- เปิดใจ ไนกี้ นิธิดล กับการยอมมาเล่นซีรีส์วายครั้งแรก
- อดีตเด็กเกเรสู่พระเอกชื่อดัง และการมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง
- ยกให้เป็นพระเอกสายถอด ทั้งๆ ที่ตัวจริงไม่ค่อยชอบถอดโชว์เท่าไหร่
ตัดสินใจรับเล่นซีรีส์วายเป็นครั้งแรก หลังมีคนติดต่อมาเยอะมาก สำหรับพระเอกหนุ่มกล้ามโต ไนกี้ นิธิดล ป้อมสุวรรณ ที่ได้รับเล่นซีรีส์เรื่อง เส้นลองจิจูดที่ 180 องศา ลากผ่านเรา ที่เล่นคู่กับหนุ่ม ปอนด์ พลวิชญ์ เกตุประภากร ซึ่งเรื่องนี้เป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของ ไนกี้ เลยก็ว่าได้ เรียกว่าได้ปลดล็อกสิ่งที่เคยค้างอยู่ในใจ
ซึ่ง ไนกี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ถึงการรับเล่นซีรีส์วายเป็นครั้งแรกในชีวิต บอกว่า ที่ผ่านมามีติดต่อเข้ามาเยอะมาก แต่ปฏิเสธไปก็เยอะเช่นกัน เพราะรู้สึกไม่ถนัด นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้รีวิวถึงชีวิตที่ผ่านมา จากอดีตเด็กดื้อสู่พระเอกดัง และก่อนจะมาทำงานในวงการบันเทิง ที่บ้านไม่เห็นด้วยกับอาชีพนี้ แต่สุดท้ายแล้วสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าทำได้ จากที่ไม่เห็นด้วยกลายเป็นความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว
การตัดสินใจรับเล่นซีรีส์วายเรื่องแรก
"สาเหตุที่ตัดสินใจมาเล่นซีรีส์วาย ต้องบอกก่อนเลยว่า จริงๆ ผมอะไม่รับมาหลายครั้งแล้ว เพราะว่าตัวเองไม่ค่อยมั่นใจ แต่ว่ามีซีรีส์วายติดต่อมาค่อนข้างเยอะครับ แล้วตัวเองก็รู้สึกว่าไม่เคยเล่น แล้วรู้สึกเหมือนมันไม่ถนัด พอด้วยจังหวะติดต่อมาหลายๆ ครั้ง จริงๆ เราก็เห็นคนนั้นคนนี้เล่น ก็ต้องเปลี่ยนให้เป็นความท้าทายแล้วล่ะ
เพราะเราเองเราก็กลัวในการเล่นเหมือนกันว่าจะยังไง เพราะว่าเรายังไม่เคย ด้วยความที่เราอาจจะเล่นแบบผู้ชายรักผู้หญิงมาตลอดชีวิต แล้วเราก็ไม่มีความถนัดและความเข้าใจเลย ผมก็เลยรู้สึกว่า โอเคแหละ พอเรารับเสร็จ เราก็คุยกับผู้จัดเลยว่า ผมไม่ได้ถนัดนะ เลือกผมมาพี่โอเคกับผมเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมขอเรียนด้วยได้มั้ย ก็มีการเวิร์กช็อป ก็รู้สึกว่ามันทำให้เราโอเคขึ้น หรือว่าเข้าใจตัวละครมากขึ้น ทางผู้จัดการเลยจัดคอร์สให้เราเรียนเต็มที่เลยครับ
...
ก็คือว่าต้องไปเริ่มต้นเวิร์กช็อปการแสดงใหม่ทั้งหมดเลยครับ มันเหมือนเริ่มใหม่หมดเลยครับ เพราะตัวเราเองรู้สึกว่ามันยากด้วยครับ สำหรับผมนะ ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไง แต่ผมรู้สึกว่าพอเวลาเข้าใกล้ผู้ชายด้วยกันผมหัวเราะเลย รู้สึกว่ามันไม่ใช่ว่ะ มันไม่ได้ จะทำยังไงให้มันไม่ขำ ไม่ตลก
แต่สุดท้ายพอเราไปเรียน เราถึงเก็ตเลยครับว่าจริงๆ นี่แหละเวิร์กช็อปที่เราต้องการ คือมันทำให้เราเข้าใจ พอมันเป็นตัวละคร ความตลก ความขำ มันไม่มีแล้วครับ ก็เลยรู้สึกว่า อ๋อ เขาคิดอย่างนี้เหรอ เขามีอะไรของเขาแบบนี้ มันก็คือธรรมชาติของตัวละคร 1 คนที่เป็นเพศ LGBT ครับ"
"วันที่เข้าฉากวันแรกถามว่ายากมั้ย ด้วยอาจจะความที่เราผ่านการเวิร์กช็อปมาเยอะแล้ว และเราก็มั่นใจ มันเป็นความมั่นใจที่เราโอเคแล้วแหละ เราก็เต็มที่แล้ว แต่ถามว่าตื่นเต้นมั้ย สำหรับผมก็ยังมีนะ ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ใหม่ แต่ว่าทางผู้จัดละคร หรือว่าทางผู้กำกับก็ให้เราสวมวิญญาณเลยตั้งแต่เข้าบ้าน เขายกกองไปถ่ายทำที่เชียงใหม่ รองเท้าเราที่เดินในบ้านก็เขียนชื่อเลยนะว่า อินทวุธ เราตกใจอ่ะ ทุกคนที่เคยทำงานด้วยไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน คือในบ้านหลังนั้นทุกคนจะมีรองเท้าสลิปเปอร์เป็นของตัวเอง เป็นชื่อของใครของมันเลยครับ
ทุกคนเรียกว่าผม อาอิน อินทวุธ ไม่มีใครเรียกผมว่า ไนกี้ แล้ว เหมือนกับว่าทุกคนให้เราอยู่ในคาแรกเตอร์นั้นตลอด มันเลยทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดีนะ ผมรู้สึกว่า ใช่ เราคือ อินทวุธ เราคือ อาอิน เหมือนเราสวมบทละครตลอดเวลา ด้วยบทละครที่ยาก เลยทำให้เรารู้สึกว่าทุกคนคือตัวละคร เพราะทุกคนถูกเรียกชื่อเป็นตัวละครหมดเลย ตลอดการถ่ายทำ"
จุดที่ทำให้โดนมองว่าเหมาะกับซีรีส์วาย
"ผมก็ยังเป็นคำถามในใจผมว่าอะไรที่เหมาะ ผมเหมาะจริงๆ เหรอ ผมเล่นบทกะล่อน บทเจ้าชู้ คอมเมดี้ คุณชาย พีเรียด ผมแทบจะมองไม่เห็นมุมซีรีส์วายของผมเลยว่าผมมีมุมนี้ด้วยเหรอ เขาบอกว่าผมมี คือผู้จัดหรือผู้กำกับเห็นอะไรบางอย่างในตัวผมว่ามี วันแรกผมยังถามพี่เขาอยู่เลยว่า แน่ใจจริงๆ เหรอว่าผมมี พี่โอเคกับผมจริงๆ เหรอ (หัวเราะ)
เขาบอกว่ามั่นใจ มันมีแต่ความมั่นใจว่าเราทำได้แน่นอน แล้วมันก็เลยกลายเป็นว่า ทุกคนมั่นใจในตัวเรา แต่โมเมนต์นั้นผมไม่มั่นใจในตัวเองเลยนะ ก็ยังงงอยู่ว่าผมจะทำได้เหรอ ทำได้ดีเหรอ"
"สำหรับผมรู้สึกว่าถ้ามี 10 คะแนน คือตอนนี้ผมใส่ไปแล้ว 8-9 ครับ อีกที่เหลือผมมองว่าเป็นคะแนนของผู้ชมแล้ว ผมรู้สึกว่าผมทำเต็มที่จริงๆ ครับ คือทั้งหมดที่เป็นเรื่องของการแสดง การทุ่มเทในความตั้งใจ ผมได้ใส่ลงไปในซีรีส์เรื่องนี้หมดเลยครับ เพราะว่ามันดูยาก ผมว่าเป็นซีรีส์เรื่องแรกของผมที่ยาก และไดอะล็อกยาวนะ
บางครั้งเราต้องอ่านและเข้าใจและทบทวนมันเยอะมากครับ มันเป็นซีรีส์ก็จริงนะ แต่ผมทำการบ้านมากกว่าละครอีกครับ เพราะว่าด้วยหลายๆ อย่างที่เขียนมาแบบลึกมากจริงๆ แล้วผู้กำกับก็จะฟิกซ์ด้วยว่าห้ามผิดเลยครับ ด้วยการเล่นแบบลองเทกด้วยครับ หลายอย่างมากจริงๆ ที่ผมว่ายาก แต่มันก็มีความน่าดูครับ
มันเป็นความจริงที่คนที่เป็นเพศ LGBT ที่เหมือนครอบครัวเขา บางครั้งเขาเข้าใจเราจริงๆ หรือแค่อดทนกับมันกันแน่ ก็เป็นเรื่องของความรักที่ คุณเคยมั้ยที่มีความรักแบบนี้เกิดขึ้น แล้วความรักของคุณมีอุปสรรคมากมายเหลือเกิน แล้วโดนกีดกัน มันก็จะถูกนำเสนอในแง่มุมซีรีส์ตรงนี้ครับ"
ความแตกต่างของซีรีส์กับละครในมุมของ ไนกี้ นิธิดล
...
"ผมก็เคยเล่นทั้งซีรีส์และละครมาเยอะนะ สำหรับผมมองว่าซีรีส์ไม่ยากเท่าละคร แต่ไปๆ มาๆ เรื่องนี้กลับยาก อาจจะด้วยที่ผมก้าวเข้ามาอยู่ในโลกของวายด้วยมั้ง มันก็เลยทำให้ผมต้องทำการบ้านมากกว่าเรื่องอื่นๆ แล้วอีกอย่างเรื่องที่ถูกเขียนมามันค่อนข้างที่จะสมบูรณ์ครับ มันมีการถ่ายเหมือนหนัง
เราก็ต้องโฮลด์อารมณ์เล่นค่อนข้างที่จะหลายเทก แล้วก็รับกล้องหลายมุมมากกว่า ด้วยความที่เขาเล่นเรื่องมุมภาพด้วยครับ ภาพที่ออกมาก็ต้องยอมเขาจริงๆ เพราะสวยมากจริงๆ ด้วยธรรมชาติ ภูเขาล้อมรอบ บ้านหลังที่ไปถ่ายเขาก็เซตมาเพื่อการนี้เลยจริงๆ ถ่ายทำที่ดอยม่อนแจ่ม จ.เชียงใหม่ ครับ สะพานไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรื่อง เขาก็สร้างใหม่หมดเลยครับ เป็นซีรีส์ที่ทุ่มทุนมากจริงๆ เขาตั้งใจเต็มที่ เราก็ต้องเต็มที่ ผมภูมิใจนะที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ครับ"
ถูกมองไม่ปังเหมือนก่อน จึงต้องมารับเล่นซีรีส์วาย
"ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับ ตัวผมมีงานค่อนข้างเรื่อยๆ ไม่ได้บอกว่าตัวเองมีงานเยอะ แต่ว่าทำงานเรื่อยๆ จริงๆ แต่ด้วยจังหวะและเวลาอย่างที่ผมบอก จังหวะมันได้จริงๆ ผมเลยอยากจะลองก้าวข้ามผ่านมันดู เหมือนชาเลนจ์ตัวเองดู จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ผมกลัวนะ ผมกลัวมากเลยที่จะต้องมาเล่นอย่างนี้
...
เพราะผมมองว่า อาชีพเราเป็นนักแสดง ตั้งแต่ผมเข้ามาทำงานตรงนี้ ผมไม่มีอาชีพอื่นเลยนอกจากนักแสดง เพราะเราพิสูจน์ตัวเองกับที่บ้านด้วยแหละ และเราก็อยากจะเข้ามาลุ้นในตรงนี้จริงๆ มันก็เลยทำให้เวลาเรารับงานสักงาน เราเป็นคนที่ซีเรียสและเต็มที่ครับ เราค่อนข้างที่จะโฟกัสกับงานมากๆ
เราไม่รู้ว่าคนดูจะชอบหรือไม่ชอบยังไง แต่เราขออย่างหนึ่ง เรามีเวลาแล้วเราก็ขอทำให้เต็มที่ที่สุด เหมือนกับซีรีส์เรื่องนี้ ผมกล้าที่จะเปิดใจกับตัวเองดูว่าเราต้องออกมาแล้ว เพราะเราอยากเป็นนักแสดงไม่ใช่เหรอ นักแสดงคือคุณต้องเล่นได้ทุกบทบาทสิ อย่ามาเลือกสิ คือมันเป็นทางที่ไม่ถนัดของผมก็จริง แต่ผมกล้าที่จะเปิดตัวเองออกมามากกว่าครับ ผมมองในมุมตรงนี้ แล้วจังหวะเวลามันได้ด้วยครับ"
ผันตัวเป็นนักแสดงอิสระ ไม่มีสังกัด
"ใช่ครับ ก็มีผู้จัดการคอยดูคิวงานให้ครับ ตอนนี้ก็มีละครกับหลากหลายช่อง ก็คือออนแอร์เกือบทุกช่วงเวลา เลยอาจจะได้เห็นหน้าผมหลากหลายช่องหน่อยครับ เพราะว่าเราเป็นนักแสดงอิสระแล้ว"
คนติดภาพเป็นพระเอกสายถอด
...
"พยายามเคลียร์ตัวเองนะครับ ว่าจริงๆ อย่างเล่นละคร 10 เรื่อง ก็มีหลายเรื่องนะที่ผมไม่ได้ถอดเลย แต่ว่าถ้าพูดกับตรงๆ คนจะจำภาพเรื่องที่ถอด บางทีเรื่องที่ถอดมันเป็นอะไรที่จังหวะมันได้จริงๆ เลยกลายเป็นภาพจำ แต่ว่าหลายเรื่องนะที่ผมไม่ถอดก็มี แต่คนไม่ได้ดู (หัวเราะ)
คือเราเองมีซิกซ์แพ็กตั้งแต่ก่อนเข้าวงการอยู่ก่อนแล้ว เลยกลายเป็นว่าทั้งผู้กำกับเอง ผู้จัดเองที่เรียกเราไป บางซีนเขาก็อยากให้เราถอด เอาจริงๆ ผมไม่ชอบถอดนะ ไม่ค่อยที่จะแบบว่าอยากถอดโชว์เท่าไหร่ น้อยมากเลยนะที่เห็น ถ้าผมถอดลงไอจีก็จะเป็นเรื่องงานซะส่วนใหญ่ครับ"
รีวิวชีวิตที่ผ่านมา
"ถือว่าเป็นช่วงหนึ่งที่เป็นความสุขดี ได้ทำงาน ปีนี้เป็นปีที่ทำงานหลากหลายจริงๆ เราได้รู้สึกว่านี่แหละคืออาชีพนักแสดงจริงๆ ที่เราอยากทำ กลายเป็นว่าหลายๆ อันที่เรากลัว เราไม่กล้า เราได้ทำแล้วนะในปีนี้หลายอย่างเลย คนจะได้เห็นผลงานผม ทั้งพีเรียดผมก็เล่นได้นะ บู๊ผมก็รับอยู่ คอมเมดี้ผมก็เล่นนะ คือผมมีอะไรที่ตัวเองทำหลากหลายมากในปีนี้ครับ ที่เรารู้สึกว่าเราก็แฮปปี้ครับ ที่เหลือก็อยู่ที่คนดูว่าจะเลือกรับชมจะชอบคาแรกเตอร์ไหนยังไง ว่าเรามีหลากหลายเรื่องเลยในปีนี้ให้ได้ติดตามกัน แฮปปี้ดีครับ"
เผยเหตุผลที่ครอบครัวไม่อยากให้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง
"ก็ต้องบอกว่าจากที่ไม่โอเค ก็น่าจะโอเคไปโดยปริยาย คือเขาก็ไม่ได้เข้ามาเร่งเร้าหรืออะไรแล้ว ตอนแรกเขาก็มองว่าไม่อยากให้ผมมาโฟกัสในวงการบันเทิง อยากให้ไปทางอื่น เขาสนับสนุนอยากให้มีงานประจำทำ เพราะว่าพ่อแม่ผมอาจจะมีหัวความคิดที่โบราณนิดนึงครับ เขาจะมองว่าตรงนี้มันฉาบฉวย แป๊บๆ เดียวมันไม่มีแล้วเราจะยังไง แก่ไปก็จะเสียดายเวลา
ผมเรียนสายวิทย์-คณิตมา เรียนจบคณะวิทยาศาสตร์คอมฯ ไม่ได้ใช้เลยครับ ตัวเราเองก็พิสูจน์ให้เขาเห็นจริงๆ ว่าผลงานเราก็ยังมีคนที่เมตตาเรานะ มีคนที่รักเรา เลือกเราให้อยู่ในละครที่ดีๆ ตลอดเลยในแต่ละปี ช่องนั้นบ้าง ช่องนี้บ้าง เขาคงมองเห็นและโอเค ผมก็เลยรู้สึกว่าเขาไม่ได้มาอะไรกับเรา เขามองเห็นในสิ่งที่เราทำ แล้วมันก็ค่อนข้างที่จะประสบความสำเร็จในแต่ละปีด้วยครับ ผมว่าพ่อแม่ผมก็ภูมิใจแหละครับ"
"ที่บ้านเราก็ยังขายแก๊สเหมือนเดิมครับ เราก็ไม่อยากจะลืมตัวตนต้นกำเนิดเรา เพราะว่าจริงๆ ขายแก๊สนี่ก็เป็นอาชีพที่ทำมาตั้งแต่เราเด็กเล็กๆ แล้ว ก็เป็นอาชีพที่เลี้ยงเรามาให้มีไนกี้ในวันนี้ครับ บางทีเราว่างเราก็กลับไปช่วยดูแลที่ร้าน"
แพลนชีวิตต่อไปในอนาคต
"จริงๆ ที่บ้านก็มีอาชีพอยู่แล้ว ก็สามารถที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้สบายเลยแหละ เพราะว่าที่บ้านผมมีธุรกิจร้านแก๊ส มีห้องเช่าอยู่แล้ว แต่ด้วยตัวผมเองที่มีงานที่ผมรักและชอบงานในวงการ ผมก็ยังสนุกกับตรงนี้นะ ผมก็ยังไม่อยากที่จะทิ้งมันไป รู้สึกว่าที่บ้านทำได้ดีอยู่แล้ว กลับมาเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ทุกอย่างมันถูกเซตไว้เป็นระบบอยู่แล้ว มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว แต่ว่าด้วยตัวผมเองยังรู้สึกว่าชอบความลำบากอยู่มั้ง (หัวเราะ)
บางทีอาชีพนักแสดงนี่มันลำบากนะครับ ผมเล่าตัวอย่างง่ายๆ แม่ผมนี่เคยมากองนะ เขาสงสารผมเลยนะ จริงๆ แม่เอาขนม เอาข้าวมาให้กินในยุ้งข้าว แม่บอกว่าลูกต้องอยู่แบบนี้จริงๆ เหรอ มันร้อนมากเลยนะ โอ้โหแล้วมันก็คันด้วย ในยุ้งข้าวมันมีผงๆ อะไรด้วยมันก็เลยทำให้แพ้ ให้คัน คือเขาเป็นห่วงผมมากนะ
แต่ด้วยตัวเราเอง เราสนุกไง และเป็นงานที่เรารักด้วย แม่เขามาแค่ไม่กี่ครั้ง เขารู้เลย แม่ผมคือเขาอยู่ในห้องแอร์สบายๆ อยู่บ้านสบายๆ พอมาเจอลูกแบบนี้เขาก็เกือบช็อกนะ (หัวเราะ) เขาก็เข้าใจเลย คือบางคนอาจจะมองว่า นักแสดงสบาย
แต่ผมมองว่าอาจจะแค่แล้วแต่บางคนมั้ง แต่ด้วยตัวผมเองเราจะอยู่ในกองถ่ายลุยๆ บางเรื่องตัวดำบ้าง บางเรื่องไปคลุกฝุ่น มันก็ทำให้เกิดอาการแพ้บ้าง แต่ผมก็สู้นะ เพราะตัวเราเองเป็นภูมิแพ้อยู่แล้วด้วย แต่ผมก็แฮปปี้นะ มันได้ทำงานออกมาให้คนเขาชอบเรา เราก็โอเคแหละ ลำบากแค่นี้ เราไม่ได้ซีเรียสกับตรงนั้นครับ"
"ถามว่าตอนเด็กๆ อยากเป็นดารามั้ย เอาจริงๆ ผมไม่ได้อยากเลยครับ ไม่ได้มีอะไรที่อยากเป็นเลย ที่ทำให้เข้าวงการด้วยอาจจะเป็นเพราะแมวมองในสมัยนั้นด้วยครับ เขาทำให้ผมเปลี่ยนความคิด
ตอนนั้นผมอยากที่จะรับราชการ แต่ว่าแมวมองเขาพาเราไปถ่ายรูป พาเราไปส่งงานเหมือนแคสต์งาน พอถ่ายรูปปุ๊บ ส่งงานปุ๊บ ผมได้เลย มันเลยกลายเป็นว่าเหมือนโชคชะตานำพาเราเข้ามา เราก็ไม่ได้เคยคิดเคยฝันว่าวันหนึ่งเราจะเป็นไนกี้ เป็นนักแสดง ไม่มีในหัวเลยครับ"
"ถ้าถามว่าแพลนตัวเองในอนาคตต่อไปยังไง ผมก็แค่มองทุกวันนี้ว่าทุกคนยังโอเค แฮปปี้กับผม ที่ยังให้บทบาทเป็นเบื้องหน้า ผมก็ไม่ได้ซีเรียสนะครับว่าจะต้องเป็นพระเอกตลอด ผมเข้าใจและทำใจกับตัวเองไว้นานแล้วว่า บทบาทมันก็ต้องถูกเปลี่ยนไปตามเวลา อันนั้นเป็นสิ่งที่เรายอมรับได้มาตั้งนานแล้ว
แล้วรู้สึกว่าถ้าคนยังเลือกเราอยู่ ก็ทำตรงนี้ไปเรื่อยๆ ก่อนครับ ยังไม่ได้คิดเรื่องอื่นครับ ผมก็มองว่าเราต้องโฟกัสกับปัจจุบันแหละ เราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะผันไปตรงไหนหรือทำอะไรเพิ่มเติมมั้ย ก็อยากให้เป็นเรื่องอนาคต เพราะตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลยครับ
ทุกคนถามผม ผมก็จะบอกว่า ผมมองแค่ทุกวันนี้จริงๆ ผมอาจจะแบบไม่อยู่แล้วก็ได้ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะยังมีลมหายใจอยู่มั้ย (ยิ้ม) ก็เลยไม่กล้าคิดเยอะครับ ตั้งแต่มีโควิดก็เลยทำให้รู้ว่าชีวิตคนความแน่นอนคือความไม่แน่นอนจริงๆ"
เลิกเจ้าชู้แล้ว
"เลิกแล้วครับ อันนั้นก็เป็นอดีตที่ผ่านมาช่วงหนึ่ง เขาเรียกว่าวัยรุ่นเรียนรู้ชีวิต แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรผิด อะไรชั่วเรารู้แล้ว พอกลับมานั่งคิดก็ไม่รู้ว่าชีวิตในตอนนั้นกล้าที่จะติดคุกได้ยังไง กล้าที่จะแลกชีวิตได้เลย มันเหมือนชีวิตในตอนนั้นก็ไม่คิดไงครับ ไม่คิดว่าจะเป็นไนกี้ในวันนี้ ก็ไม่ได้คิดอะไร (หัวเราะ)
แต่วันนี้เรามาเป็นนักแสดง เรามาเป็นไนกี้ได้ เรารู้สึกว่าอะไรหลายๆ อย่างมันถูกสอนเราว่า การไม่มีสติหรืออะไรแบบนั้นมันแย่นะ มันไม่ดีเลย วันนี้เราก็ต้องเป็นตัวอย่างเหมือนพยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนด้วยครับ
เพราะก็มีคนที่ทั้งรักเรา ชอบเรา มันก็มี 2 มุมอยู่แล้วครับ และก็มีทั้งคนเกลียดด้วยก็ทำใจ ทำดีให้ได้มากที่สุดครับ ไม่ว่าจะคนเห็นดีก็ ไม่เห็นก็ดี แต่ผมก็ยังทำไปเรื่อยๆ นะ อะไรที่ผมทำได้เราก็พยายามช่วยไปเรื่อยๆ ครับ ถือว่าสะสมความดีกันไปครับ"
วีรกรรมในวัยเด็กจนเกือบทำชีวิตวิบัติ
"เคยคิดหลายครั้งนะพี่ บางทีมันเป็นบาดแผล หรืออะไรที่มันอยู่ลึกข้างในเรา มันเหมือนทางเดินที่มีหลายทางมากเลยเราไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน แต่ว่าเราเลือกเดินมาทางนี้ มันถูกทางแล้ว ถ้าวันนั้นเราเลือกเดินผิดทาง มันไปเลยครับ กลับกลายเป็นว่าพอกลับไปเจอเพื่อนหลายๆ คน บางคนก็ไม่อยู่แล้วนะครับในโลกใบนี้ บางคนก็ติดคุก คือชีวิตมันก็หมดไป
ที่ผ่านมามันสอนเรามากเลยครับ เราก็พยายามที่จะเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตรงนี้แหละ ถ้ามีโอกาสเราก็จะพยายามสอนหรือว่าไปบอกคนอื่น แต่มันก็อยู่ที่ตัวเราเอง รู้ตัวเราเองจริงๆ ครับว่าผมอาจจะเป็นคนที่มีเปอร์เซ็นต์ในความโชคดีตรงนั้นที่ได้รู้ตัวเองบ้างครับ มันก็เลยทำให้เราอาจจะเดินในทางที่ไม่ได้มืดมนครับ
มันก็มีหลายครั้งที่คิดทบทวนหลายรอบเหมือนกัน มันเกือบไม่ได้เป็นเราในวันนี้แล้ว พอคิดทีไรมันก็เหมือนสำนึกผิดทุกครั้ง บางอย่างเราทำไปด้วยความเลือดร้อนคึกคะนอง"
อายุเข้าเลข 3 แล้ว ที่บ้านมีเร่งไหมว่า เมื่อไหร่เราจะมีครอบครัว?
"ก็เป็นเรื่องที่เขาเคยพูดครับ แต่ว่าตอนนี้เขาเลิกพูดไปแล้ว ด้วยตัวผมเองแหละ ก็โตแล้ว และคุยกับเขาแล้ว เคยบอกที่บ้านครับว่าอยากจะเลือกเส้นทางของตัวเองแหละ ก็เหมือนกับงานในวงการนี่แหละ ที่ไนท์เลือกเดินของไนท์เอง
เรื่องครอบครัวก็เหมือนกันครับ ก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่มาซีเรียสเรื่องตรงนั้นมาก เพราะว่าอย่างน้อยก็มีพี่สาว เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ของเราก็ไม่อยากให้มาซีเรียสครับ อย่างน้อยแม่ก็ยังมีพี่กับน้องที่เขาโอเคแล้ว ผมก็บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมเอาตัวเองรอดแหละ ไม่มีปัญหา เขาก็เลยเงียบๆ ไป"
"ตอนนี้ผมก็มีคนคุยครับ แต่ส่วนใหญ่เรื่องของตรงนั้นก็ไม่ได้ไปอะไรกับมันมากครับ มันก็มีทั้งสมหวัง ผิดหวังมาเยอะ ก็เลยไม่ได้โฟกัสมาก แต่ก็คุยกันไปก่อน ยังไม่ได้ตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกันครับ เพราะสำหรับผมมองว่า มันอาจจะก็ไม่ได้ลงเอยด้วยการแต่งงาน ผมอาจะเห็นมาเยอะครับว่าการแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก เดี๋ยวก็เลิกกัน มันอาจจะไม่ได้เป็นทุกครอบครัวนะครับ แต่มันเป็นสถิติที่มันเยอะ
ผมว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกันมันโอเคนะ มันมีความห่วงใย เข้าใจเอาใจใส่กัน พอก้าวข้ามมาเป็นครอบครัวปุ๊บ ผมเห็นเยอะมากเลยนะ เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผมเห็นจากคนใกล้ตัวที่เปลี่ยนไปเยอะมาก วันหนึ่งมันเปลี่ยนจริงนะ แต่ก่อนเขารักกันมากเลย มาวันนี้ทำไมเขาไม่รักกันแล้ว ก็เลยกลายเป็นมุมมองชีวิตส่วนตัวของผมครับ ถ้าใครที่เข้ามาในชีวิตเราก็คงเข้าใจเราและเราก็เข้าใจเขา ผมว่ามันน่ารักและมีความสุขที่สุดแล้ว"
ขอบคุณแฟนคลับ
"ขอบคุณในความรัก ความห่วงใยทุกอย่างเลยครับ เพราะว่าไนกี้ก็เป็นนักแสดงตัวเล็กๆ ไม่ได้โด่งดังอะไรเลย ก็ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นกำลังใจให้กัน อยากฝากผลงานทุกๆ ผลงาน เพราะว่าไนกี้เองก็ตั้งใจมากในทุกๆ ปี ทุกๆ ผลงานที่ไนกี้ได้ทำ ในปีนี้ก็ได้เล่นซีรีส์วายด้วยเรื่อง เส้นลองจิจูดที่ 180 องศา ลากผ่านเรา นะครับ
ไนกี้ก็อยากให้ลากผ่านหัวใจของทุกๆ คนด้วยเหมือนกันครับ อยากให้ทุกคนได้ดูผลงานซีรีส์เรื่องนี้ครับ ก็ติดตามผลงานไนกี้ได้นะครับที่อินสตาแกรม @nike_nitidon ครับ แล้วก็ยังมีอีกหลายผลงานเลยที่อยากให้ทุกคนได้ดู ได้ติดตาม ก็ขอบคุณมากๆ ครับ ที่เป็นกำลังใจให้กับไนกี้เสมอครับ ไม่ต้องรักไนกี้มากๆ ครับแต่อยากให้รักนานๆ (ยิ้ม)".