• ทำความรู้จัก นนน กรภัทร์ หนุ่มหล่อวัยใส ที่เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 3 เดือน
  • เล่นหนังเรื่องแรก อีกหนึ่งความใฝ่ฝันในชีวิต 
  • ชีวิตเหมือนรอจังหวะและโอกาส เข้ามาอยู่แกรมมี่ได้เพราะไปวัด!!

ผ่านการทำงานมามากมายตั้งแต่อายุยังน้อย สำหรับนักแสดงดาวรุ่งอย่าง นนน กรภัทร์ เกิดพันธุ์ ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นขวัญใจของใครหลายคนไปแล้ว หลังจากที่ซีรีส์เรื่อง "แค่เพื่อนครับเพื่อน" ได้ออนแอร์ไป กระแสตอบรับดีแบบไม่หยุด ทำให้ยอดฟอลโลว์อินสตาแกรมของ นนน ในตอนนี้ทะลุ 4.2 ล้านแล้ว 

และกับผลงานชิ้นล่าสุด กับหนังเรื่องแรกในชีวิตของ นนน กับเรื่อง "SLR กล้อง ติด ตาย" ของค่ายเอ็ม พิคเจอร์ส ร่วมกับ เฌอปราง อารีย์กุล, ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ ซึ่งเจ้าตัวก็ทุ่มเทเต็มที่ในการทำงาน แม้ปากจะบอกว่ายากสุดๆ แต่ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น กระทั่งออกมาเป็นหนังหนึ่งเรื่องที่กำลังรอฉาย โดย นนน ได้เปิดใจกับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ถึงการทำงานในหนังเรื่องแรกในชีวิตให้ฟัง

เป็นงานชิ้นแรกที่เอ่ยปากว่า ยากมาก!

"เรื่องนี้เจอแต่คนที่ผ่านประสบการณ์การเล่นหนังมาแล้วทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพี่เฌอปราง, ศดานนท์ หรือพี่อ้น-นพพันธ์ ซึ่งพี่อ้นเป็นครูสอนการแสดงด้วย ถามว่าผมกดดันไหมที่เจอคนเก่งๆ นิสัยเสียของผมคือเวลาเจอคนเก่ง ผมไม่กดดัน เราสนุกไปกับเขามากกว่า เขาเล่นมา เราเล่นกลับ

เหมือนเวลาเราเจอคนเก่ง เราเป็นประตู ส่วนคนที่ยิงลูกเป็นโรนัลโด เขายิงมา 20 ลูก เราก็พยายามรับให้ได้ แต่ก็อาจมีฟีลเครียดๆ ผสมไปบ้าง อย่างพี่อ้นต้องยอมรับว่าเขาเก่งมาก หลังจากเวิร์กช็อปเสร็จ ผมขอเรียนการแสดงกับพี่อ้นเพิ่มเติมเลย พี่เขาถ่ายทอดความรู้ให้เต็มที่มาก

...

การแสดงในเรื่องนี้ยอมรับว่ายากทุกฉากเลย ผมบริหารพลังของผมในการทำงานทั้งวันไม่ได้ แต่ละฉากที่ผมเล่น ผมใช้พลังไปหมดเลย อาจเป็นเพราะเราไม่มีความรู้ศาสตร์การแสดงหนัง ต้องมาเรียนรู้ใหม่ เซตซีโร่เลย เราต้องเรียนรู้ใหม่ สังเกตจากศดานนท์ พี่เฌอ และพี่อ้น ปรึกษาผู้กำกับตลอด

ในส่วนของการร่วมงานกับผู้กำกับใหม่ 2 คน ก็สนุกดีนะครับ พี่มาร์คจะอธิบายสิ่งที่เขาต้องการชัดเจน พี่เอ็ดมีความเป็นมนุษย์ เข้าใจคนหลากหลายรูปแบบ บางฉากอารมณ์ที่เราเล่นไม่ชัดกับที่เขาต้องการ เขาก็จะบอกว่าให้ลองเพิ่มตรงนั้นตรงนี้ไปหน่อยซิ พอเพิ่มไปปุ๊บมันก็ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ และเราเองก็กลับมามองว่าเออ! ใช่ อารมณ์มันควรเป็นแบบนี้นะ ทำให้เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการแสดงหนังไปได้เยอะเลยครับ"

"หนังเรื่อง SLR กล้อง ติด ตาย เป็นเรื่องราวของ แดน ชายหนุ่มที่ต้องทำธีสิสจบครับ แล้วมันก็ต้องมีการแลกอะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองสำเร็จ ว่าจะยอมมั้ย ซึ่งมันก็มีกล้องเข้ามาเกี่ยวครับ เป็นกล้องปิศาจ 

คาแรกเตอร์ของ แดน เป็นคนมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะผลักดันตัวเอง พิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำครับ"

"การทำงานในกองถ่าย ยอมรับว่าเหนื่อยครับ (หัวเราะ) ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 18 วันครับ แล้วเหมือนเป็นหนังเรื่องแรกของผมด้วยครับ เลยต้องเรียนรู้วิธีการทำงานหลายๆ อย่าง ก็เลยแบบยากหน่อยครับ

เรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกที่เป็นหนังแนวทริลเลอร์ด้วยครับ เลยทำให้ต้องปรับตัวเยอะหน่อยครับ ถามว่าเป็นคนกลัวสิ่งลี้ลับ หรือกลัวผีมั้ย ผมเป็นคนกลัวครับ (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่หนังเรื่องนี้มันไม่เป็นหนังผีมากขนาดนั้น เลยไม่ได้ทำให้ผมกลัวมากจนติดตัวกลับไปบ้าน

แต่หนังเรื่องนี้มันเป็นหนังแนวปิศาจเลย ไม่ได้กลัวมากเท่าไร แต่ผมจะกลัวหนังแนวนางตะเคียน ผีแม่นากอะไรมากกว่า แต่เรื่องนี้มันมีความแฟนตาซีอะไรมากกว่า เราเลยไม่ได้กลัวระหว่างถ่ายทำ"

ชื่นชม ศดา-เฌอปราง ทำงานเก่งสุดๆ

เมื่อถามว่า เข้ามาเล่นหนังเรื่องนี้ได้ยังไง หนุ่ม นนน บอกว่า ผ่านการแคสติ้งมา "ผมแคสติ้งมาครับ คือพี่ที่แคสติ้งรู้จักกัน แล้วเขาผ่านการทำเรื่อง โฮมสเตย์, เลือดข้นคนจาง มาก่อน แล้วเราก็ได้คุยกันในทำนองว่า ทำไมเราไม่ได้ทำงานด้วยกันสักที รู้จักกันมานานมาแล้ว เวลาเจอกันก็จะแซวตลอด กระทั่งได้บทเรื่องนี้มา พอพี่เขาได้อ่านบท เขาก็ทักผมมาเลยว่าบทนี้เหมาะกับผม ให้ลองมาแคสต์ดูหน่อย แล้วก็ได้เล่นเรื่องนี้เลย"

ร่วมงานกับ เฌอปราง ครั้งแรก สนุกดีครับ แล้วพี่เขาเก่ง คือเวลาเราทำงานเราจะสนุกอยู่แล้ว อย่างกับ ศดา (ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์) กับ เฌอ (เฌอปราง อารีย์กุล) 2 คนนี้เก่งมากๆ มันเหมือนเราได้เรียนรู้ไปด้วย ได้สนุกไปด้วย"

"ตอนแรกบอกเลยว่า ผมเกร็งนะที่ได้เล่นกับพี่เฌอ คือพี่เฌอเขาจะมีลุคที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า เราก็ไม่ค่อยกล้าเล่นกับพี่เขาเท่าไร"

...

การเล่นหนังเหมือนได้เริ่มต้นใหม่จากศูนย์

"ถ้าเปรียบกันผมว่าซีรีส์จะง่ายกว่า เพราะเล่นมาตลอด แต่กับหนัง ผมยังไม่เคยได้ลองทำเลย มันเลยใหม่สำหรับเรามากๆ ถ้าเปรียบเทียบให้ฟังง่ายๆ แพลตฟอร์มของซีรีส์มันคือทีวี ไอแพด หรือว่าโทรศัพท์ต่างๆ

แต่พอมาเป็นหนัง สเกลมันใหญ่ขึ้น จอมันใหญ่ขึ้น การเล่นมันอาจจะต้องชัด หรือคำพูดที่ใช้ต้องกระชับ ชัด และเร็ว มันไม่ได้มีเวลาเหมือนซีรีส์ เวลาเราเล่นซีรีส์เราจะใส่อารมณ์ไปได้ แต่เวลาเป็นหนัง เราต้องให้กระชับไปเลย เพราะเวลามันไม่พอในการเล่าเรื่อง เพราะมันมีเวลา 1.30-2 ชั่วโมง แต่ซีรีส์มันมีเวลายาวเลยเป็น 10 ชั่วโมง"

"ใจผมอยากเล่นหนังตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คือเราก็ชอบดูหนัง และเรียนฟิล์มมา อยากได้บทที่ท้าทาย หรือยากขึ้น พอได้มาเล่นหนังเรื่องแรกก็รู้สึกชอบ มันเหมือนเป็นการเรียนรู้ใหม่ เราต้องเริ่มจากศูนย์เลย ได้รู้ข้อเสียของตัวเองมากขึ้น พอได้เล่นอีกเรื่องเราก็ปรับแก้ไขในจุดที่เป็นข้อเสียของเราได้" 

"ผมเป็นคนชอบดูหนังแนวจิตวิทยาสืบสวนสอบสวนครับ แล้วก็ชอบดูแนวไซไฟด้วยครับ แต่จริงๆ ผมดูได้ทุกแนวนะ ถ้าเอาแบบวิเคราะห์เครียดๆ เลย ผมก็จะชอบดูแนวสืบสวนสอบสวนครับ"

คุณแม่ผลักดันส่งเข้าวงการตั้งแต่อายุ 3 เดือน

"ถ้าเริ่มเข้าวงการจริงๆ ผมจะเริ่มจากเล่นโฆษณาครับ เริ่มถ่ายโฆษณาภาพนิ่งตัวแรกตอนอายุ 3 เดือนครับ แล้วแม่เขาอยากให้เราทำงานในวงการบันเทิงแหละ เขาก็พาไปแคสต์ทุกวัน หรือว่าหลังเลิกเรียน และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จะไปแถวทาวน์อินทาวน์ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คือตอนเด็กๆ ผมจะได้เล่นโฆษณาอย่างเดียวเลยครับ ยังไม่เคยได้เล่นละคร 

ถ้าเป็นละครเรื่องแรก ผมได้เล่นรับเชิญเรื่อง อีสา รวีช่วงโชติ ครับ เล่นกับพี่นุ่น วรนุช ครับ ตอนนั้นอายุ 11-12 ครับ จากนั้นก็ได้ไปแคสต์ ฮอร์โมน เดอะเน็กซ์เจน แล้วก็ได้รับเชิญฮอร์โมนฯ แล้วก็ได้เล่นละคร จากนั้นก็ได้เข้าแกรมมี่ครับ"

...

เคยคิดชีวิตวัยเด็กขาดหาย แต่ก็แลกมาด้วยประสบการณ์ 

เมื่อเราถามว่า การที่ นนน เข้ามาทำงานในวงการนี้ตั้งแต่เด็กๆ เคยคิดไหมว่าเหมือนขาดชีวิตในวัยเด็กไป เจ้าตัวก็ได้คิด พร้อมกับยอมรับว่า รู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กหายไปจริงๆ

"ก็รู้สึกว่าหายครับ แต่เมื่อเรามาคิดๆ ดูแล้ว เราก็มีเสียดายบางอย่างแหละ อย่างเราไม่ได้ไปนอนบ้านเพื่อน ไม่ได้ไปเที่ยว อย่างตอนเข้ามหาวิทยาลัย อาจจะไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนตามประสาเด็กวัยรุ่น หรือไม่ได้ไปนั่งชิลๆ กับเพื่อน

มันก็รู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่น หรือวัยเด็กหายไปบ้าง แต่เราก็ไม่ได้ต้องการมันขนาดนั้น มันเหมือนเราเริ่มทำงานมาแต่เด็กด้วย เลยไม่ได้โฟกัสตรงนั้นมาก คือผมไม่ได้รู้สึกว่าขาดหายนะ แต่ถ้ามีบ้างก็ดี (หัวเราะ)"

เข้ามาอยู่แกรมมี่ได้ เพราะไปวัด!!

ทั้งนี้ นนน ยังได้เปรียบชีวิตของตัวเอง เหมือนต้องรอจังหวะเวลา เพราะตอนที่ได้เข้ามาในสังกัดของแกรมมี่ มันบังเอิญสุดๆ 

"อืม ผมว่ามันเป็นเรื่องจังหวะชีวิต จังหวะเวลา จังหวะอะไรหลายๆ อย่าง อย่างตอนผมเข้าแกรมมี่ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะได้เข้า ผมเริ่มจากไปวัดด้วยซ้ำ คือเหมือนวันนั้นผมเข้าไปปฏิบัติธรรมวันพ่อ แล้วเหมือนพี่ที่แกรมมี่คนหนึ่งเขาไปที่วัดนั้นพอดี เขาเห็นเรายุกยิก เขาเลยเรียกเราไปคุย

...

ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเรื่องจังหวะมากกว่า อย่างตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ได้คิดจะจริงจังทางด้านนี้ แล้วเมื่อก่อนเราก็อยู่ในจุดที่วิ่งแคสต์งานวันหนึ่งประมาณ 5-6 ที่ หรือเราไปแล้วนั่งรออย่างเดียวเลยก็มี เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจังหวะเวลา เพราะโอกาสก็เท่าๆ กับคนอื่นครับ"

ชีวิตตอนนี้แค่เลี้ยงดูแม่กับน้องได้ ก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

"ความภูมิใจสำหรับผม ถ้าเมื่อก่อนเราคิดว่างานมันต้องดัง ต้องมีคนรู้จักเยอะ แต่พอเราทำไปเรื่อยๆ เราก็รู้ว่าจริงๆ อันนั้นมันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครมาดูงานและชอบงานเราได้ ก็ได้แค่พอใจในสิ่งที่เราทำ และมันดีที่สุดสำหรับเราแล้ว แล้วถ้าถามถึงความสำเร็จในชีวิต มันก็แค่เราทำสิ่งที่เราชอบเป็นอาชีพได้ เลี้ยงดูแม่กับน้องได้ครับ"

เราถามต่อว่า เคยถามคุณแม่มั้ยว่า ทำไมถึงอยากให้ นนน เข้ามาทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่เด็กๆ เจ้าตัวบอกว่า ไม่เคยคุยเรื่องนี้ 

"เออ ข้อนี้ผมก็ไม่เคยคุยกับเขาจริงๆ จังๆ แต่เขาก็รู้สึกว่าพ่อก็อยู่ในวงการบันเทิงมาก่อนอยู่แล้ว และมันก็มีคอนเนคชัน มีลู่ทางไปได้ เขาก็เลยอยากดันเราประมาณนี้"

"ครอบครัวผมเขาก็ไม่ได้ห้าม อย่างแม่เขาก็จะถามเราว่าเราอยากแคสต์งานมั้ย เวลาทำงานชอบมั้ย เราก็บอกว่าชอบ คือตอนเด็กๆ เราก็คิดแค่ว่าเราได้โดดเรียน เพราะบางทีการไปแคสต์งานก็ตรงกับวันธรรมดา เราก็รู้สึกว่าเราได้โดดเรียนอ่ะ เราได้ไปทำอะไรที่ไม่เคยทำ ไปเจอพี่ๆ ในกองถ่าย เราเลยรู้สึกสนุก แม่เขาก็บอกว่า โอเคได้ หลังจากนี้ก็จะพาไปแคสต์เรื่อยๆ ถ้าได้งานก็ดีใจ เหมือนเราได้ไปเล่น ไปเจอเพื่อน

ส่วนพ่อจริงๆ เขาไม่ได้สนับสนุนให้เข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก เพราะว่าเขาอยากให้เรียนก่อน แต่หลังๆ มาเขาก็ซัพพอร์ตเรา พอหลังจากจะเข้ามหาวิทยาลัย แล้วเราปักธงชัดเจนว่าเราจะไปทางนี้ ไปเป็นนักแสดงมืออาชีพ เขาก็โอเค ได้ เขาก็ซัพพอร์ตดี"

ผมเป็นคนบ้างาน

"ถามว่าพ่อกับแม่หวงไหม ถ้าหวงในทางที่จะต้องออกไปทำงาน เขาไม่ค่อยหวงเท่าไร แต่ถ้าห่วงเขาจะห่วงเรื่องการทำงานของเรามากกว่า เพราะเราเป็นคนชอบทำงาน และดิ้นรนในการทำงานหนักเกินไปครับ บางทีมันเสียสุขภาพอะไรหลายๆ อย่าง

อย่างที่ผ่านมาผมรับงาน ทำงานตลอด ไม่ค่อยได้พัก ก็เคยมานั่งฉุกคิดดูว่า 5 ปีที่เข้ามาในแกรมมี่ เราก็ทำงานทุกปี และแทบทุกเดือนเลยครับ ถึงไม่ได้มีอีเวนต์ แต่เราก็มีถ่ายซีรีส์ตลอดครับ ถ้าวันว่างช่วงก่อนเรียนจบมัธยมเราก็ไปเรียน แรกๆ จะทำงานทุกวันเลย เอาจริงๆ ผมจะเป็นคนบ้างาน ไม่ชอบปล่อยให้ตัวเองว่าง"

"ตอนนี้ผมอายุ 21 แล้วครับ ก็คือเหมือนเราเริ่มต้นมาในทางนี้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ก็รู้สึกว่าสนุก แล้วก็เป็นสิ่งที่เรารัก ไม่ได้ชิน แต่ชอบครับ เราชอบทำงาน ไม่ชอบปล่อยให้ตัวเองว่างด้วย เรียกว่าเป็นคนสมาธิสั้นก็ได้ครับ

ถามว่าเคยมีวันที่ตื่นมาแล้วไม่อยากไปทำงานมั้ย เอาจริงๆ ก็มีนะครับ มันเหมือนบางทีร่างกายเราไม่ไหว แต่เราก็อยากทำ"

มองตัวเองเป็นนักแสดงเล่นได้หลายบท ไม่เคยแบ่งแยก

เมื่อเราได้ถาม นนน ว่า ก่อนหน้านี้เล่นซีรีส์วายมา มันมีความแตกต่างกันไหม ระหว่างวายกับชายหญิง เจ้าตัวบอกว่า มันไม่ได้ต่างกันเลย มองว่าเราเป็นนักแสดง เราเล่นได้หลากหลายบทบาท

"จริงๆ มันไม่ได้ต่างกันนะครับ เรื่องนี้มันไม่ได้มีความโรแมนซ์เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาครับ แต่เท่าที่ก่อนหน้านี้เคยเล่นกับผู้หญิงมาที่มีความโรแมนซ์มากกว่านี้ มันก็ไม่ได้รู้สึกว่าต่าง เป็นความรักเหมือนกัน แต่แค่มันคนละรูปแบบ ไม่ต่างกันเลย"

"คือตัวผมอ่ะ เล่นได้หลายบทบาท หลายรูปแบบ เพราะผมมองว่าตัวเราเป็นนักแสดง"

"ถ้าตอนนี้ที่ผมวางเป้าไว้จริงๆ ก็อยากไปด้านวงการเพลงก่อน มันเหมือนว่าก่อนหน้านี้เราก็ทำควบคู่กันมา นักร้องด้วย นักแสดงด้วย ด้านนักแสดงเราก็ทำได้ในระดับหนึ่งแล้ว เราก็อยากจะผลักดันตัวเองในเรื่องนักร้อง ศิลปินบ้างครับ

คือผมก็อยากทำควบคู่กันไป ทั้งงานแสดงและนักร้อง อย่างตอนที่เราไม่ได้ทำงานแสดง เราก็ทำงานเพลง ตอนนี้กำลังทำอัลบั้มอยู่ครับ"

ขอบคุณแฟนๆ ที่ให้กำลังใจกันมาตลอด

"ผมขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่ซัพพอร์ตนะครับ คอยให้กำลังใจกัน คอยทำโปรเจกต์ คอยติดตาม รอคอยติดตามผลงานของผมครับ ผมหวังว่าถ้าสถานการณ์ดีขึ้น เราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่านี้ครับ (ยิ้ม) แล้วก็ฝากหนังเรื่อง SLR กล้อง ติด ตาย ด้วยนะครับ เป็นหนังเรื่องแรกของผม อยากให้ไปดู ช่วยกันติชมด้วยนะครับ ผมคิดว่าน่าจะสนุกครับ คิดว่าน่าจะเป็นอะไรใหม่ๆ ที่คนอาจจะไม่ค่อยได้เห็นมาก

ถามว่าจากที่เล่นหนังเรื่องนี้มา ผมให้คะแนนตัวเองเท่าไรกับหนังเรื่องแรก สำหรับผมให้คะแนนตัวเองแค่ประมาณ 5-6 คะแนนก่อนครับ เพราะด้วยมันเป็นหนังเรื่องแรกด้วย มันเลยยังไม่รู้ตัวเอง ยังไม่รู้วิธีการเล่น ยังไม่รู้วิธีการสำรวจตัวเองว่ายังไง ก็ต้องรอดูอีกทีในวันที่ออนแอร์ในโรงหนังครับ".

ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า

กราฟิก : Chonticha Pinijrob