• จากคำพูดพฤติกรรมของแม่ดาราคนหนึ่ง ทำให้สังคมเกิดความสงสัยหนัก
  • เมื่อลูกตายก่อนพ่อแม่ ปกติสิทธิ์จัดการมรดก ก็ตกไปอยู่ที่พ่อแม่จริงๆ
  • สังคมเปลี่ยนกฎหมายต้องเปลี่ยนด้วย เพื่อให้ทันความต้องการของคน

ย้อนไปฟังๆ อ่านๆ อีกข่าวใหญ่มากที่เกาหลีใต้ ประธานาธิบดี มุน แจ อิน เคยลงนามร่างกฎหมาย เมื่อต้นพฤษภาคมปี 2564 ที่รัฐสภาเกาหลีใต้ ได้ผ่านมติ ว่าด้วยครอบครัว การเลี้ยงดูลูก

กฎหมายนี้ตั้งชื่อตาม คู ฮารา Goo Hara ดารานักร้องวงดัง คารา KARA ที่ด่วนจากโลกไป ด้วยอัตวินิบาตกรรม เมื่อปี 2562 ที่บ้านเขตกังนัม ผลชันสูตรศพ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ พบจดหมายลาตาย ที่เธอเขียนเอง ระบายความทุกข์เกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวในครอบครัว

กฎหมายคูฮารา Goo Hara Act มีเนื้อหาจัดการมรดกของลูก ที่ตายไปก่อนพ่อหรือแม่ โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ระบุว่า “คนที่บกพร่องกับการทำหน้าที่เลี้ยงดูลูก ทอดทิ้งละเลยไม่ดูแลลูก ไม่มีความรับผิดชอบ กับการเป็นผู้ปกครอง หรือก่ออาชญากรรม ทารุณกรรมลูก ต้องถูกตัดสิทธิ์การสืบมรดกของลูก ถ้ามีการพิสูจน์ได้ว่า ทำจริง”

ญาติหรือผู้ปกครองจริงๆ ที่เลี้ยงดูมา ทำเรื่องยื่นคำร้องต่อศาลครอบครัว เพื่อพิสูจน์คุณสมบัติของพ่อแม่ ว่าเข้าข่ายต่อกฎหมายคูฮารา หรือไม่ ถ้าศาลพิจารณาแล้ว พบว่าพ่อหรือแม่บกพร่องในการดูแลลูก จะทำให้พ่อหรือแม่จริงๆ ไม่มีสิทธิ์ในการรับมรดกของลูกที่ตายไป

กฎหมายคูฮารา Goo Hara Act ถูกนำเสนอและผลักดันโดย คู อิน โฮ พี่ชายของเธอเอง ที่ฟ้องร้องต่อศาลว่าแม่แท้ๆ ไม่สมควรได้รับสิทธิ์ ในมรดกทั้งหมดของน้องสาว เพราะแม่ได้หย่าร้างกับพ่อไปนานมากๆ แล้ว และไม่ได้เลี้ยงดูเธอ

...

กฎหมายคูฮารา Goo Hara Act มีผลบังคับใช้เป็นทางการ 27 เมษายน 2564 ถึงแม้ไม่ได้มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง กับคดีจัดการมรดกของเธอ แต่กฎหมายนี้ก็ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ ได้รับคำชื่นชมในวงกว้าง ว่ามีคุณธรรมสอดคล้องกับความเป็นจริง สร้างความเป็นธรรมให้คนดูแลจริงๆ ได้ทั้งเกาหลีใต้ 

Goo Hara Act เป็นกฎหมายที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างอยู่ หลายคนอยากให้กฎหมายนี้นำมาใช้ที่ไทยด้วย บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ สเปเชียลคอนเทนต์ Special Content จะพาไปคุยๆ กับบรรดาแม่คนดัง ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง 

ต้องให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย

แต้ม รุ่งนภา กิตติวัฒน์ คุณแม่ของนางเอกสวยใส มิลลี่ คามิลล่า กิตติวัฒน์ บอกตรงๆ เลยว่า แม่ว่าแล้วแต่สถานการณ์นะ พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดูลูกเพราะอะไร เหตุผลคืออะไร สถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร เขาอาจจะมีความจำเป็นบางอย่างก็ได้ ถึงแม้จะไม่ได้เลี้ยงมาก็จริง! แต่ความเป็นพ่อแม่ก็ยังมีอยู่ นึกออกมั้ย

ถ้าเราจะไปตัดสิทธิ์เลย ไม่ให้มาจัดการเรื่องมรดกเลย ไม่ให้ดูแลผลประโยชน์เลย ก็ต้องมีความยุติธรรมทั้งสองฝ่ายด้วย ทั้งฝ่ายพ่อแม่จริงๆ และฝ่ายที่เลี้ยงดูมาจริงๆ 

อะไรก็เกิดขึ้นได้ ให้ทำพินัยกรรมแต่เนิ่น 

ดารารุ่นใหญ่ ฮาน่า ทัศนาวลัย จักรพงษ์ ที่มีความเป็นแม่สูงมาก บอกเคลียร์ๆ ได้เลยดังนี้ ถ้าพ่อแม่จริงๆ ที่ไม่เลี้ยงดูจริงๆ มาตั้งแต่เด็กจนโต แต่จะมาหวังผลประโยชน์ หลังจากที่เราตายไป มันก็ไม่แฟร์เนอะ

โอเคๆ ว่าเป็นคนที่ให้กำเนิด แต่ต้องถามด้วยว่า มีเหตุผลอะไร มีความจำเป็นอะไรมั้ย ที่ทำให้ไม่ได้เลี้ยงดูลูกต่อไปได้ เช่น อาจจะมีปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพ เลี้ยงไม่ได้ หรือหย่ากันแล้ว ลูกไปอยู่กับพ่อ ซึ่งไม่ให้แม่มายุ่งเลยเด็ดขาด ฯลฯ มันมีหลายบริบทตรงนี้ที่ต้องพิจารณาให้ดีๆ 

ยกตัวอย่าง ป้าคนหนึ่งเลี้ยงดูเรามาอย่างดี ตั้งแต่เด็กจนโต ฮาน่าก็อยากจะให้สิทธิ์กับป้า ในการจัดการมรดก ดูแลผลประโยชน์ให้นะคะ ในขณะที่พ่อแม่จริงๆ ที่ไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่ควรจะได้รับสิทธิ์ตรงนี้ จะมาอ้างความเป็นพ่อแม่ไม่ได้หรอก

เรื่องผลประโยชน์ มรดกมันเป็นเรื่องซับซ้อนมากเลย ถ้าใครยังไม่ตาย ยังมีสมบัติอยู่บ้าง ก็อยากให้ทำเอกสาร พินัยกรรมต่างๆ เอาไว้แต่เนิ่นๆ ให้มีทนายร่วมรับรู้ยืนยันด้วย

...

อย่าคิดอย่าถือว่าเป็นการแช่งตัวเอง แต่เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมให้รอบคอบ เพื่อจะได้มีผลในอนาคต เช่น เพื่อนของฮาน่าเองเรื่องจริงเลย ที่ป่วยเป็นมะเร็ง เขาไม่ได้สนิทรักใคร่กับญาติๆ เลย เวลาเขาเจ็บป่วยญาติๆ พ่อแม่พี่น้อง ก็ไม่ได้มาดูแลอะไร เขาก็เลยทำพินัยกรรม ทำเอกสารไว้ให้กับคนที่สมควรจะได้ ให้กับคนที่เขารักและดูแลเขาดีกว่า เพราะตามหลักกฎหมาย การให้ด้วยเสน่หาทำได้  

อยากให้ทำพินัยกรรม หรือมอบสิทธิ์เอาไว้ให้กับคนที่เรารักจริงๆ ทำเอกสารเอาไว้เลยแต่เนิ่นๆ พอเราตายไปจริงๆ จะได้ไม่วุ่นวายทีหลัง หรือถ้าเรายังไม่ตาย เวลาเปลี่ยนไป เราเกิดเปลี่ยนใจใหม่ ก็เปลี่ยนแปลงเอกสารก็ได้ตลอด เพราะชีวิตคนเราไม่แน่นอนนะคะ ลูกอาจจะตายก่อนพ่อแม่ก็ได้ อะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ ทำให้รอบคอบไว้แต่เนิ่นๆ ก็ดี

พ่อแม่ควรมีความละอายใจ

นางสาวไทย 2535 อร อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ เคยรับเล่นละครมาแล้วหลายเรื่อง กับบทบาทความเป็นแม่ที่มีอยู่เต็มหัวใจ บอกเลยว่า ดูที่สาเหตุด้วยว่า ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกไปตลอดนั้นเพราะอะไร เช่น บางกรณี ไม่มีเงินที่จะเลี้ยง มีปัญหาด้านเศรษฐกิจการเงิน หรือนำไปฝากยาย ญาติๆ เลี้ยงให้ แต่พ่อแม่ก็ยังส่งเงินมาช่วยเลี้ยงอยู่ หรือไม่อย่างไร ตามหลักตอนนี้ ก็ให้สิทธิ์กับพ่อแม่จริงๆ เป็นคนจัดการมรดกของลูกที่เสียไป แต่ถ้าพ่อแม่จริงๆ ไม่เคยเลี้ยงดูจริงๆ เลย ก็ไม่ควรจะให้สิทธิ์นะคะ

...

ถ้าพ่อแม่ที่ทิ้งลูกไปเลย ไม่เคยมาดูดำดูดี ถึงแม้จะคลอดลูกมาก็ตาม ถึงแม้จะเป็นสายเลือดจริงๆ ก็ตาม แต่พอลูกมีความเจริญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว แม่พ่อควรจะละอายใจด้วยที่จะมาเรียกร้องเอาอะไรจากลูก เพราะตัวเองไม่เคยได้เลี้ยงดูมา และลูกก็มีปมตั้งแต่เด็ก ลูกไม่ได้มีความผูกพันอะไรด้วยแล้ว กรณีนี้ควรให้ญาติๆ ของแม่หรือพ่อที่เลี้ยงดูมา ได้รับสิทธิ์ในการจัดการมรดกไป

กรณีพ่อแม่บางคนอาจจะไม่ได้มาดูแล แสดงความรักด้วยการกอดหอม ไม่ได้ดูแลอะไรมากนัก เพราะเขาไปทำงานไกล แต่ยังส่งเงินมาจุนเจือ ช่วยเหลือตลอด ยังรับรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของลูกตลอด อย่างนี้เราก็ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไปด้วย หรือถ้าก่อนลูกจะเสียชีวิต ลูกได้ทำพินัยกรรมยกส่วนหนึ่งให้ พ่อแม่ก็ต้องยอมรับไป แต่ไม่ใช่ว่าจะมาเรียกร้องเอามากมาย 

ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ตาย

พิธีกรดัง ดารารุ่นเก๋า ประธานองค์กรทำดี Goodness Foundation บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ทำงานหลายอย่างมากๆ แต่ความเป็นแม่ที่ดี บุ๋มเต็มที่ไม่เคยบกพร่องอยู่แล้ว บุ๋มกล้าบอกดังนี้ สำหรับวัฒนธรรมไทย หลายคนมีความเชื่อและถูกสั่งสอนมาว่า พ่อแม่ยังเป็นผู้มีพระคุณเสมอ อย่างน้อยก็ให้ชีวิตเรามา ถึงแม้คลอดมาแล้ว จะไม่ได้เลี้ยงดูเราเลย ไปถามดาราท่านหนึ่งได้เลย ที่พ่อไม่เลี้ยงดู แต่นางก็ยังคอยดูแลเอาใจใส่พ่ออยู่ตลอด

...

ด้วยนิสัยของคนไทย หลายคนถึงแม้ไม่ได้เลี้ยงดูเรามา แต่พอเราโตขึ้น ดูแลตัวเองได้ดีแล้ว เราก็ไปตามหาพ่อแม่เนอะ อยู่ไหน เป็นใคร ถึงแม้จะเป็นคนที่ทิ้งเราไปตั้งแต่เด็กก็ตาม ถ้าเรารักใครเราก็ต้องดูแล คือค่านิยมของเกาหลีใต้กับทางไทย อาจจะต่างกับเรา แต่อนาคตไม่แน่!

ลูกๆ พอโตไปเป็นดารามีชื่อเสียงโด่งดัง หรือรวยแล้ว แต่พ่อแม่จริงๆ ไม่ได้เลี้ยงดูมา แต่จะมาเอามรดกทรัพย์สินต่างๆ มันสมควรมั้ย? หรือในกรณีที่ไม่อยากให้พ่อแม่จริงๆ มารับสิทธิ์ดูแลมรดก ต้องชี้ชัดให้ได้

มันมีนะที่พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดูลูกมาอย่างดี หรือพ่อแม่ที่มีปัญหาต่างๆ ในช่วงนั้น เช่น โดนคดีค้ายาบ้า ตบตีลูก หรือบางคนก็อาจจะยากจนจริงๆ ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกตัวเองได้ พอวันหนึ่งจะมาเอาสมบัติก็ไม่ควร

บุ๋มมองว่า ให้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ตายมากกว่า เพราะแต่ละคน ก็มีมุมมองในเรื่องความรักต่อพ่อแม่ที่ไม่เหมือนกัน ให้ดูที่เจตนาด้วย บางคนพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดู แต่เขารักก็คือรักไง

อย่างกรณีแตงโม ที่แม่เข้ามาดูแล ก็คือเบิร์ด-แตงโม (นิดา พัชรวีระพงษ์) เค้าสร้างอะไรด้วยกันมา ก็ควรให้เบิร์ดได้ไป แต่ถ้าแม่เข้ามาดูแล แม่ก็ต้องดูแลหนี้สินด้วย มันเป็นไปตามกฎหมาย และกฎหมายเรื่องนี้ต้องคุยกันอีกเยอะ ว่ารายละเอียดต่างๆ จะจัดการกันอย่างไร

ควรจะให้สิทธิ์ คนเลี้ยงดูด้วย

ชนม์ณกานต์ ลิขิตเจริญสกุล แม่พระเอกหล่อ เฟม ชวินโรจน์ ลิขิตเจริญสกุล บอกดังๆ เลยว่า เรื่องนี้ก็มองยากอยู่ จริงๆ มองกันหลายมุมเนอะ เราไม่ค่อยถนัดพูดเรื่องนี้...ถ้าในมุมเรา พ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยง ก็อยากยกสิทธิ์ดูแลมรดก ให้กับคนที่ดูแลเลี้ยงมาเนอะ

คนที่เกิดมาแล้ว ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ควรจะให้สิทธิ์จัดการมรดกกับคนที่เลี้ยงดูมาตลอด แต่ต้องระวัง เรื่องนี้เราออกความคิดเห็นไปบางทีพูดถูกก็อาจจะกลายเป็นผิดได้ เพราะคนจะตีความได้หลายอย่าง

ถ้าเป็นไปได้ เราว่าควรจะให้สิทธิ์คนเลี้ยงดูด้วย และให้สิทธิ์กับพ่อแม่จริงๆ ไปด้วย ส่วนจำนวน % แล้วแต่การพิจารณากันไป อาจจะแบ่ง 50%-50% คนเราปฏิเสธไม่ได้ ว่าเราเกิดมาจากพ่อแม่จริงๆ แม่ที่อุ้มท้องเรามา 9 เดือน นั้นคือบุญคุณที่มีอยู่ แต่บุญคุณอาจจะไม่มากเท่า คนที่คอยเลี้ยงดูเราหลังจากคลอดแล้ว ซึ่งพ่อแม่จริงๆ พอคลอดออกมา จะเลี้ยงดูแลเราหรือเปล่า นั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง

มองว่าสังคมไทยเรา ยังสุดโต่งไปกับทุกๆ เรื่องไม่ได้หรอก แต่ถ้าในเรื่องที่ถูกต้อง ก็อยากให้สุดโต่งในทางที่ถูกต้องได้นะคะ ถ้าจะไม่ให้สิทธิ์กับพ่อแม่จริงๆ เลย เหมือนกฎหมายที่เกาหลี เราว่าในประเทศไทยเรา คงไม่ถึงขนาดนั้น บ้านเรายังมีหลายๆ เรื่องที่มันสุดโต่งไม่ได้ในทุกด้าน

อย่างที่เกาหลีใต้ เขามีกฎหมายตัดไปเลย ไม่ให้สิทธิ์ในการจัดการมรดกต่างๆ สำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงดูมา อย่างกรณีดังอยู่ตอนนี้ ที่หลายคนก็รับทราบ ที่แม่ไม่ได้เลี้ยงแต่ได้สิทธิ์ในการจัดการมรดก สังคมก็คงจะติดใจอยู่บ้าง อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ ก็...ไม่อยากจะแสดงความคิดเห็นอะไรมากนัก

กฎหมายต้องปรับเปลี่ยนไปได้

เวลาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สังคมก็เปลี่ยนตามไปด้วย ค่านิยม-ความเชื่อต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมของคน ก็เปลี่ยนตามไปด้วยเสมอ เป็นเรื่องดี ที่คนในสังคมจะร่วมด้วยช่วยกันคิด ปรับเปลี่ยนแก้กฎหมายใหม่ ให้เข้ากับบริบทและเข้ากับความต้องการจริงๆ ของคนส่วนใหญ่ในสังคม เพราะกฎหมายไม่ใช่เรื่องตายตัวตลอด ต้องปรับเปลี่ยนได้เสมอ

การบังคับใช้กฎหมาย ก็สำคัญมากๆ ด้วย เพราะถึงแม้จะเปลี่ยนกฎหมายให้ดีแค่ไหน ตรงตามความต้องการของคนในสังคมได้แล้ว แต่ถ้าคนบังคับใช้กฎหมาย ไม่จริงจังไม่เข้มงวด ไม่ยึดหลักคุณธรรมไปด้วย ก็ยากที่จะทำให้สังคมสุขสงบได้. 

ผู้เขียน : รุ่งโรจน์เรืองรอง

กราฟิก : Sathit Chuephanngam