เป็นอีกหนึ่งสาวสวยมากความสามารถอีกรายของวงการบันเทิง สำหรับ ซาร่า นลิน โฮเลอร์ หรือ ซาร่า AF3 ที่นอกจากจะมีความสามารถด้านการร้องเพลง การเต้น ยังเป็นที่รู้จักจากบทบาทพิธีกรรายการต่างๆ และแจ้งเกิดแบบเต็มๆ จากการเป็นคอมเมนเตเตอร์รายการเพลงชื่อดัง “The Mask Singer หน้ากากนักร้อง” และล่าสุดก็ถูกจับตามองถึงความสัมพันธ์กับ แอช จอร์แดน นักธุรกิจหนุ่ม ที่ก่อนหน้านี้มีประสบการณ์ด้านโปรดิวเซอร์เพลงให้กับศิลปินชื่อดังอย่าง 50 Cent มาแล้ว

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนซาร่ามาย้อนวันวานเมื่อครั้งยังเป็นนักล่าฝันลากกระเป๋าเข้าบ้านเอเอฟในรายการ “อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่น 3” ที่ในเวลานั้นเจอดราม่าสนั่น ความสามารถสู้รุ่นพี่ไม่ได้ ก่อนจะพิสูจน์ตัวเองจนได้โกอินเตอร์มีผลงานเพลงที่ประเทศจีน แต่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง ก่อนจะมีชื่อเสียงในงานพิธีกรและคอมเมนเตเตอร์ รวมไปถึงวันที่โชคชะตาทำให้เธอมารู้จักกับแอช และทำเพลงร่วมกันในนาม Junglcity ซึ่งเป็นการกลับมาทำเพลงอีกครั้งในรอบ 8 ปีของซาร่า

...

นักล่าฝัน

ในวันแรกของวงการบันเทิงของซาร่า นลิน เมื่อเข้าประกวดรายการ “อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่น 3” และเข้ารอบ 12 คนสุดท้าย เมื่อถามถึงการตัดสินใจในการประกวดครั้งนั้น ซาร่าบอกว่า “จริงๆ หนูมีความฝันตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตั้งแต่จำความได้ 5-6 ขวบ พี่สาวก็ชอบสอนหนูเต้นแล้ว ชอบดูวิดีโอ ดูเอ็มทีวี ดูมิวสิกวิดีโอ ศิลปินที่เป็นไอดอลที่ชอบก็มีบริตนีย์ สเปียร์ส, คริสติน่า อากีเลร่า, เจนนิเฟอร์ โลเปซ ชอบดูคอนเสิร์ตเขา เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าเรามีโอกาสไปอยู่ต่างประเทศ หนูอยากทำแบบนี้ แต่ด้วยความเราอยู่เมืองไทย ตอนนั้นอยู่เชียงใหม่ ก็คิดว่ามันไกลเกินกว่าที่จะไปอยู่จุดนั้น แค่มองก็ปลื้ม

จนโอกาสพามาเข้าเอเอฟ หนูก็เคารพทุกโอกาสที่ได้มา แต่เรายังเด็ก ต้องฝึกอีกเยอะ เรามีแค่ฝันแต่ยังไม่เคยลงมือจริงจัง เราไม่กลัวเวที พร้อมที่จะเต้น เวลาเต้นมีความสุขมาก ช่วงก่อนเข้าเอเอฟก็ไปฝึกเต้น เรื่องเต้นมาอันดับ 1 เลย หนูเข้าเอเอฟมาก็ใช้เต้นเข้าสู้จนติด 12 คน หนูมีพี่สาวที่เป็นแดนเซอร์ด้วย ทำให้เราอยู่กับเวทีเยอะ เป็นคนที่ในโรงเรียนคุณครูจะให้ทำกิจกรรมเยอะ เป็นนิสัยที่ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก”

ในช่วงนั้น AF3 เจอกระแสดราม่าเปรียบเทียบกับ AF 1-2 ว่าสู้รุ่นพี่ไม่ได้ ถามว่าผ่านพ้นช่วงเวลานั้นอย่างไร ซาร่าบอกว่า “ตอนนั้นหนูแค่โฟกัสว่าอยากทำให้ได้ ทุกคนก็รู้แหละว่ามาตรฐานของแต่ละคนไม่เท่ากัน ของหนูเอาเต้นเข้าช่วย ถ้าหนูไม่มีเต้นหรือความมั่นใจในการแสดงออกก็คงไม่ได้เข้าถึงรอบลึกๆ แต่แค่เรื่องร้องที่เรายังรู้สึกไม่เข้าใจ คุณครูก็พยายามสอน หนูว่าความเข้าใจของแต่ละคนใช้เวลาไม่เหมือนกัน

แต่ตอนที่เข้าบ้าน AF เราไม่รู้กระแสอะไรเลยเพราะยังไม่มีโซเชียลมีเดีย พันทิปคือหรูสุดแล้วตอนนั้น เราจะรู้กระแสก็คือตอนไปคอนเสิร์ตแล้วเห็นคนกรี๊ดกร๊าด แต่เราก็รู้ตัวนะว่าเรามีอะไรต้องพัฒนาอีกเยอะ ตอนนั้นก็มีแค่คำถามว่าทำไมทำไม่ได้สักที มันมีความไม่เข้าใจหลายๆ อย่าง จนออกจากบ้านเอเอฟมาเราก็มีความมั่นใจไปสู้กับสิ่งที่บกพร่องของเรา แต่เราไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะสิ่งที่ต้องเปรียบเทียบก็คือเราดีกว่าเมื่อวานยังไง หนูก็รู้สึกว่าพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ”

ชีวิตหลังออกจากบ้าน AF

ซาร่าเล่าถึงชีวิตหลังออกจากบ้าน AF3 ว่าช่วงนั้นดังมาก แฟนคลับแน่นมาก สมัยก่อนไปตึกทิปโก้ ลงมามีแฟนคลับรอเยอะ ต้องมีรถตู้ มีการ์ดดูแล มีอัลบั้มต่างๆ ออกมาเยอะมาก โฆษณาเยอะมาก มีไปรายการต่างๆ เยอะ ตอนนั้นกำลังบูม จนกระทั่งมีคนติดต่อให้ไปประเทศจีน ซึ่งก็เป็นจุดเปลี่ยน ลังเลว่าไปหรือไม่ไปดี

“ช่วงนั้นตัดสินใจยากเลยค่ะ เพราะงานที่นี่กำลังดี พิธีกรรายการใหม่ก็เยอะมาก แต่ในใจของหนูคิดว่ามันอาจเป็นโอกาสอีกอันนึง คือหนูอยากไปต่างประเทศตั้งแต่เด็ก อยากโกอินเตอร์ พอได้ไปจีน ในใจก็คิดว่าจะใช่โกอินเตอร์มั้ย แต่อย่างน้อยก็ได้ลองประสบการณ์ที่เราไม่ได้อยู่ในที่ที่เรารู้อยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจไปใช้ชีวิตที่โน่น 4 ปี ชีวิตที่จีนเป็นคล้ายๆ ตอนที่เข้าเอเอฟใหม่ๆ เลยค่ะ เหมือนเริ่มต้นใหม่ แต่เริ่มต้นในต่างแดนกับอีกสังคมนึง ต้องปรับตัว ทำงานอีกวงการที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน แฟนคลับมีแต่เราสื่อสารกับเขาไม่ได้ดีเท่าอยู่ในเมืองไทย

...

เป็นช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้และได้ภาษาจีนกลับมา ทำให้เราโตขึ้น เหมือนได้เจอตัวเองอีกมุมนึงว่าการทำงานตรงนี้ต้องวางตัวยังไง ทำงานยังไง เรื่องภาษาก็ลำบากเพราะที่นั่นไม่ค่อยมีใครพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็เปิดโลกค่ะ ถามว่าเครียดมั้ยก็มีเครียดนะ แต่หนูก็สนุกกับมัน มีอะไรใหม่ๆ ให้เจอทุกวัน แต่เรื่องผลงานเพลงอาจไม่ได้ตามที่เราคาดหวังมาก เพราะมีแค่อัลบั้มเดียวเอง แต่ไปอยู่ตั้ง 4 ปี พอกลับจากจีนก็ทำให้เป็นตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะเล่นมุกมากขึ้น กล้าที่จะทำให้คนได้เห็นเรา เพราะตอนที่ไปจีนเราค่อยๆ หายไป เราคิดถึงเมืองไทยมาก กลับมาเมืองไทยก็จัดเต็ม เล่นให้สุด เหมือนว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำงานอีกแล้ว เต็มที่กับทุกงาน”

พอกลับมาเมืองไทยก็ได้โอกาสกลับมาทำงานในวงการบันเทิงไทยต่ออีกครั้ง ซึ่งซาร่าบอกว่า “ก็ต้องขอบคุณโอกาสค่ะ จริงๆ จุดเริ่มต้นหลังกลับจากจีนคือรายการตีสิบเดย์ ที่เป็นพิธีกรคู่กับแพท (ณปภา ตันตระกูล) เริ่มเป็นตัวเอง คนเริ่มจำได้ หลังจากนั้นก็ไปเล่นตลกกับพี่หอย (เกียรติศักดิ์ อุดมนาค) เริ่มต้นที่รายการงานเข้าที่เล้าเป็ด พี่หอยก็เห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา แล้วเราก็กระหายงานมาก พี่หอยก็ผลักดันมารายการเขาเยอะขึ้น

...

จนกระทั่งรายการ The Mask Singer เชิญเราเป็นคอมเมนเตเตอร์คู่กับพี่หอย เราเคยทำงานกันแล้วเลยรู้กัน พี่หอยสอนเสมอว่าเล่นไปเถอะ ดีกว่าเงียบหายไป เพราะคนจ้างเราไปเพื่อสร้างความสนุก ทำให้เราไปทำงานทุกครั้ง เราต้องเต็มที่กับมันให้ดีที่สุด เหมือนเป็นงานสุดท้ายของเรา พอคนแซวว่ามุกแป้ก ก็ภูมิใจนะคะเพราะไม่มีใครทำ ส่วนใหญ่ผู้หญิงไม่ค่อยกล้าเป็นแนวบ้าบอ อาจเพราะตอนไปอยู่ที่จีนได้เจอโลกมากขึ้น ซื่อสัตย์กับตัวเองมากขึ้น เราเคยพยายามทำตัวให้คนอื่นชอบ แต่ตอนนั้นเราชอบตัวเองตอนนั้นหรือเปล่า เรามีความสุขกับการเป็นผู้หญิงเรียบร้อยมั้ย คือเราเคยฝืนจนเกินไปจนความฝืนแตกสลาย เลยกล้าปลดปล่อยมากขึ้น ไม่ห่วงสวย ไม่กลัวว่าจะผิด เพราะถ้าเรากลัวผิด เราจะไม่กล้าที่จะทำ”

เคยทำเพลงให้ศิลปินดัง

จากนั้นเราถามถึงประสบการณ์ด้านการทำเพลงของแอชเมื่อครั้งเขายังอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขานั่งนึกอยู่แวบหนึ่งแล้วเล่าให้ฟังว่า “ผมเริ่มชอบดนตรีตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ เพราะคุณพ่อเป็นโปรดิวเซอร์ มีสตูดิโออยู่ที่บ้าน และคุณพ่อเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินที่โน่น เป็นวงการฮิปฮอป ก็อยู่วงการดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อเป็นนักดนตรีกีตาร์คลาสสิก เครื่องดนตรีแรกที่ผมเล่นคือไวโอลิน เล่นตั้งแต่เด็ก เล่นมา 6 ปี ช่วงอายุ 13-14 ก็เริ่มฝึกเป็นดีเจ Turntable ตอนอยู่ไฮสกูลก็เรียนเกี่ยวกับทำดนตรีกับเพื่อนๆ หลังจากเรียนจบดนตรีก็ยังอยู่ในคลีฟแลนด์แล้วมาทำงานในเมืองกับโปรดิวเซอร์

ซี่งโปรดิวเซอร์กลุ่มที่ผมร่วมทำงานด้วยชื่อ AI (Artificial Intelligent) แล้วเขาโปรดิวซ์ให้กับศิลปินดังๆ ที่นิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย เช่น 50 Cent แล้วผมก็ได้เซ็นสัญญาช่วงอายุ 18-19 ปี และทำงานโปรดิวเซอร์มากับทีม AI ผมก็อยากออกจากคลีฟแลนด์เหมือนกัน เพราะอยากเรียนเกี่ยวกับธุรกิจและดนตรีให้มากขึ้น เลยไปนิวเจอร์ซีย์ ไปอยู่กับบริษัทประชาสัมพันธ์ด้านดนตรีที่ใหญ่ที่สุดของที่โน่น แล้วไปทำงานผู้ช่วยซีอีโอของบริษัท W&W Public Relations ซึ่งเป็นที่รู้จักในอเมริกา

...

แต่หลังจากที่ซีอีโอที่ทำงานด้วย (Patti Webster) เป็นโรคมะเร็งและเสียชีวิต ในบริษัทเริ่มมีการเปลี่ยนระบบไปเยอะ เลยตัดสินใจออกมาทำบริษัทเอง ซึ่งเกี่ยวกับดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง โปรโมตการตลาดเกี่ยวกับไฟแนนซ์ เหมือนหมดพลังการทำเพลงไปสักพักเหมือนกันหลังจากคนที่ผมทำงานด้วยและรักมากเสียชีวิตไป แต่ดนตรีก็ยังเป็นแพสชันของผมอยู่ ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ส่วนใหญ่การทำดนตรีของผมเหมือนเป็นการบำบัดตัวเองมากกว่า

แล้วคุณพ่อผมที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้หลายที่ เคยทำงานที่จีน เกาหลี แต่เขาไปในเชิงธุรกิจมากกว่า คุณพ่อเลยพาผมไปเกาหลีด้วย ไปอยู่ที่นั่นอาทิตย์นึง แล้วผมเริ่มชอบเอเชียมากขึ้น เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่เกาหลีปีนึง แล้วตอนนั้นพี่ชายของผมอยู่เมืองไทย ทำงานให้กับรัฐบาลอเมริกาที่วอชิงตันดีซี แต่เขามาเมืองไทยในตอนนั้น เขาก็บอกว่าควรมาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งตอนที่อยู่เกาหลี ผมก็ทำเพลงที่เกาหลีด้วย มีอัลบั้มเพลงและได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตในเกาหลีมา แต่ด้วยความเป็นชาวต่างชาติจะทำงานที่เกาหลีลำบาก สุดท้ายจึงตัดสินใจมาเมืองไทย

แต่พอมาเมืองไทยผมแค่โฟกัสเรื่องบริษัทของผมเหมือนเดิมคือไอทีมาร์เก็ตติ้ง ท่องเที่ยว เริ่มทำบริษัทเกี่ยวกับการบริการโฆษณาของอเมริกากับรัฐบาลไทย แล้วก็เจอโควิดเข้ามา พาร์ตเนอร์ที่ทำร่วมกันก็กลับไป ไม่ได้ทำงานกับผมต่อ แต่ผมยังอยากอยู่เมืองไทยเพราะมีความเชื่อในบางอย่างที่อยากทำอะไรในเมืองไทย”

ถึงตรงนี้ซาร่าเสริมว่า “ก็เป็นช่วงที่หนูเงียบหายไปช่วงนึง ต่างคนต่างสูญเสียหลายๆ อย่าง เขาสูญเสียเรื่องงาน หนูสูญเสียหลายๆ อย่างในเมืองไทย ตอนนั้นไม่มีงานเลย เป็นช่วงเวลาที่ต่างคนต่างใช้เวลาอยู่คนเดียวมาสักพัก หนูใช้เวลาโฟกัสอยู่กับตัวเอง หาสิ่งดีๆ ศึกษา เขาก็โฟกัสการทำงานของเขามาเรื่อยๆ”

วันที่รู้จักกัน

ซาร่าเล่าว่า หลังจากต่างคนต่างอยู่คนเดียวมาสักพักก็ได้มีโอกาสเจอกัน พอถามว่าเจอกันได้ยังไง ซาร่าบอกว่า “เดินห้างค่ะ หนูไปซื้อเสื้อผ้าร้านเดียวกันกับเขา อยู่ดีๆ เขาก็เข้ามาทักเลยโดยที่ใส่แมสก์ด้วย เขาไม่รู้ว่าเราเป็นดารา มันเป็นวันเกิดเขาพอดี เขาก็ขอไลน์เราไปและทักมา แต่หนูก็ไม่ได้ตอบเขาเลย 3 อาทิตย์ จนเขาส่งข้อความมาอีกว่า ผมว่ามันแปลกที่การที่มีคนมาติดต่อคุณในที่สาธารณะ มันอาจทำให้คุณรู้สึกแปลกๆ แต่ว่าคุณเคยรู้สึกต้องรู้จักใครสักคนมั้ย ผมโฟกัสที่มิตรภาพความเป็นเพื่อนนะ ซึ่งเขาไม่ได้คุกคามอะไรเราเลย แต่เราไม่ตอบเขาเอง เราไม่คิดอยากจะคุยกับใครอยู่แล้วค่ะ ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นเพื่อนสาว แต่หลังจาก 3 อาทิตย์ เราก็ตัดสินใจนัดเจอกัน”

แอชเสริมว่า “ก่อนที่จะรู้จักกัน ต่างคนต่างใช้เวลาของตัวเองภายใน 1 ปี อยู่คนละโลก และโลกของแต่ละคนเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเราทั้งคู่ จนกระทั่งมาเจอกันก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ ค่อยๆ เริ่มพัฒนาการเจอกันแต่ละครั้งไปเรื่อยๆ เหมือนมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้จดจำ” ซาร่าเล่าต่อ “ตอนที่นัดกันครั้งแรก เขานัดเจอที่ร้านอาหารวีแกน ซึ่งเป็นอาหารที่หนูกินมา 1 ปี หนูก็แปลกใจเพราะว่าถ้าคนไม่ได้ติดตามไอจีจะไม่รู้ ถ้าคนไม่รู้จักเราจะไม่รู้ ซึ่งเขาบอกว่าเขาไม่ได้กินจริงจังแต่มีเพื่อนแนะนำ เขาชอบร้านนี้เพราะกินแล้วสบายท้อง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาที่ได้แชร์ความชอบให้เขาฟัง แล้วครั้งที่ 2 ก็พาไปกินเจ

พอครั้งที่ 3 พาไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เขาถึงเอะใจว่าหนูน่าจะเป็นคนที่มีคนรู้จักเพราะมี รปภ. มาขอถ่ายรูปหนูเขาเลยเริ่มสังเกตว่าคนรอบตัวที่เจอเรามีปฏิกิริยายิ้มหรือมอง หนูเลยถามว่าจะรู้สึกแปลกมั้ยถ้าเขารู้ทีหลังว่าหนูเป็นศิลปิน เขาก็บอกว่าไม่ได้รู้สึกแปลก แต่รู้สึกว่าเห็นหนูครั้งแรกยังไง เขาก็ยังเห็นหนูเป็นแบบนั้น คือเป็นตัวตนของเรามากกว่าเป็นศิลปินดารา เพราะเขาเจอศิลปินดาราเยอะ พอมีเรื่องดนตรีมาคุยกันทำให้มีความตื่นเต้น อยากกลับมาทำสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็อยากกลับมาทำเพลง หนูก็คิดถึงงานเพลง พอมาเจอกันทั้งสองฝ่ายและทำด้วยกันก็เป็นอะไรที่สนุกมากๆ ท้าทาย

ถามว่าตอนที่รู้ว่าเขาเป็นโปรดิวเซอร์แปลกใจมั้ย คือด้วยความที่มันเป็นบุคลิกเขา มีครั้งนึงเขาไลน์มาคุยแบบแร็ปเปอร์ เราเห็นความเป็นศิลปินในตัวเขา หลังจากนั้นก็คุยเรื่องดนตรีมากขึ้น เขาก็ถามถึงผลงานของเราว่ามีที่โปรดิวซ์เองมั้ย แต่หนูไม่มีเลย ก็บอกเขาตรงๆ ว่าเรามีแต่เพลงที่บริษัททำให้ เลยแชร์ผลงาน iME ให้เขาดู เขาก็ถามว่าไม่อยากทำเพลงอีกเหรอ มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ลองกลับมาทำเพลง เขามีสตูดิโอที่บ้านอยู่แล้ว เขามีเพลงที่ทำเยอะมากแต่ไม่ได้ปล่อยออกมา เขาก็สอนหนูทำจนเริ่มทำเพลงเองได้”

ความสัมพันธ์ครั้งนี้ซาร่าบอกว่าเป็นไปด้วยดี ต่างคนต่างให้สเปซกันและกัน เหมือนเข้าใจกันแบบผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนี้รู้จักกันเกือบปี โดยทั้งคู่รู้จักกันเมื่อเดือน ก.ย. 2564 ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ซาร่าบอกว่ารู้สึกเร็วมาก ส่วนแอชบอกว่าทุกอย่างก็ปล่อยให้เป็นธรรมชาติในแต่ละวัน ตนนับถือศาสนาคริสต์ จะเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าส่งมาในเวลาที่เหมาะสม ซาร่าเสริมว่าอะไรจะเกิดก็เกิด จะใช่ก็ใช่ แต่ถ้าไม่ใช่ ถึงเวลาก็แค่ยอมรับ ใช้ชีวิตเหมือนเข้าใจโลก เข้าใจปัญหา ไม่ได้แชร์แค่ด้านดี เราแชร์ด้านไม่ดีของกันและกันด้วย เพราะไม่ใช่เด็กๆ มีอะไรก็คุยกันตรงๆ

เมื่อถามว่าถ้าให้พูดถึงความสัมพันธ์ตอนนี้เป็นยังไง ซาร่าถึงกับทำท่าสลบแป๊บ ก่อนจะบอกว่าให้เป็นวันต่อวัน ด้านแอชพูดบ้าง “ผมก็ถามว่าเขาจะเป็นแฟนรึยัง (ยิ้ม)” แต่งานนี้ซาร่าบอกว่า “แต่หนูบอกไปว่าหนูไม่อยากใช้คำพวกนี้มาระบุสถานะ อยากให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือการบอกรักบางครั้งไม่ได้หมายความว่าคุณรัก บางทีบอกรักแต่การกระทำมันไม่ใช่ หนูเชื่อในการกระทำมากกว่า ก็ให้รู้สึกกันตรงนั้นในแต่ละวัน ตอนนี้ก็เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน เราไม่ได้ใช้คำว่าแฟนเพื่อผูกมัด เราแค่ใช้ทุกโมเมนต์แคร์ซึ่งกันและกันมากกว่า” ส่วนแอชบอกว่า “ตราบใดที่รู้ว่าเขาโอเค ผมก็โอเค”

การทำเพลงร่วมกัน

ซาร่าเริ่มต้นเล่าถึงซิงเกิล Tigerz ถึงที่มาที่ไปว่า “เนื้อเพลงเกิดจากแรงบันดาลใจของพี่แอชที่เขาดูยูทูบแล้วเจอนิทานธรรมะที่สอนเรื่องการหาความสุขเล็กๆ ในสถานการณ์ที่มันทุกข์ อย่าจมปลักกับความทุกข์ ก็เลยเกิดเป็นเพลงนี้ จุดเริ่มต้นการทำเพลงคือเขาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องการทำเพลง เป็นโปรดิวเซอร์ มีประสบการณ์ที่อเมริกา ส่วนหนูไม่ได้ทำเพลง 8 ปี พอได้รู้จักกัน เขาก็มาปลุกให้เรากล้าที่จะลองทำเพลงด้วยตัวเองสักครั้ง”

ถามว่ากลับมาทำเพลงในรอบ 8 ปีเป็นยังไง ซาร่าบอกว่า “จริงๆ หนูชอบทุกผลงานที่มีโอกาสได้ทำ เป็นวิชาเรียนรู้ที่เก็บสะสมเรื่อยๆ หนูมีความสุขกับทุกงานที่ได้ทำ เพื่อให้คนจ้างเราไม่เสียดาย เราต้องให้เต็มที่ ความฝันหนูตั้งแต่ก่อนเข้าเอเอฟคือการเป็นศิลปินนักร้อง มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นเข้ามาในวงการ ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ จากประสบการณ์ในเมืองไทยและที่จีน กลับมาเมืองไทยเหมือนค้นหาตัวเอง ก็มีจังหวะที่คนอยากให้ทำเพลง แต่หนูยังรู้สึกไม่พร้อม สุดท้ายเหมือนค่อยๆ กลั่นกรองตัวเองจนหาตัวเองเจอว่าเราไม่ใช่คนตลกตลอดเวลา เรามีความทุกข์แล้วผ่านไปได้ยังไง การมีผลงานเพลงที่เรารู้สึกภูมิใจ สร้างแรงบันดาลใจให้เรา เลยอยากทำเพลงแบบนี้ที่กลับมาฟังอีก 10 ปีก็มีความหมาย”

ด้านแอชเผยความรู้สึกที่ได้มาทำงานเพลงร่วมกับซาร่าว่า “รู้สึกสุดยอดที่ได้ทำงานด้วยกัน เพราะว่าซาร่าเป็นคนพลังเยอะมาก วันไหนที่เหนื่อยๆ จะปลุกพลังซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพร้อมที่จะลุยไปด้วยกัน แชร์พลังกัน การทำงานสมัยก่อนกับตอนนี้แตกต่างกัน เมื่อก่อนทำเป็นแพตเทิร์น แต่ครั้งนี้ก็สอนให้เป็นตัวเอง สื่อความหมายให้เป็นตัวเองมากที่สุด เกิดจากการฟังก่อน ฟังแล้วรู้สึกแล้วค่อยถ่ายทอดอย่างจริงใจ”

ซาร่าเสริม “เขาเห็นการเติบโตตั้งแต่ไอมี่ (iME) เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นหนูยังไม่เป็นตัวเองมาก หลังจากนั้นไม่ได้ทำเพลงอีกเลย พอมาทำเพลงครั้งนี้ เขาก็ได้เห็นอีกสไตล์นึงที่หลายคนไม่เห็น เขาได้เห็นอีกมุมนึงของเรา พัฒนาการภายในระยะการทำงานด้วยกันใน 4 เดือน เมื่อก่อนเขาอยู่สตูดิโอ เป็นคนอัดเสียงให้ เป็นคนคุม ตอนนี้หนูทำเองหมดทุกอย่าง ก็ได้เห็นการเติบโตของเราด้วย เมื่อก่อนคิดว่ามันยาก เพราะเราทำผ่านบริษัท และเขามีให้เราสำเร็จเลย ก็คิดว่าถ้าไม่มีบริษัท เราก็ทำเพลงไม่ได้ แต่งเพลงก็ไม่มีความรู้เลย พอทำงานกับเขาก็ง่ายขึ้น”

ในส่วนมิวสิกวิดีโอ ซาร่าบอกว่าเธอวาดสตอรี่บอร์ดเอง ทำเองหมด คอนเซปต์เกิดจากด้วยเนื้อเพลงเกี่ยวกับเรื่องในป่า เลยอยากถ่ายในป่า ใจอยากไปถ่ายที่ จ.เชียงใหม่ เพราะเป็นคน จ.เชียงใหม่ แต่เดินทางลำบาก เลยคิดว่าป่าที่ใกล้ที่สุดคือที่เขาใหญ่ เลยขออนุญาตทางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เพื่อถ่ายทำ “พอมาทำเอง เราเห็นภาพเองชัดขึ้น เรารู้ว่าเป้าหมายในการสื่อความหมายจะไปทางไหน แล้วเขามาอยู่ในพาร์ตโปรดักชันเพลงด้วย ทำให้รู้สึกเป็นอินเตอร์มากขึ้น เขามาแร็ปด้วย มีเขาอยู่ในป่าเมืองไทยน่าจะเจ๋ง เลยถ่ายที่เขาใหญ่ ใส่ความที่เราอยากทำลงไป ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ แล้วมันก็เกิดขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของทุกคน ได้ทีมกล้อง แดนเซอร์ที่เป็นเพื่อนกัน มีนักออกแบบท่าเต้น ทุกคนทำงานเป็นทีมมาก ถ่ายเอ็มวีเสร็จภายใน 1 วัน”

ค่ายเพลงอินดี้

ห่างหายไป 8 ปี พอกลับมาทำเพลงและค่ายเพลงเองในยุคนี้ มีความกดดันไหม ซาร่าบอกว่า “คือเราสองคนไม่คิดว่าจะแข่งขันกับใคร เราทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่ได้คาดหวังหรือกดดัน พอทำเพลงให้คนฟัง เขาบอกว่าไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เพราะมันไม่มีต้นแบบจากใคร เราทำกันแบบออร์แกนิกมากๆ”

แอชตอบชัดเจนว่า “เราทำเพลงแบบอินดี้ เป็นตัวของตัวเองมาก ไม่ได้ขึ้นอยู่ค่ายใด แต่เราได้ทำกับค่ายโซนี่ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายเพลงให้เรา แต่เราทำเพลงภายใต้แบรนด์ของเราเอง ค่ายของเราเอง เราต้องการให้คนได้เป็นตัวเอง ได้เจอตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพราะฉะนั้นค่ายเราเปิดรับเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องการค้นหาตัวเอง มีความเป็นตัวเองสูงมากๆ อยากนำเด็กมาพัฒนาผลักดันกับโปรดิวเซอร์ที่ทำงานด้วยกันในค่ายนี้ ซึ่งมีทั้งฝั่งอเมริกาและยุโรป

เราก็ยังอยากร่วมงานกับศิลปินคนอื่นในเมืองไทยในการช่วยผลักดันให้เขาเติบโตมากขึ้นไปให้คนต่างชาติรู้จักมากขึ้น เพลงที่เราทำมีเป้าหมายให้เกิดแรงบันดาลใจตามค่ายเพลงของเรา ก็อยากให้ทุกคนเจอตัวตนที่แท้จริง อย่างเพลง Tigerz เป็นเพลงที่ให้คนได้เจอความสุขในช่วงเวลาแย่ๆ ปัจจุบันแค่หาน้ำผึ้งให้เจอ และซาร่าก็เหมือนเป็นน้ำผึ้งในปัจจุบันนี้ของผมครับ (ยิ้ม)”

ซาร่ายิ้มเขินก่อนจะตอบว่า “ขอกระโถนได้มั้ยคะ” ก่อนจะพูดต่อว่า “ในเรื่องเพลงจริงๆ เขาอยากทำโซโลของแต่ละคนด้วย แต่ตอนนี้อาจจะเริ่มจากเป็นดูโอ้ไปก่อน ให้ทุกคนได้รู้จักเราทั้งคู่ในมุมนักแสดงและโปรดิวเซอร์ที่สามารถแร็ปได้ โปรดิวซ์ได้ ทำงานกับโปรดิวเซอร์อเมริกาที่ทำเพลงให้ศิลปินดังๆ เรามีประสบการณ์ในวงการบันเทิง เขามีประสบการณ์ด้านดนตรี พอมารวมกันมันเหมือนครบวงจรค่ะ”

ถามว่ามีศิลปินใหม่ในค่ายหรือยัง แอชตอบว่า “ตอนนี้มีศิลปินในไทยที่สนใจอยากร่วมงานประมาณ 5-6 คน ที่กำลังตามผลงานเขาอยู่ เวลาจะทำโปรดิวซ์ให้ใคร ผมจะต้องรู้จักคนคนนั้นให้ชัดเจนก่อน เพราะงานที่ทำคือการให้เป็นตัวตนของคนคนนั้น ส่วนตอนนี้อยากโฟกัสที่งานของเราเองก่อน คือ Junglcity กำลังจะมองการทำเพลงโซโลให้ซาร่าก่อน หลังจากนั้นการร่วมทีมศิลปินหรือผลิตศิลปินมันต้องใช้เวลา ต้องใช้เวลาคลุกคลีกับศิลปินใหม่สัก 2-3 เดือนในการที่จะได้เห็นตัวตนของเด็กคนนั้น”

สุดท้ายซาร่าฝากถึงแฟนๆ ของเธอว่า “ก็ขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามกันมาตั้งแต่เอเอฟ หลายคนอาจจะเห็นพัฒนาการ ติดตามมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ ก็ขอบคุณที่ติดตามกัน อบอุ่นทุกครั้งที่ได้มาเจอและบอกว่าติดตามมาตั้งแต่เอเอฟ The Mask Singer หรือจากที่ไหนก็ตาม ก็จะมีความอบอุ่นเสมอ เหมือนเราได้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงชีวิตทุกคน มาถึงวันนี้อยากแชร์ความรู้สึกดีๆ ผ่านเพลงที่เราตั้งใจทำขึ้นมา อยากเป็นพลังใจเล็กๆ ใครที่ยังไม่กล้าที่จะทำอะไรบางอย่าง หรือมีความทุกข์ ขอให้นึกถึงพวกเราหรือเพลง Tigerz ก็ได้ หวังว่าจะเป็นที่ติดตามสำหรับคนอื่นที่เพิ่งรู้จักพวกเรา Junglcity ด้วยนะคะ เราอ่านทุกคอมเมนต์นะคะ ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆ ที่ให้กำลังใจพวกเราด้วยนะคะ”.