เพราะต้องไปพบแพทย์และเข้าห้องผ่าตัดตอนบ่ายโมง ในใจเราก็พยายามบอกเขาว่าต้องห้ามดื่มน้ำ ห้ามกินอาหารก่อนผ่าตัด แต่เรารู้ว่าวัยรุ่นมันก็กลัวว่าจะไปผับบาร์ ซึ่งพอตื่นเช้ามาเราก็ต้องโทร.ปลุกแล้วก็ถามเขาว่าไปไหนมาไหม แต่เขาบอกว่าไม่ได้กินน้ำดื่ม ไม่ได้ดื่มอะไร หลังจากนั้นก็เดินทางไปส่งเขาเข้าห้องผ่าตัด ตอนเย็นแล้วก็กลับไปรับเขา

พอตื่นเช้ามาหลังจากวันแรกที่ทำเสร็จ ด้วยความที่เป็นห่วงแล้วก็ไปเคาะห้องเข้าไปดูผลของการทำจมูก พอคุยเสร็จก็ถามว่าจะไปไหน เพราะเขาเป็นลูกค้า เราก็เลยบอกว่ายังไงต้องออกไปเดินนะ เพราะการเดินมันจะทำให้เกิดการลดบวมได้เร็วที่สุด หลังจากนั้นเราก็ปล่อย และดิฉันก็ไปลั้นลากับคนอื่น พอตกกลางคืนเราก็ยังบอกว่าต้องกินข้าวกินยานะ ซึ่งอีกวันนึงก็ทำแบบนี้เหมือนกัน เพราะหลังจากนั้นอีกสามวันต้องพาเขาไปล้างแผลและถอดเฝือก

พอถึงวันที่ล้างแผล เราก็ต้องดูแลให้เขาจนถึงที่สุด หลังจากนั้นก็เดินออกมาหน้าโรงพยาบาลและเขาก็พูดว่าเดี๋ยววันที่ 29 พ.ย. เจอกันครับ คือวันที่จะต้องตัดไหมและเราก็ต้องไปสนามบินเพื่อกลับ

และในเย็นวันนั้น ก็มีทนายพูดว่าให้เรารีบออกจากประเทศเดี๋ยวนี้ เราก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยคงคิดว่าคงมีการจะแจ้งความเกิดขึ้น หลังจากนั้นทัวร์ก็ลงดิฉันหน้าไอจี ซึ่งดิฉันก็ชินแล้วเพราะโดนแบบนี้มาตลอดชีวิต จนกระทั่งมีคลิปออกมาเราก็ยังลงไอจีของเราว่าไปนี่ ไปตรงนั้น ไปเที่ยวตรงนี้ ซึ่งเราก็ต้องปล่อยน้องเขาไป

ส่วนภาพที่มีตำรวจและเห็นเรา เราก็คิดว่าเขาคงจะได้รับการแนะนำมาจากทนายว่าต้องทำแบบนี้ พอดีฉันรู้เรื่องแล้วว่ามันมีเรื่องราว เราก็โทรหาเขาทันทีแต่เขาไม่รับ เลยพิมพ์แปลว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ พอถามไปไม่ตอบเราก็เลยกดลบคำถามเรา ซึ่งเราก็สงสัยและได้คุยกับทางเมืองไทยว่าน้องเขาเป็นคนแบบนี้ไหม พอสอบถามไปทางโรงแรมก็บอกว่าน้องเขาได้หนีออกไปแล้ว และดิฉันก็ต้องจัดการไปที่ฟรอนต์โรงแรมทันที

แต่เราก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่ในเรื่องของการทำศัลยกรรม ซึ่งเราก็ต้องแจ้งกับทางโรงพยาบาลว่ามันเป็นแบบนี้นะ น้องเขาไม่อยู่แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นเราต้องเป็นคนจ่ายเงินเอง ซึ่งในขณะผู้จัดการของน้องเองเขาก็บอกมาว่าตอนนี้น้องเขาเครียดมาก และเขาก็อยากสั่งสอนเราด้วย ดิฉันก็ได้รับบทเรียนแล้วหลังจากที่พลั้งมือตบน้องเข้าไป

ซึ่งกับน้องเราคิดว่ามันน่าจะจบกันที่ดินถนนตรงเมียงดงแล้ว เพราะเราได้มีการเคลียร์ใจกันแล้วพูดคุยกันแล้วขอโทษกันแล้ว และจับมือกันไปกินปู ยืนยันว่าเรื่องนี้ยังไม่เกิดเป็นคดีความ แต่หลังจากนี้กับคนอื่นเรื่องจะเป็นยังไงต่อเราก็ไม่รู้ ต้องรอติดตามต่อไป”.