- ทำความรู้จักกับ ต้นน้ำ-หมอโอ๊บ ในเรื่อง ทริอาช (Triage) ซีรีส์แฟนตาซีดราม่า เน้นความสมจริงทางการแพทย์
- เผยความสมจริงของการทำงานในห้องฉุกเฉิน ที่ถ่ายทอดออกมาได้สมจริง
- ความยากง่ายของการแสดง ที่มีวิชาชีพทางการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ทริอาช (Triage) ซีรีส์แนวเมดิคัลดราม่า (Medical Drama) ผลงานการผลิตจาก ทีวีธันเดอร์ ที่ผสมกลิ่นอายแฟนตาซีที่เน้นเรื่องราวของนาทีเป็นนาทีตายในห้องฉุกเฉิน ดึงผู้กำกับฝีมือคุณภาพ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล กำกับการแสดง และขั้นตอนการถ่ายทำ พร้อมส่งคู่จิ้นในตำนาน Boys’ Love อย่าง เต้ ดาวิชญ์ กรีพลฤกษ์ และ ตี๋ ธนพล จารุจิตรานนท์ กลับมาสร้างกระแสจิ้นอีกครั้งในรอบ 5 ปี
และนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งคู่ที่น่าสนใจ มารับบทคุณหมอในห้องฉุกเฉิน ก็คือ ต้นน้ำ เปี่ยมชล ดำรงสุนทรชัย รับบท หมอสิงห์ และ โอ๊บ ธนดล วงศ์สอาดสกุล รับบท หมอแก๊ป ที่จะมาเผยเบื้องลึกเบื้องหลังของซีรีส์สุดเข้มข้น พร้อมแจกโมเมนต์ความจิ้นไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะคู่ของ ต้นน้ำกับหมอโอ๊บ ก็เป็นอีกคู่ที่แฟนๆ พูดถึง
บันเทิงไทยรัฐ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ 2 หนุ่ม ต้นน้ำ-หมอโอ๊บ โดยเฉพาะหมอโอ๊บ ที่ในชีวิตจริงนั้นเป็นคุณหมอในโรงพยาบาล และมารับบทหมอในเรื่อง แถมยังเป็นเรื่องแรกที่ได้แสดงด้วย ด้าน ต้นน้ำ เผยว่า ทริอาช เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่รู้สึกกดดันที่สุด เพราะทุกอย่างต้องสมจริง ไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว
ต้นน้ำ "กระแสตอบรับดีกว่าที่คิดไว้ครับ ตอนแรกที่ทำออกมาขอให้ไม่โดนจับผิด ไม่โดนด่า แค่นี้ก็พอใจแล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนออกมาชมว่าดีมากครับ"
...
หมอโอ๊บ "กระแสตอบรับดีมากครับ แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็คือดีมากครับ"
เวิร์กชอปหนัก ทำงานหนัก ทุกอย่างต้องสมจริง
ต้นน้ำ "ใช่ครับ คือพี่โอ๊บเป็นหมอจริงอยู่แล้ว ส่วนเรายังไม่เคยเป็นหมอมาก่อนหรือเล่นบทหมอมาก่อน ก็ไปเวิร์กชอปวันแรกเราไปที่โรงพยาบาล ก็ไปดูงานก่อนว่าในห้องฉุกเฉินจริงๆ มันมีอะไรบ้าง และมีหน้าที่ของตัวเองอะไรบ้าง พอเราออกมาเราก็คิดว่าเราจะทำได้มั้ย จากนั้นพอเวิร์กชอปจริงๆ เราก็ไปดูงานในห้องฉุกเฉินจริงๆ ไปดูว่าบทแพทย์ที่เราจะเล่นเขาทำงานกันยังไง ทำอะไรในห้องฉุกเฉิน แล้วก็ไปเวิร์กชอปว่าการทำหัตถการ ชื่อเครื่องมือแต่ละอันเขาเรียกว่าอะไร มีวิธีใช้ยังไง ต้องจับยังไง"
หมอโอ๊บ "เราใช้เวลาในการเวิร์กชอปประมาณ 2 เดือนเลยครับ นอกจากต้องเวิร์กชอปด้านทางการแพทย์แล้ว ยังมีเวิร์กชอปด้านการแสดงด้วย เพราะโอ๊บก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ ก็ต้องใช้เวลาในส่วนนี้ด้วยครับ"
ต้นน้ำ "ผมก็ได้พี่โอ๊บช่วยเยอะเหมือนกัน เพราะพี่โอ๊บเป็นหมอ เราก็ถามเขาได้ทุกวันว่าอุปกรณ์นี้เรียกว่ายังไง จับยังไง และเราก็เป็นนักแสดงอยู่แล้วก็ช่วยพี่โอ๊บให้ผ่านไปได้ครับ"
หมอโอ๊บ "เนื่องจากซีรีส์เรื่องนี้เกี่ยวกับการแพทย์โดยตรง และคนที่มาแสดงบทแพทย์ไม่ใช่แค่ว่าเขาพูดคำศัพท์นั้นได้หรือแค่พูดชื่อโรคได้ แต่ทุกคนต้องทำความเข้าใจด้วย แม้กระทั่งการสั่งยา ต้องเข้าใจด้วยว่ายาตัวนี้ทำหน้าที่อะไร ช่วยเรื่องไหนบ้าง ทุกคนก็ต้องมานั่งเรียนกัน ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรเลยครับ"
หมอโอ๊บ เป็นหมออยู่แล้ว พอมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้เราต้องปรับตัวเยอะขนาดไหน?
หมอโอ๊บ "คือตอนแรกเราก็คิดว่าไม่น่าจะยากมาก เพราะเราเป็นหมออยู่แล้วมาเล่นบทหมอ แต่ฝั่งการแพทย์ก็ส่วนหนึ่ง ฝั่งทางการแสดงก็สำคัญครับ เพราะเราเป็นหมอเราต้องใช้สมองซีกซ้ายเป็นหลัก แต่ว่าเรื่องการแสดงเราต้องใช้อารมณ์และเป็นการทำงานของสมองซีกขวาเป็นหลัก ซึ่งในชีวิตเราไม่เคยใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเป็นหลักเลย มันก็เป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่งในชีวิต ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายของโอ๊บเหมือนกันในส่วนของการแสดงครับ
ในพาร์ตของบทหมอ เราเป็นหมออยู่แล้ว เราก็ต้องทำให้ถูกต้องในวิชาชีพอยู่แล้ว ต้องคุมทุกอย่างให้มันถูกต้องในฉาก เพราะบางหัตถการแต่ละอย่าง คนที่ดูในซีรีส์สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ ช่วยชีวิตคนจริงๆ ได้ มันเลยผิดไม่ได้ เพราะถ้าผิดแล้วมันจะผิดไปตลอดครับ แล้วในฉากจริงๆ ก็มีคุณหมอจริงๆ มาช่วยคุมด้วยครับ แล้วคนเขียนบทเขาก็เป็นหมอจริงๆ ด้วยครับ เลยจะผิดไม่ได้สักฉากเดียวเลย"
...
ทุกอย่างคือความท้าทาย
ต้นน้ำ "ครั้งแรกที่รู้ว่าได้มาเล่นเรื่องนี้ของผมรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ลองท้าทายตัวเอง ว่าจะสามารถทำได้ไหม ซึ่งมันไม่สามารถหาโอกาสแบบนี้ได้ง่ายๆ"
หมอโอ๊บ "ของโอ๊บได้มาจากการแคสต์ครับ คือทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการแคสติ้งเหมือนกันหมด ไม่ได้เห็นว่าเป็นหมอแล้วมาเล่นได้เลย ภูมิใจมากที่ได้มาเล่นซีรีส์ทางการแพทย์ครับ ให้คนได้เห็นมุมมองการทำงานของแพทย์จริงๆ เพื่อที่ว่าคนที่เขามาดูเขาจะได้เห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ เพราะในช่วงโควิดที่ผ่านมา เขาจะได้เข้าใจว่าป่วยแบบนี้แล้วไปรักษาที่โรงพยาบาลทำไมต้องรอนาน เพราะว่ามันมีเคสหลายเคสที่ต้องรอ และเราอยากจะสื่อในซีรีส์ครับ"
ต้นน้ำ "การทำงาน การถ่ายทำเครียดมากครับ เพราะมันกดดันในระยะเวลาที่ถ่ายทำ ด้วยระยะเวลาที่จำกัด เราอยู่ตรงนั้นเราจะทำให้มันเสียไม่ได้เลยครับ แล้วผมรู้สึกว่ายิ่งเราทำเมดิคอลดราม่าซีรีส์ พอมันเทคใหม่ เราก็ต้องกลับไปถ่ายใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น เราต้องทำให้ผิดพลาดน้อยที่สุดในการถ่ายทำด้วย"
หมอโอ๊บ "ของโอ๊บน่าจะเครียดหลายเท่าเลย เพราะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ และเป็นเรื่องแรกที่เล่นด้วยครับ ความเครียดความกดดันเรื่องการแสดงก็เลี่ยงไม่ได้ แต่เราโชคดีตรงที่ว่า ตั้งแต่ไปเราได้นอนอยู่ห้องเดียวกับ ต้นน้ำ ตลอด ก็ได้แชร์กัน มีบทอะไรที่โอ๊บกังวลก็ถามเขา เหมือนเขาเป็นครู ความเครียดอะไรก็บรรเทาไป แต่เรื่องความเครียดหน้าเซตเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็พยายามทำให้ถูกต้อง ทำให้มันดี สุดท้ายก็สำเร็จครับ"
ชื่นชม มะเดี่ยว ชูเกียรติ เป็นครูระดับตำนาน
หมอโอ๊บ "ตอนแรกก็กลัวครับเพราะพี่มะเดี่ยวเป็นระดับตำนาน มีชื่อเสียงมาพอสมควร แล้วยิ่งเราเป็นนักแสดงหน้าใหม่ด้วย พอได้มาทำงาน ได้มาเจอ เขามีวิสัยทัศน์ มีมุมมองชัดเจนด้วย รู้สึกโชคดีมากที่เรื่องแรกได้มาเจอเขา เป็นเหมือนครูที่คอยเป็นไกด์ให้เราด้วยครับ"
...
ต้นน้ำ "เราติดตามเขามาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่หนังเรื่อง รักแห่งสยาม เหมือนเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้เราอยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ รู้สึกว่าเราได้พัฒนาตัวเอง ได้ก้าวกระโดดในระหว่างถ่ายทำ เขาก็เหมือนเติมให้เราทีละส่วนๆ จนออกมาได้แบบนี้"
จุดเริ่มต้นการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงของหมอโอ๊บ
หมอโอ๊บ "เริ่มต้นจากว่าโอ๊บมีค่ายที่คอยดูแลศิลปิน แล้วพอดีว่ามีบทนี้เข้ามาพอดี เขาเลยให้มาแคสต์ โอ๊บยังจำวันแรกที่มาแคสต์ได้อยู่เลยเพิ่งลงเวรมา พอไปแคสต์ พี่ๆ เขายังบอกเลยว่า คนนี้แต่งตัวมาให้เข้ากับบทด้วย (หัวเราะ) ตั้งใจจังเลยถึงขั้นใส่ชุดหมอมาเลย แต่เปล่าเลยเป็นหมอจริงครับ (หัวเราะ)
พอมาแคสต์ก็มีเข้าคู่ มีการทำหลายอย่างมาก เพื่อให้ดูเหมาะสมมากที่สุด พี่ๆ ทางทีวีธันเดอร์เขาดูหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เหมาะสมกับบทหมออย่างเดียว แต่เขาดูความตั้งใจ ความทุ่มเทด้วยครับ คือใจจริงผมอยากเล่นเรื่องนี้ด้วย ตรงกับสายงานที่เราทำด้วย สองคือเราอยากได้เล่นเรื่องนี้มาก เพราะเราเห็นความตั้งใจของผู้จัด เขาอยากทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ทางการแพทย์ เป็นเมดิคอลดราม่าที่ไม่เคยมีในประเทศไทยมาก่อน และอยากชี้จุดต่างๆ อยากให้เห็นมุมมองทางการแพทย์มากขึ้น พอได้มาทำรู้สึกภูมิใจและดีมากๆ ดีใจที่วันนั้นพยายามมาแคสต์ เพื่อให้ได้บทนี้มาครับ"
...
เป็นการพลิกคาแรกเตอร์ครั้งสำคัญของต้นน้ำ
ต้นน้ำ "ของผมก็ได้มาแคสต์เหมือนกันครับ มาแคสต์ตอนแรกคนแคสต์ทำเทปหาย (หัวเราะ) เกือบไม่ได้เล่นแล้ว แต่เขาก็ไปหาจนเจอ ดีใจมาก ตอนนั้นโควิดพอดี กำลังช็อตเลยครับ (หัวเราะ) พอโดนเรียกมาเราดีใจได้กลับมามีงานทำอีกรอบ อย่างที่บอกเลยว่า บทมันท้าทายความสามารถของเรา เราอยากพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเราสามารถทำตรงนี้ออกมา ไม่รู้ว่ามันจะดีไม่ดี แต่เราสามารถทำให้ทุกคนได้เห็นครับ
แล้วที่กดดันอย่างมากเลยคือการพลิกคาแรกเตอร์ของผม ซึ่งผมจะได้เล่นบทแนวคอเมดี้มาตลอด ซึ่งเรามีความกังวลว่าคนที่มาดูจะติดภาพเรารึเปล่า เพราะตัวจริงเราก็ไม่ใช่คนที่เคร่งขรึมตามบทที่เราได้รับ เราเป็นคนที่อะเลิร์ตหน่อย พอซีรีส์ออกมา เป็นฉากที่เราออกมา ทำคนดูเชื่อ เขาก็บอกว่า เชื่อตามบทที่เราได้รับ จนลบภาพเก่าๆ ที่เราได้รับ"
ความแตกต่างของอาชีพหมอกับการเป็นดารา
หมอโอ๊บ "ยากมาก คือตอนแรกเราคิดว่าเราเป็นหมอ เป็นวิชาชีพที่ยากที่สุดในชีวิตเราแล้ว พอเราเข้าสู่วงการนักแสดงก็ยากมากเหมือนกัน แต่ยากในอีกแบบ มันมีความยากมันคนละแบบมากๆ อาชีพนักแสดงมันก็มีความยากไม่ต่างจากหมอเลยครับ จริงๆ เผลอๆ ยากกว่าการเป็นหมออีกครับ (หัวเราะ)
แล้วตอนที่ถ่ายซีรีส์ก็ต้องไปทำงานควบคู่ไปด้วยครับ เพราะอาชีพหมอไม่มีวันหยุดเลย ถ้าเราหยุดก็อาจทำให้คนอื่นต้องเพิ่มงานขึ้นไปด้วย เข้างานแทน และเข้าเวรแทนด้วย แต่ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ภาควิชาด้วยครับ โอ๊บเข้าไปคุยกับเขาโดยตรง คือหมอเนี่ยจะมีวันพักร้อนทั้งปีแค่ 2 สัปดาห์ครับ โอ๊บก็ขอเอาวันพักร้อนมาใช้ แล้วหลังจากนั้นก็ขอไปชดเชย ทางเพื่อน ทางอาจารย์ก็เข้าใจ เลยได้มาถ่ายครับ
ซึ่งหลังจากถ่ายทำเสร็จก็กลับไปทำงานเหมือนเดิมครับ คือก่อนหน้านี้โอ๊บเรียนเฉพาะทางต่อทางด้านอายุรศาสตร์อยู่ครับ เป็นคุณหมอด้านหัวใจในอนาคต ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเรียน 5 ปี แล้วพอมาทำงานในวงการควบไปด้วย เลยลาออกมาเป็นคุณหมอเกี่ยวกับด้านผิวหนัง ด้านความงาม ร่วมกับการทำงานด้านนี้ไปด้วยครับ
ถามว่าอยากเข้าวงการบันเทิงเต็มตัวมั้ย คิดว่าแล้วแต่โอกาสและบุญวาสนาครับ (ยิ้ม) ว่าจะไปได้ถึงขั้นไหน แต่มันเป็นเรื่องของอนาคตครับ ยังไงโอ๊บก็ยังไม่ทิ้งอาชีพของหมอแน่นอน อยากทำให้มันดีทั้ง 2 ด้านควบคู่ไปด้วยครับ"
ต้นน้ำ แทรกมาว่า "ทิ้งไม่ได้หรอก ค่าเทอมแพง (หัวเราะ)"
ต้นน้ำ "ตอนนี้เหมือนเราคิดไว้ว่าเราชอบด้านการแสดงอยู่แล้ว คือเราเรียนจบด้านนิติศาสตร์มา ตอนที่เรียนเราค้นพบตัวเองเร็ว พอรู้ว่าเราชอบทางด้านนี้ เราก็พยายามศึกษาในศาสตร์การแสดง การแอ็กติ้ง อีกหนึ่งความฝันคืออยากเป็นแอ็กติ้งโค้ชด้วยครับ ก็เคยไปร่วมเป็นแอ็กติ้งโค้ชในซีรีส์ของสังกัดตัวเอง และเดี๋ยวจะได้ไปเป็นแอ็กติ้งโค้ชเต็มตัวด้วยครับ เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ท้าทายเหมือนกัน
ผมอยากแสดงมากกว่า อยากเป็นนักแสดงที่สุดเลยครับ แต่การเป็นแอ็กติ้งโค้ชเป็นตัวเลือกที่สองของเรา ยิ่งพอผมเห็นพี่โอ๊บเขาเล่นได้ แสดงได้ เรายิ่งภูมิใจในตัวเขาเหมือนกัน เพราะเราพูดให้เขาเข้าใจ และเขาสามารถทำได้"
หมอโอ๊บ "(แสดงว่าต้นน้ำเป็นครูของโอ๊บเลย?) เป็นครูเลยครับ คือทุกเย็นหรือก่อนนอน ผมก็จะให้เขามาซ้อมบท ให้เขาช่วยอธิบายบทว่าเป็นยังไง ช่วยต่อบท เหมือนช่วยเติมเต็ม ช่วยแลกเปลี่ยนกัน"
ใจฟูสุดๆ ที่มีคนชื่นชอบ
ต้นน้ำ "ดีใจที่แฟนๆ ชอบตัวละครที่เราเล่นครับ แล้วก็ของโอ๊บก็เหมือนกับว่าเขาเพิ่งได้ลองสัมผัสการพูดคุยกับแฟนๆ ก็เหมือนช่วยเปิดโลกใหม่ให้กับเขาด้วยครับ รู้สึกว่าการที่มีคนมาชื่นชอบ มันเสริมกำลังใจให้กับเขา เหมือนทำให้ใจฟูขึ้นด้วยครับ"
หมอโอ๊บ "ของโอ๊บก็ดีใจครับ รู้สึกว่าตัวละครหมอแก๊ปกับหมอสิงห์เป็นตัวละครที่มีความสัมพันธ์ที่น่ารักมาก แล้วก็พัฒนาต่อไป คิดว่าอยากให้ดูกันต่อไป ซัพพอร์ตกันไปเรื่อยๆ ครับ
คือชีวิตของโอ๊บกับต้นน้ำก็สนิทกัน เหมือนถูกบังคับให้มาอยู่ด้วยกัน ให้นอนด้วยกันตลอด 2 เดือน โอ๊บว่าความสัมพันธ์ของเรากับต้นน้ำก็เหมือนในเรื่องครับ จากคนที่สนิทกัน ไม่รู้จักกัน แต่ด้วยเหตุผลที่ต้องมาทำภารกิจด้วยกัน มาแสดงด้วยกัน ทำให้สนิทกันมากขึ้น ก็อยู่กันมา 2 เดือนไม่เคยทะเลาะกันเลย หลังๆ ก็คือมองตาก็รู้แล้วว่าคิดอะไร (หัวเราะ) ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาเจอหน้ากันทุกวัน 24 ชม. เลย เพราะไม่ได้ไปไหนกันเลย ก็เหมือนตัวละครในเรื่องครับ"
ต้นน้ำ "พอถ่ายซีรีส์เสร็จเราก็ยังคุยกันอยู่ตลอด ไม่ได้แยกกันไปไหน อย่างเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไลน์ถามพี่โอ๊บว่าควรจะทำยังไง"
ครอบครัวเคยไม่เข้าใจ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
หมอโอ๊บ "ในมุมมองของคนทั่วไปหมอมันเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ในการมาเป็นนักแสดงก็เป็นความท้าทายเหมือนกัน ตอนแรกเขาก็ไม่ชิน แต่เราก็ให้ความมั่นคงในใจกับเขาว่าเรามาทำอย่างนี้ แล้วเรามีอะไรซัพพอร์ตให้มันเกิดความมั่นคงขึ้นบ้าง คือเราอาจจะยังไม่ได้มาทำงานแสดงเต็มตัว เราก็ยังทำงานด้านหมอไปด้วย คือผู้ใหญ่อาจจะมองว่างานด้านบันเทิงมันไม่มั่นคงนะ แต่ถ้าเราคุยกับเขาด้วยเหตุและผล และก็ให้เวลาเขาทำความเข้าใจไปด้วย คิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่อยู่ในจุดกึ่งกลางพอดี ซึ่งที่บ้านโอ๊บก็ใช้เวลากว่าจะเข้าใจครับ แต่เราก็ทำให้เขาเห็น และใช้เวลากับเขามากขึ้นครับ"
ต้นน้ำ "แล้วผมคิดว่ามันก็มีหมอหลายคนที่ทำงานในวงการบันเทิงไปด้วย และทำงานในด้านการแพทย์ไปด้วย ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างครับ"
ต้นน้ำเข้าวงการบันเทิงกี่ปีแล้ว?
ต้นน้ำ "ตอนนี้น่าจะประมาณปีที่ 4-5 แล้วครับ สนุกมากครับ ผมคิดว่าการแสดงมันไม่มีเรื่องน่าเบื่อสำหรับผมเลย บทที่ผมได้รับไม่มีอะไรน่าเบื่อ เป็นอาชีพที่เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ อย่างตอนนี้ใครจะคิดว่าวันหนึ่งผมจะได้มาเป็นหมอ ซึ่งมันเป็นอาชีพเดียวเลยนะครับที่เราสามารถรับบทบาทในตำแหน่งอะไรก็ได้ มีแปลกใหม่ได้เรื่อยๆ มีงานให้ผมได้สนุกได้ตลอดเวลา และมีความสุขที่ได้ทำงาน มีคำหนึ่งที่ผมชอบมากเลย สิ่งไหนที่คุณตื่นเช้าแล้วลุกออกไปทำโดยไม่ขี้เกียจ มันคือสิ่งที่คุณรักที่สุดแล้ว
แล้วผมโชคดีที่คุณพ่อของผมให้ความช่วยเหลือและซัพพอร์ตในด้านการแสดง แต่แม่ผมอยากให้ไปเป็นทนายในด้านที่เรียนมา แต่พ่อบอกว่า อาชีพนักแสดง ไม่ใช่อาชีพที่ใครสามารถเป็นได้ มีไม่กี่คนที่ได้รับโอกาสในสิ่งที่ตัวเองชอบและเป็นได้ด้วยครับ เลยได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่ครับ แค่ผมมองว่าอาชีพไหนก็ตามที่เราชอบมัน และทุ่มเทกับมัน มันทำให้เราได้ดีและประสบความสำเร็จแน่นอนครับ แต่ตอนนี้แม่โอเคแล้วครับ ทุกคนในบ้านซัพพอร์ตเต็มที่เลย"
ฟีดแบ็กดีจนหายเหนื่อย
หมอโอ๊บ "หายเหนื่อย ใจฟู เราไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่มีคนมาชมกับการเป็นนักแสดงครั้งแรก แล้วพอชมแล้วเหมือนเติมกำลังใจให้เราทำผลงานให้ดี และเราก็ตั้งใจ ไม่ใช่แค่นักแสดงเท่านั้น ทางผู้จัดและทีมงานก็ด้วยครับที่เขาตั้งใจทำออกมาให้มันดี พอได้กระแสตอบรับแบบนี้ทุกคนน่าจะดีใจครับ"
ต้นน้ำ "ถ้าถามว่าหายเหนื่อยมั้ย แล้วเราบอกว่าหายเหนื่อย มันก็ดูเหมือนเราปลอมแหละ แต่เราภูมิใจมากกว่า"
หมอโอ๊บ "โอ๊บขอฝากซีรีส์เรื่อง ทริอาช เป็นซีรีส์แนวใหม่ เมดิคอลดราม่าครับ ที่สอดแทรกเนื้อหาด้านการแพทย์ที่สมจริง เราพยายามทำให้สมจริงเพื่อให้คนได้เห็นมุมมองการทำงานในห้องฉุกเฉินจริงๆ เห็นวินาทีเป็นวินาทีตายจริงๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อบุคลากร และเกิดความเห็นใจต่อบุคลากรมากขึ้นครับ แล้วความดราม่าที่เรามีเส้นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครที่เรายังไม่ได้เปิดเผยไปจนหมด ทั้งเรื่องความรักและการวนลูปเวลา ซึ่งในชีวิตจริงเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขเวลาได้เหมือนในซีรีส์ เลยเป็นข้อคิดอีกอย่างว่า ทุกวันที่เกิดขึ้น เราควรทำให้ดีที่สุดเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิตครับ"
ต้นน้ำ "ผมขอฝากแฟนๆ ว่า สถานที่ถ่ายทำคือที่เชียงใหม่ ถ้าดูแล้วชอบ ก็สามารถไปตามรอยได้นะครับ และขอขอบคุณแฟนๆ ที่ให้กระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม เราดีใจมากที่ความทุ่มเทของเราและทีมงานครับ"
หมอโอ๊บ "ผมมีความสุขมากครับ เห็นกระแสตอบรับดีมาก คือเราไม่เคยสัมผัสการเป็นนักแสดงเลย พอมาวันนี้ได้เห็นกระแสจากแฟนๆ เห็นฟีดแบ็กต่างๆ คนชื่นชม คนทวีต ก็รู้สึกน้ำตาซึมๆ ใจฟูๆ และพอได้ฟังฟีดแบ็กจากบุคลากรทางการแพทย์ เขาก็บอกว่า มันดีมากเลยนะ เหมือนช่วยสะท้อนชีวิตเขาจริงๆ แค่นั้นเราก็รู้สึกว่าเราใจฟูมากแล้ว ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ในชีวิตครับ และก็อยากจะมีต่อไปเรื่อยๆ".
ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า
กราฟิก : Anon Chantanant