• ชอบเล่นดนตรีกับเพื่อน ได้โอกาสกลายเป็นศิลปินดัง ยอมรับเสียดายชีวิตวัยรุ่นที่หายไป
  • จากนักร้อง โปรดิวเซอร์ สู่คนทำค่ายเพลง ขาดทุนจนท้อ หยุดทำเพลงไป 5-6 ปี
  • ความรักกับ เมทัล สุขขาว อยากมีลูก แต่ติดปัญหาสุขภาพฝ่ายหญิง รอโควิดซาค่อยเดินหน้า

คุ้นหน้าคุ้นตากันมานานกว่า 28 ปีแล้ว สำหรับนักร้องหนุ่มหล่อขั้นเทพ โดม ปกรณ์ ลัม ที่เริ่มเข้าสู่วงการเพลงด้วยการเป็นศิลปินวัยรุ่นสุดฮอตในค่ายอาร์เอส ก่อนจะมาฟอร์มวง Nologo ร่วมกับเพื่อนๆ ออกอัลบั้มในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จนวันนี้กลายเป็นเจ้าของค่ายเพลงเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยคุณภาพ Iconic Records

แต่ในวันวานของโดม แม้จะเป็นศิลปินดังที่ประสบความสำเร็จมามากมาย แต่โดมเล่าให้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า รู้สึกเสียดายชีวิตวัยรุ่นที่หายไป แต่ให้ย้อนเวลากลับไปก็ไม่คิดจะเปลี่ยนเส้นทางที่เลือก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้โอกาสนี้ และเมื่อเลือกทำค่ายเพลง เส้นทางนี้ก็ไม่ง่าย เคยขาดทุนจนท้อ หยุดทำเพลงไปนานหลายปี แต่วันนี้เลือกจะกลับมาทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง

...

เข้าวงการตั้งแต่เด็ก

ถ้าไม่นับช่วงที่โดมถ่ายโฆษณาเมื่ออายุ 2 ขวบ ก็เป็นเวลากว่า 28 ปีแล้วที่หนุ่มคนนี้โลดแล่นในวงการบันเทิงในฐานะศิลปินชื่อดังยุค 90 โดมเล่าถึงวันวานก่อนเป็นศิลปินว่า เขาเป็นเด็กชายธรรมดาๆ ที่เดินอยู่ในซอยลาดพร้าว 15 เพราะบ้านตัวเองอยู่ในซอยนั้น แล้วมีค่ายเพลงอาร์เอสในซอยนี้พอดี ช่วงนั้นได้โอกาสจากคุณอาบัณฑิต ฤทธิ์ถกล ที่ทำหนังเรื่อง “อนึ่งคิดถึงพอสังเขป รุ่น 2” และหนังประสบความสำเร็จ เลยเป็นที่มาของอาร์เอสติดต่อมาให้ไปเทสต์เสียง

โดมบอกว่า ช่วงก่อนเป็นศิลปินก็ฝึกเล่นกีตาร์ เลิกเรียนก็เช่าห้องซ้อม เล่นกันกับเพื่อนแบบนัวไปหมด ศิลปินที่ชอบมากคือวงไมโคร คาราบาว นูโว และเริ่มฟังเพลงร็อก ที่ชอบมากก็มี Nirvana, Pearl Jam, Guns N’ Roses เลยเช่าห้องซ้อมเล่นกันแบบงูๆ ปลาๆ ไม่เคยได้เรียนดนตรีจริงจัง คุณแม่ก็ไม่ได้ส่งไปเรียนดนตรีเหมือนเด็กคนอื่นๆ อาศัยครูพักลักจำมากกว่า

“ใจจริงเราเป็นเด็กที่ชอบเพลงอยู่แล้ว เพราะเล่นดนตรีกับเพื่อน เช่าห้องซ้อมเล่นดนตรีหลังเลิกเรียน ก็ดีใจมากเลยที่เรามีโอกาส ตอนนั้นเข้าไปแคสไม่นานก็มีการติดต่อกลับว่าเขาสนใจเซ็นสัญญาเป็นศิลปินเดี่ยว แต่การที่เด็กคนนึงที่ซ้อมดนตรีเล่นๆ กับเพื่อนมาเป็นทีนไอดอลในยุคนั้น ได้รับโอกาสออกอัลบั้มแรก มีเพลงเปิดตัว “ยิ่งรักเธอ” ก็ประสบความสำเร็จมากๆ เป็นประตูบานแรกให้คนรู้จักผมในความเป็นนักร้องได้อย่างสวยงาม ได้รับรางวัลหลายรางวัล และมีอัลบั้มต่อมาเรื่อยๆ แต่เข้าอาร์เอสมา ไม่มีแนวเพลงที่ตัวเองซ้อมเล่นกับเพื่อน เป็นแนวป๊อปจ๋าเลย (หัวเราะ)”

ในช่วงวัยรุ่นของเขา แทนที่จะได้มีสังคมที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ แต่โดมบอกว่าเขาแทบไม่มีเพื่อนเลย “เด็กๆ ร้องไห้นะ ก็คิดว่าเอ๊ะ ทำไมเราไม่มีเพื่อนเลย ทำไมเราไม่ได้ไปเตะบอลเหมือนคนอื่น เราต้องวิ่งทัวร์คอนเสิร์ต คำว่าโตมาในรถตู้มีจริงๆ ช่วง 15-16 ใช้ชีวิตกินนอนในรถตู้เลย ไปคอนเสิร์ตต่างจังหวัด ผิดแปลกจากเด็กวัยรุ่นที่ควรจะเป็นเหมือนกัน แต่เมื่อเราแลกตรงนั้นมาแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาก็คุ้มค่ามากมาย ทั้งเรื่องเป็นที่รู้จักของคน ดูแลคุณแม่ได้ เราได้ทำตามฝันจริงๆ ก็คือการทำเพลง”

ถามว่าเสียดายชีวิตช่วงวัยรุ่นที่หายไปมั้ย โดมตอบว่า “เสียดายครับ ไม่มีชีวิตมหาวิทยาลัย สมัยนั้นผมสอบเทียบตั้งแต่ผมอยู่ ม.4 ขึ้น ม.5 พยายามสอบทุกวิถีทางจนได้วุฒิ ม.6 มา หลังจากนั้นดร็อปเรียนไปเลย 3 ปี เพราะว่าทัวร์คอนเสิร์ตปีนึงประมาณ 300 โชว์ เห็นเพื่อนใส่ชุดนักศึกษา มีรับน้อง มีชีวิต มีเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ผมว่าเป็นโมเมนต์ที่ดี แต่ผมก็มองว่าบางครั้งโอกาสแบบนี้หลายคนอยากเข้ามาแต่ไม่ได้ เพราะโอกาสนี้ไม่ใช่จะได้ทุกคน เสียดายมั้ยก็เสียดาย แต่ถ้าจะให้กลับไปเปลี่ยนมั้ย ผมไม่อยากเปลี่ยน ถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีผมวันนี้ครับ”

คว้าโอกาสจากสิ่งรอบตัว

จนมีวันหนึ่งที่โดมเป็นศิลปิน และสงสัยว่าโปรดิวเซอร์ที่ทำงานด้วยทำอะไรในสตูฯ อยากรู้บ้าง บวกกับความเหงาของเด็กที่ไม่มีเพื่อนวัยเดียวกัน เพื่อนก็คือโปรดิวเซอร์ เลยมีโอกาสรู้ขั้นตอนการทำงานในสตูดิโอ “โอกาสมีรอบตัว อยู่ที่จะคว้าหรือเปล่า เราเห็นมันหรือเปล่า เราใช้ชีวิตคลุกคลีกับโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง เลยทำให้เราได้ผลพลอยได้จากตรงนั้นมาด้วย และมีโอกาสเป็นโปรดิวเซอร์งานของตัวเองในอัลบั้มชุดที่ 4 ดูแลการผลิตแบบเต็มตัว ก็ต้องขอบคุณเฮียฮ้อ (สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์) ให้โอกาสเรา เพราะตอนนั้นเราอายุแค่ 21 ปี แต่ผู้ใหญ่ก็ไว้ใจเรา เราก็ภูมิใจนะครับว่าเป็นผลงานอีกชิ้นที่คนจำได้”

...

โดมบอกว่า ศิลปินไทยยุคก่อนส่วนใหญ่มีการทำงานสำเร็จรูป มีทีมทำเพลง ภาพ มีการประชุม ใช้การตลาดเป็นหลักในการสร้างชิ้นงาน ใช้ยอดขายเป็นเครื่องชี้วัด ซึ่งไม่ผิด เพราะว่าทำธุรกิจ ค่ายที่ทำก็ค่ายใหญ่ แต่เราเริ่มมีความคิดที่แตกแยกจากตรงนั้นว่าจริงเหรอ เพลงที่ขายไม่ดีคือเพลงที่ไม่ดีเหรอ เพลงที่ดีมันจำเป็นต้องขายได้เยอะๆ เหรอ เริ่มมีบางอย่างขัดๆ ในหัว ก็คิดว่าถ้าทำเพลงให้ดีแล้วขายได้ด้วยจะเป็นไปได้มั้ย แล้วจะทำยังไง

“ทีนี้การสื่อสารของเรากับทีมเริ่มไม่สมูธเท่าไร เพราะโจทย์คือคนละโจทย์ โจทย์ทีมทำงานคือการตลาดที่มีแพทเทิร์น แต่เราไม่ต้องการแบบนั้นแล้ว ปัญหาก็เลยเกิด เราก็เลยทำงานออกมาให้เห็น เราก็ทำสตูดิโอตั้งแต่อายุ 19 อยู่ที่บ้านเก่า ทำเพลงส่งให้เขาฟัง มันก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อไปเรื่อยๆ ครับ จนชุดที่ 3 ก็มีเพลงที่โปรดิวซ์เองไปอยู่ในอัลบั้ม 4 เพลง ก็เป็นความเชื่อใจเล็กๆ ของทีมว่าเราก็ทำได้ ดื้อด้วยแหละ

จนเป็นที่มาว่าชุดที่ 4 กล้าที่จะเดินเข้าไปขอเฮียตรงๆ ว่าโปรดิวซ์เอง และให้พี่ๆ ที่ปรึกษาเป็น Executive Producer คุมผมอีกที ผู้ใหญ่ก็โอเค แต่บอกว่าเวลาบีบนะ เราก็รับคำโดยไม่รู้ว่าจะทันไม่ทัน ไปตายเอาดาบหน้า เราก็ตะบี้ตะบันทำอยู่ 3-4 เดือน ก็จบมาเป็นอัลบั้ม แล้วอัลบั้มนั้นทำให้ผมได้รางวัลสีสันอะวอร์ดด้วย เป็นความภูมิใจของเด็กคนนึงที่ห้าวมาก กล้าเข้าไปขอทำแล้วออกมาทันเวลา มีคนเห็นถึงคุณค่าของมันครับ”

...

อีกหนึ่งอย่างที่โดมสามารถต่อยอดจากเพลงคืออาชีพดีเจ ซึ่งยังเป็นหนึ่งอาชีพที่เขาทำจนถึงทุกวันนี้ “เราสนุกกับเสียงเพลง เรามีอีกพาร์ตที่อยากลอง พอมาเป็นดีเจอาชีพ ก็เป็นงานที่สร้างรายได้ถึงทุกวันนี้ แต่ก่อนซื้อแผ่นเพลงหลายหมื่น คุณแม่บ่นว่าซื้อทำไมเต็มบ้านไปหมด สุดท้ายของเหล่านี้ไม่สูญเปล่า กลายเป็นอาชีพได้หมด เหมือนเราค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์แต่ละจุดมาเรื่อยๆ”

Nologo

โดมบอกว่า จากที่ไม่เคยคิดว่าดนตรีจะเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัว มันก็กลายเป็นว่าทำได้จริงๆ เลยรู้สึกว่าอยากจริงจังกับอาชีพนี้ จึงตัดสินใจไปเรียนซาวนด์เอ็นจีเนียร์ที่อเมริกา ก่อนจะกลับมาทำวง Nologo ร่วมกับเพื่อนๆ “ช่วงนั้นไปเรียนกลับมาสดๆ เลย แล้วหมดสัญญาค่ายเก่า จำได้ว่าตอนนั้นกลับมาถ่ายนิตยสารอิมเมจ พอถ่ายเสร็จตอนนั้น CEO ของอิมเมจคือพี่แอร์ (คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา) สนิทกับพี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) โทรมาถามว่าอาทิตย์หน้าว่างวันไหน พี่เล็กอยากนัดเข้าไปคุยด้วย เห็นว่าโดมไม่ได้อยู่ค่ายไหนเลย

แต่ตอนนั้นพี่ไปออกงานกับสมอลล์รูมอยู่ 2 ซิงเกิล เหมือนใจเอียงๆ ไปทางสมอลล์รูม แต่พอมาคุยกับพี่เล็ก แล้วพี่เล็กบอกว่าอยากให้มาคุยกับพี่ป้อม (อัสนี โชติกุล) ซึ่งตอนนั้นเป็น MD ค่ายมอร์ มิวสิค เราก็ตื่นเต้นมากเพราะชอบอัสนี-วสันต์ ตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วค่ายมอร์ มิวสิค มีศิลปินที่เราชอบมากๆ คือซิลลี่ฟูลส์ วันนั้นก็คุยกันถูกคอ แบ็กกราวนด์ในการฟังเพลงก็ตรงกัน

เลยเป็นที่มาผมเซ็นสัญญากับมอร์ มิวสิค และออกอัลบั้มภายใต้วง Nologo ก็อยู่แกรมมี่มา 7 ปี ออกอัลบั้ม 3-4 ชุด ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่จริงจังกับการทำวงมาก เพราะเราอยู่ในค่ายที่เข้มข้นกว่าเดิม มีศิลปินหลายท่านในค่ายที่เป็นไอดอลของเราอยู่แล้ว ได้ไปอัปเลเวล ได้ทำงานกับคนที่เป็นมืออาชีพมากๆ ได้รู้จักกับโปรดิวเซอร์ที่ดังมากๆ คือ ไซม่อน เฮนเดอร์สัน ซึ่งเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซิลลี่ฟูลส์ ทำงานเบื้องหลังให้กับ Nologo หลายชุด จนสุดท้ายออกมาร่วมเป็นผู้บริหาร Iconic Records กับผมด้วย มีพี่กอล์ฟ Y Not 7 มาช่วย มีวงดนตรีร็อกมาอยู่ในค่าย ก็ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน”

...

แต่หลังจากที่วง Nologo มาอยู่ในค่ายที่โดมเปิดเองคือ Iconic Records มาได้สักพักก็ต้องแยกย้าย เพราะว่าบางคนมีครอบครัว มือเบสซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นก็กลับประเทศไปดูแลครอบครัวเขา มือกลองก็มีลูก บทบาทเรื่องดนตรีเริ่มน้อยลง อีกทั้งออกอัลบั้มมา 4-5 ชุด ก็ถึงเวลาที่ต้องเฟดไป โดมจึงกลับมาเป็นศิลปินเดี่ยวอีกครั้ง แต่ในภาคดนตรียังมีกลิ่นความเป็น Nologo ชัดเจนมากๆ

“ทำวงสนุกกว่ามาก มันได้ช่วยกันคิดงาน ทุกคนมีการแบ่งพาร์ต ผมยังเชื่อว่าทำงานเป็นทีมมันสมบูรณ์กว่าทำงานคนเดียว ถึงแม้ตอนนี้ผมจะมีทีมทำงาน แต่สารตั้งต้นคือผมคนเดียว ความสนุกก็หายไปนิดนึงเหมือนกัน ฉะนั้นผมต้องทำการบ้านหนัก ต้องหาอะไรใหม่ๆ ตลอด”

ส่วนที่มาของการเปิดค่ายเพลง โดมบอกว่า ช่วงที่ไปเรียนที่อเมริกาจริงจังกับการทำเพลงมาก เลยเป็นที่มาว่าถ้ามีกำลัง อยากจะเปิดค่ายเพลงเล็กๆ ที่จริงจังกับคุณภาพดนตรี เพื่อรันวงการไปในทางที่ถูกต้อง ซึ่งก็กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่ก็มีช่วงที่เสียศูนย์ไปบ้าง เพราะพิษเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเพลงแทบล่มสลายในตอนนั้น ค่ายเพลงปิดตัวไปเยอะมาก เหลือเพียงแค่ไม่กี่ค่าย แต่สุดท้ายก็รอดจากวิกฤติมาได้

ชีวิตคนทำค่ายเพลง

โดมยอมรับว่า ยุคนี้การทำค่ายเพลงเหนื่อยมาก แต่เริ่มเห็นแสงสว่างบางอย่างจากที่เคยมืดมน จากที่เมื่อก่อนพูดว่า ทำค่ายเพลงแล้วเป็นธุรกิจที่มองไม่เห็นกำไร แต่ปัจจุบันระบบออนไลน์ สตรีมมิงต่างๆ เริ่มเป็นระบบอย่างแท้จริง ธุรกิจเพลงกราฟเริ่มขยับขึ้นมา แม้จะขยับช้าๆ แต่ภาพรวมเท่าที่ศึกษามาเริ่มกลับมามีกำไรหลายค่าย “เราก็จะเห็นค่ายเล็กๆ น้องรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะแนวเพลงไหนก็มีค่ายเล็กๆ เกิดขึ้นมาหมด เราอยู่อาร์เอส แกรมมี่มาก่อน เรามีข้อดีตรงที่เราได้เรียนรู้จากคนที่เก่งเรื่องตรงนี้ เราก็หยิบตรงนี้มาปรับใช้กับยุคใหม่

เพียงแต่ Iconic Records เป็นยุคที่เร็วไปนิดนึง มันมาในยุคที่คนเลิกทำค่าย แต่เราสวนกระแส เหมือนเราเป็นหน่วยกล้าตายมาก สุดท้ายเราก็เจอความจริงที่โหดร้ายเหมือนกัน ว่าเป็น 7 ปีที่ทำค่ายแล้วเหนื่อยมาก แทบไม่มีกำไรกลับมาเลย ปีแรกๆ โอเค เริ่มขาดทุนในปีหลังๆ สุดท้ายต้องดาวน์สเกลลงมา แต่ ณ ตอนนี้พอเราเปิดอัลบั้มตัวเอง เราก็อยากเอาศิลปินที่มีคอนเน็กชั่นกลับมาทำ ตอนนี้ผมเห็นค่ายเล็กๆ ที่สำเร็จเยอะขึ้นมากๆ ในเมืองไทย”

ถามว่ารู้สึกยังไงที่ปัจจุบันศิลปินเปิดค่ายเพลงเองเยอะขึ้น โดมบอกว่า “พี่ว่าดี พี่ว่ามันเริ่มเหมือนเมืองนอกอย่างในอเมริกาหรือยุโรปที่คนฟังเพลงมีกลุ่มก้อนที่ชัดเจน เราไม่ต้องคิดว่าจะต้องมีศิลปินที่ดังทั่วประเทศ เป็นไอคอนที่คนต้องแต่งตัวเหมือนศิลปิน ปรากฏการณ์แบบนั้นในยุคนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกแล้ว มันไม่มีไอคอนคนใดคนหนึ่งแล้ว เพราะทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราอาจต้องการคนที่ฟังจริงๆ แค่ 5 พันคนที่เหนียวแน่นกับสไตล์แบบนั้น ก็สามารถรันธุรกิจได้แล้ว

อย่างน้องๆ กลุ่มฮิปฮอปเปิดค่ายเล็กๆ แต่ผลลัพธ์ไม่เล็ก มีเพลงร้อยล้านวิว มีงานต่อยอด ไป collab กับศิลปินต่างชาติ ด้วยอินเทอร์เน็ตทำให้ศิลปินทำงานด้วยกันง่าย ผมว่ามันเป็นยุคของโอกาสเลยแหละ ทำให้เข้าถึงผลงานได้ง่ายกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ต้องการวงกว้างเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทุกคนมีความเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ มีความเป็นตัวเองเฉพาะตัว เช่น ฮิปฮอป ร็อก EDM R&B มีความชัดเจนกันไปในแต่ละกลุ่ม”

โดมบอกอีกว่า ต้องยอมรับว่าทั้งเอเชียก็มองมาที่ไทยในฐานะ Next Generation ของตลาดเพลงในเอเชีย คือ T-POP ซึ่งตอนนี้เห็นว่าผู้ใหญ่หลายค่ายเริ่มโฟกัส T-POP มากๆ “แน่นอนเราอยู่กับ K-POP ของเกาหลีทั้งเพลงทั้งหนังมา 20 ปีแล้ว และใครจะเป็น Next Pop Culture ต่อไปในเอเชีย ผมว่าเมืองไทยมีศักยภาพมาก เพราะวัฒนธรรมเราเข้มข้น เรามีศิลปินที่มีศักยภาพ มี Knowhow โปรดักชั่นเทียบเท่าระดับโลก อินเทอร์เน็ตทำให้ทุกอย่างเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เมื่อก่อนการผลักดันศิลปินไทยไประดับเอเชีย แต่ดันแล้วไปไม่สุด ดังแป๊บๆ ก็เฟดออกไป เพราะว่าใช้เงินเยอะมากครับ แต่เดี๋ยวนี้เราใช้เงินทุนน้อยกว่านั้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่าเพราะมีอินเทอร์เน็ต โซเชียลเน็ตเวิร์ก ผมว่ามีโอกาสมากสำหรับ T-POP เรามีวัฒนธรรมที่ขยายความได้มากกว่าเกาหลีด้วยซ้ำ เรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดังอยู่แล้ว เรามีอาหารไทย มวยไทย มีวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เข้มข้น ผมก็แอบหวังว่า Next Pop Culture เบอร์ต่อไปที่ค่อยๆ แทรกซึมมาแทนที่ K-POP หรือ J-POP คือ T-POP ครับ”

แต่โดมก็ย้ำว่า คนไทยก็ต้องสนับสนุนกันด้วย “อันนี้สำคัญมาก คุณต้องช่วยกัน เพราะมันจะเป็น Soft Power ที่เรากำลังคิดกันอยู่เป็นมวล ถ้ามันไปได้ก็จะไปทั้งภาพรวมครับ การท่องเที่ยวเราก็จะดีขึ้น คนก็อาจอยากมาเที่ยว ผมว่าเมืองไทยมีอะไรเยอะมากที่เป็นของจริงแบบไม่ต้องเซตอัพ แต่ทุกคนต้องภูมิใจที่จะก้าวไปด้วยกัน เศรษฐกิจหลายภาคส่วนก็จะบูมไปด้วย ไม่ใช่แค่เพลง แต่เพลง หนัง เป็นเครื่องมือเหนี่ยวนำเพราะเข้าถึงง่าย จับใจคนง่าย แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นภาคส่วนไหนก็จะมาหมดครับ ซึ่งรัฐบาลต้องสนับสนุนด้วย”

ความรักในปัจจุบัน

อีกหนึ่งสิ่งที่คนจับตามองหนุ่มคนนี้มาตลอดคือเรื่องความรัก ซึ่งโดมพูดถึงความรักของตัวเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า “เมื่อก่อนคนเห็นผมมาเยอะ เห็นผมมีแฟนแต่ละคน คนก็เห็นหมดน่ะเนอะ ผมก็รู้ว่าแต่ก่อนคนก็มองผมเจ้าชู้ แฟนเยอะ แต่พอมาวันนึงก็อย่างที่บอกว่ามันสะท้อนให้เห็นว่าพอเวลาเปลี่ยน เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะแต่งงาน ลงหลักปักฐาน มีครอบครัว แต่สุดท้ายก็ถือว่ามิชชั่นคอมพลีทเรียบร้อย ผมก็ได้เจอคนที่น่ารัก เข้าใจในความเป็นผม ไม่เคยก้าวก่ายในสิ่งที่เราอยากเป็น ถือว่าสมบูรณ์แฮปปี้ ก็เหลือแค่เรื่องมีลูกครับ”

เราถามถึงความรักกับ เมทัล สุขขาว ภรรยาของโดม รู้จักกันมาเกือบ 10 ปีแล้วเป็นยังไง นักร้องดังตอบว่า “น้องเป็นคนแมนๆ บอยๆ เป็นคนสนุก มีอารมณ์ขัน เป็นคนอารมณ์ดี มีความเป็นศิลปินที่เขาได้จากคุณพ่อ ตรงนี้เลยไม่แปลกใจที่เวลาทำงาน หลายครั้งน้องมีไอเดียที่มาช่วยเสริมกับตัวงานของเราด้วย บางทีเราชอบถามความเห็นของเขาว่าอันนี้เป็นยังไง ก็ถือเป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยซัพพอร์ตตรงนี้ด้วย แต่ในมุมนึงเขาก็ช่วยทำให้เราไม่เครียดจากงาน เพราะเมทัลจริงๆ เป็นคนตลก ใครอยู่ใกล้ก็จะเฮฮาไปด้วย”

ในพาร์ตความเซ็กซี่ของเมทัล โดมบอกว่า “น้องเป็นคนชอบแฟชั่น เพิ่งมารู้ตัวเมื่อ 3-4 ปีที่สนใจเรื่องแฟชั่นจริงจัง เขาก็เริ่มคลุกคลีกับดีไซเนอร์ สไตลิสต์ คนในวงการเสื้อผ้าจะเป็นเพื่อนๆ เขาเยอะเลย คนทำแฟชั่นโชว์ น้องก็ไปสายนั้น เขารู้สึกว่าแฮปปี้ที่ได้อยู่กับเสื้อผ้า พอมีแฟชั่นเข้ามาก็ธรรมดาที่ผู้หญิงก็ไม่พ้นที่มีความเซ็กซี่เกิดขึ้น แต่ผมว่าสถานะนึงที่เขากล้าเซ็กซี่มากขึ้นเพราะว่าเขาแต่งงานแล้วด้วยครับ

ผมไม่หวงครับ แต่ขอให้มันเหมาะสมเท่านั้นเอง ซึ่งน้องเขาด้วยวัย 30 แล้วเขาก็ได้อยู่ ไม่ได้ดูแล้วเยอะไป แต่อันไหนดูแล้วไม่เหมาะ ผมก็จะเตือนน้องในฐานะที่เราเป็นพี่เขา อย่างรูปบางอันผมก็มองว่าน่ารักสดใส ไม่ได้ดูโป๊มาก แต่บางครั้งบางชุดก็อยู่ที่ท่าโพสด้วย ก็อย่าโพสท่าที่ดูแล้วโป๊ไปใหญ่ มันอยู่ที่แอดติจูดเวลาถ่ายรูปพรีเซนต์ออกมาด้วยครับ”

ส่วนชีวิตคู่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดมบอกว่าแฮปปี้มาก แต่งงานไม่กี่เดือนโควิดมา เลยได้อยู่ด้วยกันตลอด มีโมเมนต์ดีๆ ร่วมกัน เลยยิ่งทำให้พิสูจน์ว่าเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้จริงๆ เข้าปีที่ 3 ได้สบายๆ “มันเหมือนเราพยายามให้พื้นที่กันและกันด้วย ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ละคนมีไลฟ์สไตล์ของตัวเอง แต่ก็แฮปปี้ที่อยู่ด้วยกัน ตอนนี้เหลือแค่เรื่องมีลูก เพราะคุณแม่บอกตลอดว่าเมื่อไหร่จะมีหลาน แต่ก็จวนแล้วครับ หมดโควิดต้องมีแล้ว”

แต่สาเหตุที่ยังไม่อยากมีลูกในตอนนี้ โดมเล่าว่า “เมทัลเป็นภูมิแพ้หนักมาก ฉีดวัคซีนตัวแรงๆ ไม่ได้ โมเดอร์นาคือไม่ได้เลย ไปได้สุดก็แค่แอสตราฯ เขาแพ้ร้อยๆ ชนิดเลย แพ้ยาก็เยอะ พอโควิดมาก็เลยเป็นห่วงว่าถ้ายังต้องตั้งท้อง ฝากครรภ์ วัคซีนก็ฉีดไม่ได้แบบครอบคลุม มันก็ค่อนข้างเสี่ยง คือลำพังแค่อากาศเปลี่ยนเขาก็แย่แล้วนะครับ ถึงกับหายใจไม่ออก แพ้เกสรดอกไม้ แพ้อาหาร เลยอยากให้มันซาหรือจบ ก็จะได้เดินหน้ามีแบบสบายใจครับ อยากให้มีเวลาเตรียมเรื่องสุขภาพ คุณหมอก็แนะนำเรื่องการพักผ่อน ออกกำลังกายด้วย

ตอนนี้พอน้องโฟกัสหลายเรื่อง การออกกำลังกายก็ถอยไปเลย ถ้าจะมีน้องก็ต้องกลับมาห่วงสุขภาพครับ ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น ปลายปีนี้ก็อยากจะมีน้องแล้วครับ อยากมีสัก 2 คน จริงๆ จะมีกี่คนก็ได้ครับ เอาคนแรกก่อน เพศไหนก็ได้ จริงๆ ยุคนี้เทคโนโลยีก้าวหน้า เขาก็บอกว่าไปฝากไข่ก่อนเลย แต่ความคิดเราทั้งคู่ไม่คิดแบบนี้เลย เรารู้สึกว่ามันควรเป็นเรื่องธรรมชาติ เราคงไม่ไปเลือกว่าอยากให้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่อยากไปฝากไข่ ถ้าเรายังแข็งแรง น้องอายุแค่ 30 ผมว่าอายุยังไม่เยอะไปที่จะมีแบบธรรมชาติได้”

เกิด แก่ เจ็บ Try

โดมเล่าถึงผลงานเพลงล่าสุด “เกิด แก่ เจ็บ Try” ซิงเกิลที่ 4 ของอัลบั้ม 6 was 9 โดยเป็นเพลงที่โดมเขียนเนื้อเพลงและทำนองเอง ถามว่าทำไมต้องชื่อนี้ เจ้าตัวบอกว่าอยากให้ฟังแล้วสะดุดหู คอนเซปต์ของเพลงก็ชัดเจนตามชื่อเช่นกัน คืออยากทำเพลงให้กำลังใจในสถานการณ์ต่างๆ อยากซัพพอร์ตว่าชีวิตคนเราเกิดมาต้องสู้ ต้องพยายาม ทดลอง ค้นหาไม่สิ้นสุด ฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อกับสิ่งที่เผชิญอยู่

“เกิดแก่เจ็บตายจริงๆ ไม่มีหรอก เกิดแก่เจ็บมันก็ยังต้อง Try ต้องพยายาม ต้องสู้ มันคือเพลงให้กำลังใจ ผมว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาค่อนข้างหนักเหมือนกัน คิดว่าเพลงนี้น่าจะช่วยกระตุ้นให้คนรู้สึกมีพลังสู้ได้ไม่มากก็น้อย ผมมองว่าการที่เราจะสู้ต่อไป มันจะน่าจดจำที่สุดถ้าเราสู้ในวิถีตัวเอง บางคนไม่สามารถเป็นในแบบตัวเองได้ อยากแสดงความเป็นตัวเองออกมา แต่โดนตีกรอบจากสังคมมากมาย แต่จริงๆ แล้วถ้าคุณทำหน้าที่ของคุณได้ดี คุณก็สามารถเป็นตัวเองในแบบที่คุณเป็นได้สุดๆ เช่นกัน

ส่วนเรื่องที่ผมเคยเสียดายเมื่อมองย้อนไป คือจริงๆ ผมอยู่วงการนี้ตั้งแต่เด็ก ผมก็มีหลายสิ่งที่ผมอยากกลับไปเปลี่ยนไปแก้ เรื่องนึงเลยคือเรื่องที่หยุดทำเพลงไป 5-6 ปีเพราะรู้สึกท้อ เป็นยุคที่เพลงไม่สามารถเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้จริงๆ ตอนนั้นเราก็พอมีกำลังที่จะอยู่ได้ก็น่าจะทำเพลงต่อไป ไม่งั้นตอนนี้ก็คงมีผลงานอีกหลายอัลบั้ม เสียดายที่เราเลือกหันหลังให้มันและเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แต่ท้ายสุดผมเกิดมาจากเพลง ยังอยากทำตรงนี้”

โดมเล่าต่อว่า ซิงเกิลนี้ห่างจากซิงเกิลที่ 3 มา 1 ปี ก่อนจะบอกว่าจริงๆ อยากปล่อยอัลบั้มนี้ตั้งแต่กลางปี 2564 แต่พอเจอโควิดก็เลื่อนมาตลอด จนตอนนี้คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว ไม่อยากจมกับวิกฤติโควิด เลยคิดว่าน่าจะปล่อยเพลงนี้ออกมา และพร้อมเดินหน้าสู่อัลบั้มเต็ม “ซิงเกิลแรกคือเพลง “ชนะด้วยหัวใจ” เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ซิงเกิล 2 ก็ประมาณ 8 ปีได้ แล้วหายไปเลยเพราะหยุดทำอัลบั้ม ซิงเกิล 3 จริงๆ ทำไว้ 4 ปีแล้ว แต่หยิบมาแก้ไขให้ทันสมัยขึ้นและปล่อยเมื่อปีที่แล้ว และก็มาเป็นเพลงนี้ครับ”

ในพาร์ตมิวสิกวิดีโอ โดมบอกว่า เป็นเอ็มวีเชิงสัญลักษณ์มากกว่า “เราเซตกลุ่มคนขึ้นมาซึ่งนั่งทานอาหารร่วมกันบนโต๊ะ และจำลองโต๊ะนั้นเหมือนเป็นรันเวย์ชีวิตเรา มีคนมอง จับผิด หวังดี ไม่เห็นด้วยกับเรา ตัวแสดงจะแต่งตัวตามแต่ละอาชีพ มีคนที่เดินอยู่บนโต๊ะ ซึ่งเป็นตัวแทนคนที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง แต่บางครั้งสังคมอาจตีกรอบ ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นแบบนั้น ทำไมจะเป็นตัวเองแบบที่ต้องการจะเป็นไม่ได้ ขอแค่เป็นคนดีเท่านั้นเอง เน้นการเล่าเรื่องผ่านคนที่นั่งทานข้าวและมองเห็นพวกเราเดินไปเรื่อยๆ บนโต๊ะ บรรยากาศในเอ็มวีจะเหมือนยุคฝรั่งเศสโบราณ บุคคลที่มานั่งทานข้าวก็จะแต่งตัวพีเรียดยุโรปเก่าๆ

เอ็มวีนี้เราได้ผู้กำกับโฆษณาระดับมือรางวัลคือพี่คลัง (คูณคลัง เค้าภูไทย) ซึ่งกำกับหนังโฆษณา ทำหนังสั้น เป็นหนึ่งในสมาคมภาพยนตร์ไทย มาช่วยกำกับให้ ซึ่งปกติพี่คลังจะทำเอ็มวีแค่ปีละตัวเท่านั้น และเลือกเฉพาะงานที่อยากทำ ถือว่าได้รับเกียรติจากแกเหมือนกัน แล้วครั้งนี้เขาทำให้ฟรีด้วย ไม่เอาเงิน (หัวเราะ) เราเสียแต่ค่าตัวนักแสดง ค่ากล้อง แต่ค่าตัวผู้กำกับเขาไม่รับ ตอนแรกที่โทรไปคุย เขาก็บอกว่าส่งเพลงมาให้ฟังก่อนได้มั้ย พอหายไป 2 อาทิตย์ก็มีฟีดแบ็กว่าน่าสนใจและมีไอเดียเพิ่มเติม ก็อยากให้ทุกคนมีความสุขกับเพลงนี้ ถ้าทำให้เรามีพลัง กล้าลุกขึ้นมาลุยแบบที่เป็นตัวเอง นั่นคือแมสเซจที่ผมต้องการให้ไปถึงครับ”

28 ปีวงการเพลง

จากวันที่เป็นนักร้องเพลงป๊อปใสๆ ก่อนจะก้าวมาเป็นโปรดิวเซอร์ตั้งแต่อายุ 21 ปี ทำเพลงด้วยตัวเองจนถึงทุกวันนี้ ถามว่ามองตัวเองยังไง นักร้องหนุ่มบอกว่า “ผมมองว่าคือสิ่งที่สะท้อนข้างในของเราอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม จริงๆ คนทุกคนมีการพัฒนาอยู่แล้ว ความคิดก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่บางครั้งพอมันไม่ได้ถูกสะท้อนด้วยผลงาน มันอาจจะมองย้อนกลับไปแล้วคล้ายกับไม่มีแผนที่ในการจะไปไล่เรียง แต่ตัวเพลงของผมที่โตมากับผม มันคล้ายกับเป็นโรดแม็ปให้เราย้อนกลับไปมองได้ว่าตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่ เราเป็นคนแบบไหน ในหัวเราเชื่ออะไร มันสะท้อนจากตรงนั้นจริงๆ

เพลงอัลบั้มแรกมาใสๆ เพราะเรามาแบบ Blank เลย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นศิลปินแล้วเหรอ ออกเพลงแรกยังไม่รู้เลยว่าเพลงจะดังเหรอ คนจะรู้จักเราจริงๆ เหรอ แต่ก่อนฟีดแบ็กไม่ได้มีในโซเชียล ฟีดแบ็กช้ากว่ายุคนี้เยอะมาก 3 เดือนถึงจะรู้ พอมาอัลบั้มชุด 2 ก็เห็นชัดเจนว่าร่างกายภายนอกผมเปลี่ยนไป เราโตขึ้นจากอัลบั้มแรก เริ่มก้าวสู่วัยรุ่น ตัวเพลง ภาษาที่พูดก็เปลี่ยนไป ท่าทีในการแสดงคอนเสิร์ตก็มาพร้อมความมั่นใจมากขึ้น สิ่งที่อยู่ข้างในสะท้อนเป็นตัวเพลงที่พอจะเป็นรูปธรรมที่เราหวนคิดถึงความเป็นเราในตอนนั้น พอมาตอนนี้ทุกคนก็อยากรู้จักโดมวันนี้เป็นยังไง ก็ลองฟังเพลง “เกิด แก่ เจ็บ Try” ได้เหมือนกัน”

ถามว่าถ้าให้นิยามความเป็นโดม 28 ปีที่ผ่านมาเป็นยังไง โดมบอกว่า “ผมก็อยากให้ทุกคนจดจำผมในภาพที่ทุกคนอยากจดจำ แต่ในมุมของผมเองเนี่ย ปกรณ์ ลัม ก็คือทุกอย่างอย่างที่เห็นเลย ผมไม่อยากจำแนกว่าเป็นดีเจ นักร้อง ศิลปิน ดารา เพราะผมเองอาจไม่สามารถจำแนกประเภทตัวผมเองได้เหมือนกัน แต่ผมก็คือ โดม ปกรณ์ ลัม แบบที่ทุกคนรู้จักผมในระยะเวลา 28 ปี และก็ลุยต่อไปทั้งในเรื่องดนตรี หรือชิ้นงานอื่นๆ รวมถึงค่ายเพลง ศิลปินอื่นๆ ที่เราอยากผลักดันต่อ คงไม่ได้ไปไหน ถ้าเบื้องหน้าไม่ได้แล้ว ก็ยังทำเบื้องหลังต่อครับ”

ก่อนจะจบการสัมภาษณ์ โดมฝากถึงแฟนๆ ว่า “ขอบคุณแฟนเพลงที่เดินทางกันมายาวนาน ผมไม่ได้ทำอัลบั้มบ่อยๆ ครั้งนี้กลับมาอีกครั้งแบบเต็มๆ อยากฝากซิงเกิลที่ 4 ของอัลบั้ม 6 was 9 เพลง “เกิด แก่ เจ็บ Try” และติดตามอัลบั้มเต็มได้เร็วๆ นี้ จะมีหลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผมเชื่อว่าถ้าเป็นแฟนเพลงจริงๆ ก็เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่น่าเก็บมากๆ ตอนนี้ผมเปิดยูทูบช่องใหม่ที่ลิงก์กับยูทูบมิวสิกเลย คือช่อง Dome Pakorn Lam ในนั้นจะมีคอนเทนต์เพลงของผมอย่างเดียว อยากให้ไปกด subscribe ด้วยนะครับ”.


ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Iconic Records, เฟซบุ๊ก Metal Rocks
กราฟิก : Chonticha Pinijrob