• วันแรกที่รวมตัว เสนอเพลงตามค่ายไม่มีใครเอา จนกระทั่งปู พงษ์สิทธิ์ และ เสี่ยแหบ วิทยา เปิดโอกาสเข้าสู่วงการเพลง
  • ชีวิตในวงการเพลง 27 ปี ย้ายค่ายบ่อย เผยเหตุผลที่ตัดสินใจร่วมงานค่ายข้าวสารฯ
  • ความผูกพันของปูและสมาชิกแบล็คเฮดที่มีต่อนุ๊กซี่ อัญพัชญ์ และสิ่งที่ตั้งใจทำเพื่ออีกฝ่ายในวันที่จากไป

กว่า 27 ปีแล้วที่ 4 สมาชิกวงร็อกอัลเทอร์เนทีฟชื่อดัง Blackhead (แบล็คเฮด) ที่ประกอบไปด้วย ปู อานนท์ สายแสงจันทร์ (ร้องนำ/กีตาร์), เอก อภิสิทธิ์ พงศ์ชัยสิริกุล (กีตาร์), ต๋อง สมทบ สมมีชัย (เบส), ยุ่น วิโรจน์ เจริญพิพัฒน์สิน (กลอง) ร่วมเดินทางบนถนนแห่งเสียงเพลง โดยมี จุ๊บ จารุวัฒน์ ขันธวุฒิ (คีย์บอร์ด) ที่มาร่วมเดินทางอีกคนในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาแบบเต็มอิ่ม เกือบ 1 ชม.เต็มของบทสนทนา มีเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่วันวานเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วที่รวมตัวกันครั้งแรก นำเพลงไปเสนอค่ายไหนก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่ง ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ศิลปินเพื่อชีวิตชื่อดัง และ เสี่ยแหบ วิทยา ศุภพรโอภาส เป็นผู้เปิดโอกาสในวงการของพวกเขา ทำให้ได้ออกอัลบั้มเพลงชุดแรกในชีวิต มีชื่อเสียงจากเพลงดังๆ มากมาย อาทิ ยืนยัน, ยิ่งโตยิ่งสวย, อยู่ไปไม่มีเธอ, ใจฉันอยู่กับเธอ, ฉันอยู่ตรงนี้, เพียงกระซิบ, เหตุผล ฯลฯ

และอีกหนึ่งเรื่องราวชีวิต เมื่อ ปู แบล็คเฮด ต้องสูญเสียแฟนสาว นุ๊กซี่ อัญพัชญ์ วัฒนาตันติรัตน์ ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งในช่วงที่นุ๊กซี่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีความผูกพันกับปูและสมาชิกวงแบล็คเฮดมานานหลายปี เมื่อเธอจากไปแล้ว ปูและสมาชิกแบล็คเฮดก็ขอสานต่อความตั้งใจของนุ๊กซี่ คือการทำคอนเสิร์ตเพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับศูนย์มะเร็งในหลายจังหวัด

...

การรวมตัววันแรก

เมื่อให้ย้อนถึงวันแรกที่เจอกัน ต๋องเริ่มเล่าว่า “ตอนนั้นเล่นอยู่ Rock Pub ก็ทำเพลง เพลงนี่ทำจากพัทยาก่อน ตอนนั้นผมเล่นดนตรีที่พัทยากับพี่ปู เอก ยุ่นยังอยู่กรุงเทพฯ ก็กลับไปพัทยาแล้วทำเดโมทิ้งไว้ที่พัทยาแล้วกลับมา เราก็เล่นที่ Rock Pub เล่นเพลง “ยืนยัน” เสนอตามค่ายก็ไม่มีใครเอา จนกระทั่งมาที่เอ็มสแควร์ เขาก็มาเซ็นสัญญาที่ Rock Pub ก็เป็นจุดเริ่มต้น” เอกเสริม “ตอนนั้นก็บอกเจ้าของ Rock Pub ว่าเดี๋ยวกลับมานะ ไปออกเทปแป๊บนึงแล้วเดี๋ยวกลับมาเล่นต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปเล่น (ยิ้ม)”

ต๋องเล่าต่อ “ผมกับปูอยู่วงยูเรเนียม เอกอยู่วงบิ๊กกัน 2 วงต่างคนต่างแตก อันนี้แตกก่อน (ยูเรเนียม) อันนี้แตกตาม (บิ๊กกัน) ก็มารวมตัวกันใหม่” เอกเสริม “ตอนนั้นเอสพี ศุภมิตร บริษัทเขาแตก วงก็เลยแตกตามไปด้วย กระจัดกระจายกันไป” ต๋องพูดอีก “ผมก็ไปเล่นต่างจังหวัด ไปเล่นพัทยา ขาดมือกีตาร์ผมก็ตามเอก จบงานพัทยาเสร็จก็กลับมาทำวง เอกกับยุ่นก็เคยเล่นด้วยกันมาก่อนสมัยเล่นวงสโนว์ไวท์ เล่นกลางคืน ก็ตามกลับมารวมกัน ส่วนจุ๊บก็มาทีหลัง แต่ก็หลายปีแล้วนะครับ” จุ๊บบอกว่า “ผมเข้ามาตอนแบล็คเฮด 19 ปีครับ”

เราถามถึงเรื่องที่ ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ เป็นผู้ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้มาทำงานในสังกัดเอ็มสแควร์ ปูบอกว่า “ใช่ครับ อย่างที่พี่ต๋องบอกว่าเราเสนอไปหลายที่แต่เขาไม่เอา มันไม่ถูกจริตเขา พอเราไปส่งให้พี่ปูที่มังกรแดง แล้วพี่ปูบอกว่าเฮ้ย น่าสนใจ มาๆๆ เขาก็เอาไปเสนอ ตอนนั้นเราทำมาสเตอร์ไปแล้ว”

ต๋องเสริม “ตอนนั้นยังเล่นกลางคืน เราไปขอเช่าห้องอัดเขา แต่เราไม่มีเงินจ่าย ก็บอกว่าถ้างานผมเสร็จ ออกอัลบั้ม ผมจะเอาเงินที่ได้ไปจ่ายที่ห้องอัด เราต้องไปตอนกลางคืน เป็นคิวที่ไม่มีคนใช้ กลับบ้าน 6-7 โมงเช้า” ปูเล่าต่อ “จนไปเจอพี่ปู เขาก็บอกให้มาที่เอ็มสแควร์ เขาหาศิลปินเข้าค่ายพอดี แล้วตอนนั้นมีพี่แหบ (วิทยา ศุภพรโอภาส) ด้วย แกก็เป็นคนตัดสินใจ เห็นงานแล้วสนใจ ก็เลยได้มีโอกาสทำงานกับเอ็มสแควร์ครับ”

เมื่อแบล็คเฮดออกอัลบั้มแรกก็มีเพลงดังอย่าง “ยืนยัน” เอกบอกว่าตอนนั้นยังงงๆ ออกอัลบั้มแรกก็ไม่ได้กะจะดัง พอออกอัลบั้มไปสักพักตามผับก็เล่นทุกที่ พอไปเที่ยวแล้วได้ยินเพลงตัวเองก็ตกใจ ต๋องเสริมว่ายุคนั้นเพลงอัลเทอร์เนทีฟกำลังฟุ้งๆ ทุกวงต้องทำงานเอง

...

ย้ายค่ายบ่อย

แบล็คเฮดอยู่กับเอ็มสแควร์ 3 ปี ช่วงนั้นไปอัดเพลงชุดที่ 2 ที่อเมริกา กลับมาหมดสัญญาพอดี ซึ่งต๋องบอกว่า“ตอนนั้นพี่ป้อม (อัสนี โชติกุล) ไปตามตัวมาอยู่ที่มอร์ มิวสิค” เอกเล่าต่อ “ตอนนั้นฮอตอยู่ หลายค่ายตามตัว แต่ตอนแรกไม่มีใครเอา (ยิ้ม) จริงๆ พี่ป้อมติดต่อมาก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่มีมอร์ มิวสิค เราก็เลยไปอยู่เอ็มสแควร์ก่อน พอตอนหลังดังแล้วมีมอร์ มิวสิก ทีหลัง ก็เลยตามไป ก็ออกอัลบั้มชุด “Pure” เพลงแรกก็คือ “ยิ่งโตยิ่งสวย” เป็นเพลงแรกที่เปิดตัวกับแกรมมี่ครับ”

กับการทำงานค่ายมอร์ มิวสิก ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ พวกเขาต่อสัญญา 3 ครั้ง รวมระยะเวลาที่อยู่กับค่ายแกรมมี่ยาวนานนับสิบปี ออกอัลบั้มกับแกรมมี่ 5-6 ชุด ต๋องเล่าถึงบรรยากาศการทำงานว่า “ที่แกรมมี่การแข่งขันค่อนข้างสูงนะผมว่า เพราะค่ายมันเยอะ เราเข้าไปก็มีค่ายยิบย่อยมาก แต่มอร์ มิวสิก เป็นค่ายที่ทำงานเอง เหมือนเป็นเอกเทศ ไม่ค่อยขึ้นกับใคร”

เอกเสริม “ตอนนั้นค่ายมีศิลปินดังๆ เยอะ มีพาวเวอร์ในการตัดสินใจเลือกเอง มีโลโซ ซิลลี่ฟูลส์, แบล็คเฮด มีคอนเสิร์ตทัวร์ไปด้วยกัน ช่วงนั้นก็สนุกดี เข้าห้องอัดแล้วก็ไปทัวร์วนอยู่อย่างนี้ 3 วง ก็อยู่จนค่ายโดนปิดหมดเลย (หัวเราะ) จริงๆ ตอนนั้นค่ายมอร์ฯ ไม่ได้ขาดทุนอะไรนะ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขา...” ถึงตรงนี้ต๋องเสริมว่า “เป็นการเปลี่ยนแปลงในบริษัทมากกว่า” เอกพูดต่อ “ใช่ เพราะตอนนี้ยังขายดีอยู่เลยนะ”

...

จากนั้นพวกเขาย้ายมาอยู่ที่สหภาพดนตรี ถามว่าเป็นยังไงบ้าง เอกบอกว่า “ก็แปลกๆ ไปอีกแบบ นี่ไงพอไปอยู่สหภาพฯ ก็เลยไปเจอคุณจุ๊บ (ชี้ไปที่จุ๊บ)” จากนั้นจุ๊บเล่าถึงวันแรกที่มาร่วมงานว่า “ก็มาจากทางพี่จุ๊บ (วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี) ที่แนะนำจุ๊บมาอยู่กับวง และมีทัวร์กับสิงห์ กับพี่ป้อม ช่วงนั้นมีทัวร์ไปอีสานก็ไปหลายจังหวัด สนุกดีครับ ถามว่าเกร็งมั้ยตอนแรกก็เกร็งครับ แต่พอมีตัวละลายพฤติกรรมก่อนเล่นก็คลายครับ (หัวเราะ)” เอกแซวว่า “มีคนในวงให้ด่า (หัวเราะ) แทนที่จะด่ากันเองก็ไปรุมด่ามัน (ชี้ไปที่จุ๊บ) ไม่งั้นก็จะด่ากันเองน่ะแหละ” ทำเอาหัวเราะกันทั้งวง

ส่วนเหตุผลที่ไปอยู่ที่ Muzik Move อยู่ช่วงหนึ่ง ปูบอกว่าเป็นเพราะ จุ๊บ วุฒินันท์ “จริงๆ ด้วยความสนิทสนมด้วยครับ อีกอย่างคือตอนนั้นเพิ่งเป็นค่ายสหภาพดนตรี ยังไม่ใช่ Muzik Move เป็นยุคแรกๆ เลย ก็มีพี่จุ๊บ วุฒินันท์ ด้วย ตอนที่ออกมาก็คือหมดสัญญาแล้ว ไม่ได้อยู่ค่ายไหน ก็ทำอย่างอื่นกันมากกว่า รับงานคอนเสิร์ตตามปกติ” เอกเสริม “เราอยากออกมาทำเองด้วย ยังไม่อยากมีค่าย” ปูพูดต่อ “ทำเพลงลงยูทูบเองครับ” เอกพูดอีก “ซึ่งไปไม่รอด (หัวเราะ) เราทำเองไม่มีใครสนใจเลย” ปูเสริม “ไม่มีทีมงานมานั่งบี้เลย”

ถึงตรงนี้ต๋องบอกว่า “หน้าที่เราส่วนมากอยากทำเพลงมากกว่า ไม่ใช่หน้าที่หลักที่จะมาทำพีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง” ปูเสริม “เราไม่รู้เรื่องเลย” เอกพูดบ้าง “ก่อนหน้านี้ 5 ปีที่แล้วเคยปล่อยเพลงช้ากันเองแล้วเงียบกริบเลย คนดูไม่ค่อยรู้จักเพลงเท่าไร” ปูพูดต่อ “แล้วเราไม่ใช่เซียนโซเชียล” เอกบอก “ใช่ อายุเราก็มากเกินกว่าเล่นโซเชียล (หัวเราะ) ไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย”

...

ปัจจุบัน 5 สมาชิก Blackhead ตัดสินใจมาร่วมงานกับข้าวสาร เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เราถามถึงการมาร่วมงานครั้งนี้ ปูเล่าว่า “จริงๆ ตอนแรกเราไปโมโนมาแป๊บนึง แล้วโมโนก็ปิด (หัวเราะ) คือช่วงโควิดพอดี เขาก็เลยปิดค่ายไป แล้วได้ไปคุยกับคุณตี๋ค่ายข้าวสารฯ เพื่อที่จะให้เขาซื้องานที่เราทำเสร็จไปแล้วทั้งเพลงและเอ็มวี คือเพลง “สติค่ะสติ” ในตอนนั้น เขาก็โอเคตกลงซื้อทั้งหมดและเซ็นสัญญากับเขาด้วยครับ ในเนื้อหารายละเอียดสัญญาก็อยู่ที่ดีลของแต่ละคนตอนนั้น คือทางข้าวสารฯ มาบุกเบิกในเรื่องเพลงยุค 90 อยู่ในโปรเจกต์ “ขอบคุณที่กลับมา” เราก็เลยได้อยู่โปรเจกต์นั้นด้วยครับ

มาอยู่ที่นี่ก็โอเคครับ จริงๆ เราไม่ได้อยู่ในกลไกของระบบงานในข้าวสารฯ มากนะ เพราะเขาให้เราดูแลตัวเองกันได้ด้วย อันนี้ก็คือข้อตกลงที่ดีที่เราโอเคกับข้าวสารมากๆ แต่ในขณะเดียวกันเวลาที่เขาทำพีอาร์ มาร์เก็ตติ้งให้กับงานของเรา เขาก็เต็มที่กับเรามากๆ เราก็เลยอยู่กันสบายใจ เราก็ทำหน้าที่ของเรา เขาก็ทำหน้าที่ในสิ่งที่เราขาดไป คือสิ่งที่เราทำไม่เป็นอย่างการโปรโมต พีอาร์ ก็ดีครับ พอเหมาะพอดีกับสถานการณ์ตอนนี้ด้วยครับ”

เหลียวหลัง

ปูพูดถึงซิงเกิลล่าสุด “เหลียวหลัง” ซึ่งเป็นเพลงที่ นุ๊กซี่ อัญพัชญ์ แฟนสาวของปู คิดคอนเซปต์และตั้งชื่อเพลงไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตไว้ว่า “เป็นเพลงช้าเพลงล่าสุดของแบล็คเฮด เราไม่ได้ทำเพลงช้ามานาน 5 ปี ไม่มีเพลงช้าที่แสดงความรักแบบเสียอกเสียใจได้ขนาดนี้ ปกติจะเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างเข้าใจได้” เอกเสริม “เสียสละ แมนๆ อบอุ่น เธอไปแล้วแต่ฉันยังรักเธอ แต่เพลงนี้จะต่างเลย ความแมนจะหมดไป มีความเถื่อนความดาร์กใส่เข้ามา จะไปก็ไปเลย อย่าหันหลังกลับมา เป็นคอนเซปต์ที่ต่างออกไปจากเพลงช้าที่ผ่านมาของแบล็คเฮดครับ”

ปูเล่าต่อ “เราเปิดเพลงตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกจนถึงอัลบั้มล่าสุดก็เออ...เรื่องราวแบบนี้ไม่เคยพูดถึง พอดีวันนั้นได้ฟังกับนุ๊กที่บ้านก็คิดว่าขาดเรื่องราวแบบนี้ไปนะ ก็เลยลองนั่งเขียนกันดู พอเขียนเสร็จก็เออ...น่าสนใจ แล้วน้องแนะนำคำมาคำนึงก็คือคำว่า “เหลียวหลัง” หมายถึงคนที่ไม่ต้องหันกลับมามองกัน ก็เลยกลายเป็นคอนเซปต์เพลงนี้ก็เกิดขึ้นจากการพูดคุยกับน้อง ชื่อเพลงๆ นี้ก็เน้นเลย นุ๊กเขาขอเป็นอันนี้เลย เพื่อสร้างความน่าสนใจให้เพลงมากยิ่งขึ้น”

ในเพลงนี้วงแบล็กแฮดได้มีโอกาสร่วมงานกับ หมู บิ๊กแอส ซึ่งปูเล่าว่า “คือพอคิดคอนเซปต์ต่างๆ เสร็จ เราได้เมโลดี้จากหมูมาพอดีเพลงนึง แล้วเราก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เลยเอาเมโลดี้นั้นมานั่งเขียนเพลงเป็นเพลงนี้ให้ได้ เสร็จแล้วก็ไปอะเรนจ์ ก็ได้ Run The Run (รัน อดีตมือคีย์บอร์ดวง Retrospect) มาช่วยในการอะเรนจ์ด้วย จากนั้นก็เข้าห้องอัด แต่พอช่วงโควิดก็ต้องแพลนว่าไม่เข้าพร่ำเพื่อ ก็เลยแพลนให้เสร็จวันเดียว เพลงนี้เพิ่งทำมาไม่ถึงปี 6-7 เดือนถ้ารวมเอ็มวีด้วย”

พาร์ทมิวสิกวิดีโอ ปูบอกว่า “เรามีการซ่อมเอ็มวีนิดนึง ถ่าย 2 รอบ” ต๋องเสริมว่าถ่ายเส้นเรื่องไปก่อน ปูเล่าต่อว่าจากนั้นเจาะถ่ายไลน์ซิงค์ทีหลังเพราะจุ๊บไม่อยู่ ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ก่อนจะบอกว่า “ถ้าเล่าให้ใครฟังเขาจะยิ้มและหัวเราะหมด แต่ปรากฏว่าเป็นเรื่องจริง” จุ๊บหัวเราะลั่น เอกแซว “ดูหน้าไม่น่าไปเรียน” จุ๊บบอกว่าอยากไปเรียนช่วงที่ยังไม่แก่มาก เอกแซวอีก “ฝืนถ่ายไป 4 คน เขาบอกว่าใช้ไม่ได้ ขาดคุณจุ๊บไม่ได้เลย ทำให้เสียเวลาไปรอบนึงอะพูดง่ายๆ”

ส่วนเหตุผลที่เลือก สายป่าน อภิญญา และ มาร์ค ศิวัช มาแสดงนำ ปูบอกว่า เรื่องราวเนื้อหาของเพลงจะอึดอัดและดิ่งๆ เลยมองภาพว่าถ้าไปถ่ายใต้น้ำได้จะดูสวยงามและว้าวดี แต่จะถ่ายยากนิดนึง ต้องใช้คนที่มีประสบการณ์อยู่ใต้น้ำ ว่ายน้ำเป็น “น้องป่านก็เป็นคนที่ชอบการฟรีไดฟ์ด้วย และเป็นครูสอนดำน้ำด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะอยู่ในน้ำดูสรีระสวยงาม มีโพสสวยๆ ทำงานใต้น้ำได้อึด ก็คงจะเป็นสายป่าน พอเราได้ผู้กำกับ เขาก็แนะนำน้องมาร์ค คอนเซปต์ผมก็คิดเองว่าน่าจะอยู่ในน้ำแล้วบังคับให้ผู้กำกับทำออกมาให้ได้ (ยิ้ม) เขาเองก็อยากลองทำผลงานแบบนี้ เลยไปหากล้องถ่ายใต้น้ำ ค่าตัวน้องๆ คิดราคาถูกมาก แต่ค่ากล้องแพงมาก (หัวเราะ)”

กับกระแสตอบรับ ยุ่นบอกว่า “จริงๆ ภาพรวมก็ดีครับ จากคอมเมนต์ในยูทูบก็ชมหมดเลย ซาวนด์ดี มิวสิกวิดีโอสวย” กับคอมเมนต์ที่หลายคนบอกว่าเพลงนี้มีความเป็นแบล็คเฮดมาก ปูบอกว่า “ต้องบอกว่าต่อให้เราเปลี่ยนแปลงซาวนด์หรือหยิบจับซาวนด์เข้ามาผสม พอทำสำเร็จออกมาเป็นเพลง มันก็หนีความเป็นแบล็กเฮดไม่ได้หรอก” เอกบอกว่า “มันอยู่ในตัวโดยที่ไม่รู้ตัว ยังไงก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้”

เราถามว่าเพลงนี้นุ๊กซี่ได้ฟังก่อนเสียชีวิตหรือเปล่า ปูเล่าว่า “จริงๆ นุ๊กอยู่ในทุกๆ ขั้นตอน ตอนอัดร้องเขาก็อยู่ ตอนทำมิวสิกวิดีโอรอบแรกก็อยู่ รอบสองเขาก็ไปด้วย” ต๋องเสริม “เขาซื้อขนมมาตลอด มาดูแล” ปูพูดต่อ “เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่จนถึงวันที่สำเร็จออกมาเท่านั้นเอง จริงๆ ในเนื้องานทุกรายละเอียดในนั้นเขาอยู่ทั้งหมดครับ แต่เขาก็ได้เห็นก่อนที่จะเป็นมาสเตอร์ตัวล่าสุด ระหว่างทางจะมีมาสเตอร์หลายตัว แต่เขาก็แฮปปี้กับมันแล้ว ตั้งแต่มีสายป่านมาเล่น เขาเลิฟป่านมากๆ”

ถามว่าจะมีแต่งเพลงให้นุ๊กซี่หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้นุ๊กซี่ก็เป็นคนช่วยคิดคอนเซปต์กับตั้งชื่อเพลงให้ ปูบอกว่า “จริงๆ ในช่วงแรกๆ ที่เราไม่ได้เจอกัน ผมก็เขียนไว้ประมาณนึง แต่ตอนนี้ยังเขียนไม่จบ มันมีเพลงที่ผมเขียนไว้อยู่แล้วแต่มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์เท่านั้นเอง เพราะมันไม่ใช่ง่ายๆ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่มันมีมู้ดในการเขียนเพลงได้โฟลว์ขนาดนั้น อาจจะติดๆ ขัดๆ ในเรื่องราวแต่ละประโยคที่เราเขียน ก็ต้องหยุดเขียน แต่จริงๆ เขียนไว้ตั้งแต่อาทิตย์แรกๆ ที่เขาไปครับ”

ความผูกพันกับนุ๊กซี่

ปูยอมรับว่าทุกวันนี้ยังคิดถึงนุ๊กซี่ เรื่องความเสียใจ สะเทือนใจ และตกใจอาจจะน้อยลง แต่เรื่องความคิดถึงมากขึ้น คนเรายิ่งไม่เจอกันก็คิดถึงกัน แต่ถึงอย่างนั้นปูไม่ค่อยฝันถึงแฟนสาวเลย “ญาติๆ เอย เพื่อนๆ เอย แฟนพี่เอกก็ฝันถึงเขาเป็นเรื่องเป็นราวเลย ผมนี่ไม่เคยแวะเวียนเข้ามาเลย ทั้งที่เราคิดถึงเขามาก หรือเราพยายามไปก็ไม่รู้นะ เพื่อนที่สายกรรมฐานบอกว่าบางทีคลื่นไม่ตรงกันก็อาจจูนไม่เจอกันก็ได้ แต่ผมเคยฝันแวบนึง 5 วินาทีได้มั้ง ฝันว่าได้จับมือ แต่ลืมตาขึ้นมาก็เป็นน้อง แต่พอเราดีใจจัดๆ แล้วจับมือบอกว่าอยู่ด้วยกันนานๆ หน่อยก็ตื่น แต่แฟนพี่เอกน่ะฝันเป็นเรื่องเป็นราวเลย” เอกเล่าว่า “เขาฝันว่าไปเจอกัน คุยกันหน้าห้องน้ำ ชวนกันไปเที่ยว” ปูเสริม “ผู้หญิงชอบเม้าท์กันหน้าห้องน้ำครับแก๊งนี้”

เราถามถึงเรื่องที่ปูยังไม่ได้ทำให้กับนุ๊กซี่อย่างที่ตั้งใจ ปูบอกว่า “มีหลายเรื่องนะครับ เราก็ค่อยๆ ถอดรหัสว่าอยากทำอะไรบ้าง ก็มีหลายเรื่องนะครับที่เราดำเนินไป เราอยากช่วยเหลือคนที่เป็นมะเร็ง อยากทำให้กับศูนย์มะเร็งครับ ผมก็จะทำคอนเสิร์ตที่จะแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งจะมอบให้กับศูนย์มะเร็งที่ จ.ลพบุรี ที่เขาไปผ่าตัด และที่เข้ารับการรักษาที่ รพ.จุฬาภรณ์ และมีอีกหลายๆ ที่ รพ.สมุย ก็ดีลไปแล้ว ศูนย์มะเร็ง จ.ลำปาง

เป็นคอนเสิร์ตของแบล็คเฮดนี่แหละครับ แต่เป็นแบล็คเฮดกับเพื่อนๆ มีหลายๆ ศิลปิน พี่อิงค์, พี่อ่ำ ศิลปินของ Muzik Move ค่ายข้าวสารฯ ที่จะมาร่วมแจมด้วย ส่วนชื่อโปรเจกต์จริงๆ ที่จะออกมาตอนนี้ยังไม่เสร็จสิ้น มันจะเป็นเหมือนการแชร์ริ่ง หน้างานจะมีรถแมมโมแกรมคอยตรวจ ร่วมกับทางวาโก้ ซึ่งเขาทำเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว อันนี้เป็นความตั้งใจของนุ๊ก เราก็มาสานต่อ บุญกุศลก็คงไปถึงเขา อีกอย่างเราก็ได้มีงานด้วย (หัวเราะ)”

จากนั้นเราให้ทั้ง 5 คนพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อนุ๊กซี่ เริ่มที่เอกบอกว่า “น้องเป็นคนที่มีพลังด้านบวกเยอะครับ คิดในแง่บวก ถึงแม้ใครอาจมองภาพลักษณ์ตอนแรกว่าเซ็กซี่ แต่จริงๆ น้องไม่มีพลังงานในแง่ลบ ไม่เคยว่าใครในแง่ร้าย มีพลังคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลา เรียนรู้ตลอดเวลา ถ้าอนาคตยาวๆ กว่านี้อาจจะทำคุณความดีให้กับสังคมได้อีกเยอะครับ เสียดายที่น้องไปเร็วเกินไป ไม่งั้นคงมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเยอะกว่านี้”

ต๋องเล่าบ้าง “เป็นน้องที่แข็งแกร่ง อึด ทนทาน สู้ ไม่มีท้อครับ” จุ๊บพูดต่อ “สำหรับผมเป็นน้องสาวที่คอยดูแล เขาจะพูดว่าพี่จุ๊บผมต้องทำแบบนี้ (ทำท่าให้ดู) เป็นคอสตูม บางสิ่งบางอย่างของน้องเรานำมาใช้ได้ คือความขยันคิดงาน ทำโน่นทำนี่ ทำให้เราอยู่นิ่งไม่ได้ ทำให้เราตื่นตัวในการใช้ชีวิตมากขึ้นครับ” ก่อนที่ยุ่นจะพูดบ้างว่า “เป็นคนแข็งแกร่งนะ ส่งพลังบวกให้คนอื่นได้ครับ”

ปิดท้ายที่ปูบอกว่า “นุ๊กเป็นแรงบันดาลใจให้ผมหลายๆ เรื่องนะครับ เป็นความสุข อะไรที่เราไม่เคยกล้าออกจากเซฟโซน ไม่กล้าที่จะทำ ไม่คิดที่จะทำ เขาจะดึงเราในแง่นั้นออกมาได้ คือบางทีเราไม่ทำเพราะเราไม่คุ้นชินกับมัน เขาจะมองเห็นความสามารถหลายๆ อย่างที่เราไม่คิดว่ามันอยู่ในตัวเรา เขาจะเห็นคุณค่าของเราหลายๆ สิ่ง โดยที่เราไม่เห็นค่าของมันเลย น้องจะดึงตัวตนของเราออกมาได้มากกว่าตัวเราเองด้วยซ้ำไป ฉะนั้นหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำไว้กับเรา ที่เขาเป็นห่วงเรา ดูแลเราจนถึงวินาทีที่เขาจากไป จริงๆ มันอยู่ในตัวเราทั้งหมด เราได้รับรู้และดำเนินตามในสิ่งที่เขาอยากให้เราเป็นไปครับ”

ถามว่าถ้านุ๊กซี่อยู่ตรงนี้ อยากบอกอะไรกับเขา ปูบอกว่า “จริงๆ ไม่ได้อยากบอกอะไรมากมาย ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้วละ เพราะว่าสิ่งที่นุ๊กได้วางไว้ แม้กระทั่งที่ถ่ายคลิป พูดไว้ต่างๆ นานา ทุกอย่างที่อยู่ในมือถือของนุ๊ก เราได้สานต่อทั้งหมด อะไรที่เขาทำค้างไว้ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องรู้สึกว่าว้า...ยังไม่ได้ทำ เพราะเราจะทำต่อให้ครับ"

เพลงแปลง

อีกมุมหนึ่งที่เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากแฟนๆ คือการทำเพลงแปลงของปูและวงเกะกะแบนด์ ที่หยิบเพลงเก่าๆ ของวงแบล็คเฮดมาแปลงเนื้อเพลงใหม่ ปูเล่าว่า “มันเป็นช่วงที่อยู่บ้านน่ะครับ คอนเสิร์ตทำไม่ได้ ตอนแรกเราทำไลฟ์เพราะมีเพจที่จะต้องไลฟ์ ก็มีเพื่อนๆ ศิลปินเข้ามา แต่มันก็อันตรายมาก นุ๊กก็ป่วย ไม่อยากให้ใครเข้ามาในบ้าน แต่ก็จะมีคนเข้ามาถ่ายทำคลิปวงเกะกะได้ เราก็ทำงานที่บ้านคนเดียวอยู่แล้ว เขียนเพลงจนจบ บันทึกเสียงเสร็จปั๊บ ที่เหลือแค่เข้ามาถ่ายทำ ก็เลยเกิดผลงานชิ้นนี้ออกมา

ปรากฏว่ากระแสมันดี ลูกค้าเข้า (หัวเราะ) นุ๊กเลยบอกว่าเอาตรงนี้เป็นหลักในช่วงเวลานี้ ก็เลยทำวงเกะกะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาครับ ทีนี้ 2 อาทิตย์ก็ต้องเขียนทีนึง แต่ก็ทำแป๊บเดียวนะครับ ก็จะบอกจุ๊บว่าพี่คิดออกแล้ว จุ๊บทำอะเรนจ์ให้หน่อย แล้วส่งกลับมาให้ผมร้อง ร้องเสร็จก็มีอีกคนคือมดมามิกซ์ก็จบแล้ว ที่เหลือใครว่างก็เข้ามาถ่าย แล้วพี่เต้ใส่ซับไตเติล ที่ถ่ายออกมาคือใช้โทรศัพท์ทำ ผู้กำกับก็คือนุ๊กครับ คิดหมดทุกอย่างว่าจะพรีเซนต์ออกมายังไง เขาถนัดเรื่องราวแบบนี้อยู่แล้ว” ต๋องเสริม “เสื้อผ้าหน้าผม ท่าเต้น เขาหมดครับ” ปูเล่าต่อ “เอาเสื้อยืดสีขาวมานั่งเพนต์ เขาสนุกครับ”

เราแซวว่าแทบจะลืมต้นฉบับที่ร้องแล้ว ปูหัวเราะก่อนพูดว่า “จริงๆ เราทำเพื่อให้คนยังนึกถึงเพลงเก่ามากกว่า บางคนอาจจะเอ๊ะ มาจากเพลงอะไร จนลามไปถึงน้องๆ ศิลปินคนอื่นบอกว่าเอาเพลงผมไปเขียนหน่อยพี่ ก็เอาเพลงเขามาเขียนบ้าง ผมก็มีเขียนเพลงของ Big Ass, โลโซ แต่เอามาผสมกันนะ มีเพลงของบี พีระพัฒน์ แล้วก็สไมล์ บัฟฟาโล่ ด้วย

ส่วนใหญ่แฟนๆ จะชอบ เราไม่ได้เขียนเสียดสีการเมือง จะไม่เล่นเรื่องพวกนั้นเลย มันก็จะเป็นการกลั่นกรองภาษาที่เลือกใช้ในเพลงแปลงของเราครับ เป็นแบบสันทนาการ สนุกสนานเฮฮาครับ ผมเขียนเนื้อเพลงเองหมดครับ” ถามว่าจะทำอีกมั้ย ปูบอกว่า “ขอให้มันมีอีโมชันแบบนั้นก่อน (หัวเราะ) ตอนนี้มันยังไม่มี ยังไม่ไหว”

27 ปี Blackhead

ตลอดชีวิตในวงการเพลงตลอด 27 ปีของแบล็กเฮดนับเป็นการทำงานที่ยาวนาน ซึ่งต๋องบอกว่า “ถ้าเป็นคนก็อาจจะแต่งงานมีลูกได้ แฟนคลับก็จูงลูกจูงหลานมาดูคอนเสิร์ต (ยิ้ม)” ส่วนความประทับใจในกันและกัน ต๋องบอกว่า “มันอยู่กันเหมือนเป็นพี่น้องไปแล้ว มันเป็นครอบครัวมากกว่า เราคุยกันจนไม่รู้จะคุยอะไรกันแล้ว ที่ผ่านมาก็มีปัญหาบ้างตามธรรมชาติของมนุษย์ พี่น้องอยู่ด้วยกันยังทะเลาะกันเลย นับประสาอะไรกับวงดนตรี ต่างคนต่างไม่เหมือนกัน ครอบครัวก็แตกต่างกัน ทำยังไงให้มันอยู่ด้วยกันได้ อันนั้นเป็นเรื่องสำคัญ”

ถามว่าเคยทะเลาะกันแรงขนาดไหน เอกบอกว่า “ก็นี่ (ชี้ไปที่ยุ่น) ออกจากวงไปรอบนึงแล้วอะ (หัวเราะ) แล้วกลับเข้ามาใหม่” ต๋องพูดต่อ “มันไม่ได้เป็นเรื่องทะเลาะ มันเป็นเรื่องไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ก็คุยกันได้ แล้ววงเราไม่ค่อยประชุมอะไรนะ สังเกตบางวงซีเรียสๆ เดี๋ยวประชุมๆ ก็วงแตกกันหมด” ปูพูดติดตลก “ไม่ต้องนัดประชุม จะได้มีแต่ความคิดถึง”

คิดว่าอะไรที่ทำให้แบล็คเฮดยังอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ต๋องนิ่งคิดและบอกว่า “ความเป็นพี่น้องเป็นเพื่อนกันสำคัญที่สุด คุยกันค่อนข้างง่าย ไปในทิศทางเดียวกัน” ปูเสริม “จริงๆ เราเข้าใจวิถีชีวิตของแต่ละคนกันดีครับ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ไปก้าวก่ายมาก เราเข้าใจชีวิตเขาแบบที่เราเป็น มากกว่าจะเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐาน” ส่วนนิยามความเป็นแบล็คเฮด ปูบอกว่า “ผมว่าแบล็คเฮดมีความเป็นครอบครัวสูงมากครับ อยู่ด้วยกันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ครับ รักกันแบบไม่มีข้อแม้ ไม่มีไปคาดหวังซึ่งกันและกัน”

ส่วนวีรกรรมฮาๆ ต๋องเล่าว่า “เมื่อกี้เปิดประตูรถตู้มา เดินกับยุ่นกับพี่ปู พี่เอกวิ่งเหมือนคนโดนถีบออกมาจากรถตู้ หัวทิ่มหน้าบันไดออฟฟิศหน้าตึก สะดุด พอเดินมาเมื่อกี้ก่อนจะสัมภาษณ์ก็สะดุดอีก เมื่อกี้จะนั่งโซฟาก็หงายอีก (หัวเราะ)”

เอกขอเอาคืนบ้าง “โห เรื่องพี่ต๋องก็เยอะ เคยไปเที่ยวด้วยกันที่แซ็กโซโฟนสมัยก่อน มันจะมีรั้วตรงสวนสาธารณะและมีรถจอดกลางคืน ก็นั่งกินเหล้ากัน พอเริ่มได้ที่ก็ทะเลาะอะไรไม่รู้ เขาก็เดินหายไปเลย เราก็นั่งคุยกับเพื่อนว่าพี่ต๋องหายไปไหนตั้งนานไม่กลับมาเลย สงสัยกลับไปแล้วมั้ง พอร้านเลิกก็เดินกลับไปที่รถ ก็ได้ยินเสียงโอย ช่วย-ูด้วย เราก็เอ๊ะ คล้ายเสียงพี่ต๋อง ตามไปเห็นพี่ต๋องเกาะรั้ว ขาเสียบอยู่กับแท่งรั้วอยู่แล้วคาอยู่แบบนี้ (หัวเราะ) แล้วที่สำคัญคือถัดไปนิดนึงคือประตู แล้วทำไมไม่ออกประตู ปีนทำไม” ต๋องรีบแก้ตัว “คือมันหงายตกด้วยความเมา แรงเราไม่มีจะฉุดตัวเองขึ้นมาได้ ก็ค้างอยู่อย่างนั้น เป็นที่มาของคำว่าเมาค้าง (หัวเราะ)”

ถามว่าปูมีวีรกรรมมั้ย ต๋องเล่าว่า “ล่าสุดที่จำได้คือไปสัมภาษณ์รายการแล้วนั่งรถตู้ไป แล้วรถตู้มารับผมคนแรก รับพี่ปูคนที่ 2 พอนั่งไปเขาก็บอกว่าให้เลี้ยวรถกลับ กูลืมโทรศัพท์ แต่ผมก็เหลือบหันไปมอง โทรศัพท์ก็อยู่ในมือเขา (หัวเราะ) แล้วมันคืออะไร ตอนนั้นซิงเกิล “สติค่ะสติ” เพิ่งออก ตื่นเช้าก็คงงงๆ เบลอไปหน่อย”

ส่วนแฟนเพลงของพวกเขา ปูเล่าถึงความประทับใจว่า “จริงๆ เราจัดมีตแอนด์กรี๊ดสำหรับแฟนคลับของแบล็คเฮด มันเหมือนเป็นพี่เป็นน้องมากกว่า มาถ่ายรูป ร้องเพลง แจกของขวัญกัน ทานข้าว ส่วนใหญ่จะไม่เหมือนแฟนคลับนะ เหมือนเป็นพี่น้องนั่งพูดคุยกันทุกเรื่อง ตอนน้ำท่วมก็จัดหาถุงทรายมาให้ ใครเป็นโควิดก็จะหายามาให้ เหมือนเราเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ของเด็กๆ (หัวเราะ) จนเขาพาลูกๆ มาติดตามผลงานของเรา”

ถามถึงความรู้สึกว่าวงแบล็คเฮดเหมือนเป็นครึ่งชีวิตเลยไหม ปูตอบว่า “เอาเข้าจริงๆ จะว่าอิ่มตัวมั้ยมันก็อิ่มมากๆ แล้ว เพราะว่าเราอยู่กันมาจนเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อน ไม่ได้คิดถึงว่าแบล็คเฮดจะต้องตะบี้ตะบันอยู่นะ ถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุขเราก็แยกย้ายกันไปแล้ว แต่เราก็ยังแฮปปี้กับการทำงานอยู่” ต๋องเสริม “เรามีงานก็เล่นด้วยกัน ไม่มีงานก็แยกย้าย ใครอยากทำอะไรก็ไปทำ” ปูพูดต่อ “ใช่ครับ มันไม่มีข้อผูกมัดอะไรตายตัว มันก็เลยทำให้วงเราไม่มีคำว่าแตกว่างั้นเถอะ (หัวเราะ)”

ปิดท้ายปูเป็นตัวแทนของวงขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามผลงาน “ก็ต้องขอบคุณตั้งแต่แฟนคลับแบล็คเฮดรุ่นแรกมาจนถึงรุ่นปัจจุบันนะครับที่ยังเหนียวแน่น มีความผูกพัน มีความรักให้กับแบล็คเฮดมาโดยตลอดนะครับ ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรใดๆ ไม่ว่าเราจะตกยุคแค่ไหน เขาก็ยังอยู่กับเรามาจนถึง 27 ปี ขอบคุณทุกๆ คนนะครับ ในวันเวลาที่เราสามารถเจอกันได้ เราจะมีมีตแอนด์กรี๊ดเหมือนเดิมนะครับ ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ๆ ด้วยนะครับ”.


ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun