การจากไปของศิลปินแห่งชาติและพระเอกในตำนานอย่าง เอก สรพงศ์ ชาตรี ในวัย 73 ปี สร้างความเสียใจกับครอบครัว ลูกหลาน คนใกล้ชิด และแฟนละครอย่างมาก โดยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ซึ่งที่ผ่านมานั้นทางครอบครัวไม่ได้บอกใคร เพราะเป็นความประสงค์ของ สรพงศ์ ที่ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง คิดว่าจะรักษาตัวและกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม
โดย ขวัญ พิมพ์อัปสร ลูกสาวคนโต กับ โย ทัศน์วรรณ ก็ได้เปิดใจกับสื่อมวลชน โดยเล่าให้ฟังว่า "ทราบข่าวอาการป่วยของคุณพ่อนานแล้วค่ะ ป่วยมาพักใหญ่แล้วค่ะ แต่ว่าที่ทุกคนอาจไม่ได้ทราบเพราะเป็นความประสงค์ของคุณพ่อที่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง จริงๆ แล้วคุณพ่อเป็นคนที่แข็งแรงมากๆ แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวรักษาแล้วก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม เลยไม่ได้บอกอะไร"
"แรกๆ ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเพราะเป็นช่วงที่ไม่ได้เป็นอะไรเยอะด้วย คือช่วงหลังจะร่วมงานกับคุณพ่อบ่อยมาก คุณพ่อจะทำท่าหกสูง คุณพ่อจะแข็งแรงมากๆ ในอายุขนาดนี้ เราก็คิดว่าเดี๋ยวเขาก็หาย แต่ว่าตอนนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดค่ะว่าเป็นอะไรกันแน่ เลยยังไม่ได้ไป เพราะติดช่วงโควิดด้วย แต่พออาการป่วยเริ่มเยอะก็เลยต้องไปเยี่ยมแล้ว"
...
"เมื่อช่วงประมาณปีที่แล้ว ตอนแรกคุณพ่อมีอาการป่วยนิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มช้าลง เริ่มเดินไม่ได้สะดวกเหมือนแต่ก่อน แต่เราไม่ได้บอกใครเพราะเป็นช่วงที่โควิดกำลังระบาดด้วยค่ะ ยังไม่อยากให้ใครมาเยี่ยม กลัวจะติดเชื้อด้วยค่ะ ทางพี่เดือนที่เขาดูแลคุณพ่อและความประสงค์ของคุณพ่อด้วยเลยยิ่งไม่ได้บอกใครเลยค่ะ ญาติก็เริ่มทยอยมาเยี่ยม ซึ่งทุกคนคิดว่าคุณพ่อต้องหายค่ะ จนเมื่อเร็วๆ นี้ก็ยังคิดว่าคุณพ่อต้องหาย"
"คุณพ่อกำลังใจดีตลอดค่ะ คุณพ่อเป็นคนแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจค่ะ คุณพ่อกำลังใจดีตลอดค่ะ แม้กระทั่งวินาทีที่จะไป ก็ยังกำลังใจดี ไปแบบยิ้ม ไปแบบกำลังใจดีค่ะ ขวัญ ก็ได้อยู่กับคุณพ่อในวินาทีสุดท้ายด้วยค่ะ ก็คือทุกครั้งที่ไปก็จะเห็นความดันคุณพ่ออยู่ประมาณ 140-150 ค่ะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานคือ ความดันตกค่ะ ประมาณ 70 คือรู้เลยว่ามันลดจากเดิมเยอะค่ะ"
"คุณหมอก็บอกว่าพยายามช่วย พยายามปั๊มแต่ไม่ขึ้น วินาทีที่เข้าไปจับมือคุณพ่อทุกครั้ง มือจะอุ่น แต่เมื่อวานมือคุณพ่อจะเย็น เราก็พยายามบีบให้มืออุ่นขึ้น แต่เราก็ใจเสีย เพราะรู้สึกว่าปกติมืออุ่นแต่เมื่อวานมือเย็น ทุกคนก็พยายามเอาใจช่วยค่ะ แต่คุณพ่อก็สู้มาเยอะแล้ว"
"คุณหมอยังบอกเลยว่าถ้าความดันตกขนาดนี้ แต่ร่างกายคุณพ่อแข็งแรงมากเลยนะคะ คุณพ่อยังไม่ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจนะคะ ยังอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งลมหายใจค่อยหมดไป ก็คืออยู่ได้นาน คุณหมอยังบอกเลยว่าตอนแรกคิดว่าจะเสียก่อนความเป็นจริง แต่คุณพ่อก็ยังหายใจได้อยู่"
ระหว่างที่จับมือคุณพ่อได้พูดอะไรมั้ย?
ขวัญ "ก็พูดกับคุณพ่อว่า ถ้าคุณพ่อไม่ไหวก็ไม่ต้องห่วงอะไร ทุกคนก็ช่วยกันพูดว่าเราเคารพ ไม่ว่าคุณพ่อจะอยู่หรือจะไป คุณพ่อก็ยังอยู่ในใจเรา เราก็ไม่อยากให้เขาห่วงอะไร ถ้าเขาทรมานเราก็ไม่อยากให้เขาทรมาน สิ่งที่ทุกคนพยายามทำคือไม่ทำให้เขาทรมานค่ะ
แม้กระทั่งอยู่ในห้องไอซียู ทำยังไงก็ไม่ได้ไม่ให้เขาเจ็บปวดหรือทรมาน เราก็จะเปิดบทสวด เปิดธรรมะ เราทำยังไงก็ได้ไม่ทำให้เขาเจ็บค่ะ"
ตอนที่รักษาตัวล่าสุดคุณพ่อสู้ตลอด?
ขวัญ "สู้ค่ะ คุณพ่อหน้าตาสดใสตลอดค่ะทุกครั้งที่ไป สดใสเหมือนพวกเราหน้าตาปกตินี้เลยค่ะ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีหน้าตาซูบลง ร่างกายยังแรงเยอะเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าอาจมีความเจ็บป่วยในร่างกาย หน้าตาสดใส จนกระทั่งสัปดาห์สุดท้ายนี่แหละค่ะ ที่หน้าตาซูบลงอย่างเห็นได้ชัด เราเห็นจากสัญญาณชีพจรต่างๆ สู้สุดๆ เลยค่ะ"
...
"ตลอดเวลายังรับรู้ได้ค่ะ บางทีคุณหมอก็จะให้ครึ่งหลับครึ่งตื่นค่ะ บางทีคุณพ่อก็จะแสดงให้เราเห็นว่ารับรู้นะ บางทีอาจจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เขารับรู้ตลอดค่ะ"
อาโย "อาโย ไม่ได้ไปเยี่ยมเลยค่ะ เพราะว่าอาโยถ่ายละครเกือบทุกวันเลย น้องๆ นักข่าวถาม อาโย ก็ตอบไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นคนดูแล เพราะงั้นอาโยจะไม่ทราบรายละเอียดอะไรเลย
ตอนแรกจะไปรับคุณยายชั้น พี่สาวคุณสรพงศ์ รับมาอยู่ที่บ้านเพื่อที่ว่าเวลามาเยี่ยมจะได้ใกล้ขึ้น เพราะเขาอยู่ที่อยุธยา ก็นัดไว้ว่าจะไปรับในอีกเช้าของวันรุ่งขึ้น แต่ก็ไม่ทันถึงวันนั้น ได้เสียไปตอนบ่ายแล้ว พอคุณป้ารู้เรื่องก็เลยโทรถามว่าอยากจะมาเลยมั้ย เขาก็บอกว่าอยากจะมาเลยเลยได้ตีรถไปรับเลย"
"เป็นห่วงยายชั้นมาก เพราะพี่ชั้นเป็นผู้หญิงคนเดียวในพี่น้อง รับรู้ความสูญเสียมาตลอดตั้งแต่พ่อแม่พี่ชายแล้วนี่มาน้องชาย พี่ชั้นรับรู้ทุกคน แล้วเพิ่งผ่าตัดหัวใจไปเมื่อไม่นาน ก็กลัวจะเป็นลม เราก็คอยถามว่าไหวมั้ยๆ กลัวแกจะแย่ ตอนที่เอาร่างขึ้นมาก็ถามแกว่า อยากเห็นมั้ย แกก็พยักหน้าแล้วพาไป ก็ต้องคอยดูแกตลอด"
...
ขวัญกับคุณพ่อความผูกพันเป็นยังไงบ้าง?
ขวัญ "เอาจริงๆ มันก็จะมีช่วงที่ขวัญกับคุณพ่อไม่ค่อยได้เจอกัน แต่เราก็สนิทกับคุณย่า กับคุณป้า หลานๆ บ้านคุณพ่อทุกคน สนิทกันมากๆ โตมาด้วยกัน แล้วตอนที่ขวัญเป็นผู้จัด คุณพ่อก็มาเล่นให้ตลอดเลย แม้ว่าจะยากแต่คุณพ่อก็ทำให้ค่ะ ทำให้สุดพลัง ตอนหลังได้ร่วมงานกันบ่อย เขาจะแข็งแรงและสุขภาพดีกว่าเราอีก เราคิดว่าคุณพ่อจะอยู่กับเราจน 80-90 (เสียงสั่น) ซึ่งเขาก็แข็งแรง อารมณ์ดี ไม่กินเหล้า ตอนที่คุณปู่เสียก็อายุเท่ากับคุณพ่อเสียเลยค่ะ"
คำสอนของคุณพ่อ?
ขวัญ "คือจริงๆ คุณพ่อไม่ค่อยได้สอนในวงการเยอะ อย่างคุณแม่จะดูเราอย่างใกล้ชิด อย่างติดต่องานในวงการ คนก็จะติดต่อผ่านเรา คุณพ่อก็จะบอกว่า พ่อต้องลองใช้ก่อนนะ มันต้องดีจริงๆ เขาจะเน้นเรื่องคุณธรรม ความมีวินัย รักในอาชีพนี้มากเลย"
รู้สึกยังไงที่เราเป็นลูกดารา และต้องเข้าวงการกับคุณพ่อด้วย?
ขวัญ "ตอนเด็กๆ เราก็จะคิดแค่ว่า เราต้องไม่ทำให้พ่อแม่เสียชื่อ ถ้าเราทำอะไรดีหรือไม่ดี เขาจะไม่พูดชื่อเราค่ะ เขาจะพูดชื่อพ่อแม่ เรียกว่ารู้หน้าที่ดีกว่า ไม่ได้กดดันอะไรมาก ไม่ได้รู้สึกต้องฝืนที่จะเป็นเด็กดี เรารู้ว่าพ่อแม่ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง เราก็รู้ เราก็ตั้งใจทำหน้าที่ของเราเช่นกันค่ะ"
...
ขวัญ "ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกคุณพ่อค่ะ เป็นลูกคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะพ่อแม่เรา ในฐานะคนของประชาชนต่างๆ เป็นตัวอย่างให้เราได้อย่างดี เวลาเราทำงานก็จะรู้ว่าเราได้มาจากพ่อและแม่ของเรา เราก็จะยิ่งภูมิใจค่ะ และคุณพ่อก็ภูมิใจในตัวเราค่ะ".