- คดีสะเทือนขวัญของแตงโม ทำให้คนอยากรู้ ผู้จัดการต้องทำงานอย่างไร
- อาชีพผู้จัดการดารา ไม่ใช่ใครก็ได้จะมาเป็น เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบสูง!
- งานเงินดีสบาย มาเป็นผู้จัดการดารา แต่ความจริงแล้ว ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
สะท้านไปหลายวงการ สะเทือนจิตใจคนอย่างรุนแรง ทำให้หลายคนเศร้าเสียใจไม่หาย! กับกรณีของดาราดัง แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ที่ต้องตกเรือเสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนา
กระติก อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ ผู้จัดการของแตงโม โดนสังคมตั้งคำถามหนักมากๆ ถึงการทำหน้าที่ผู้จัดการ
หลายคนคาใจหนักสงสัยแรงๆ ว่าแท้จริงแล้ว ผู้จัดการดาราดัง ทำงานแบบไหนกันแน่ หางานได้เงินจากดาราดังเท่าไร มีการแบ่งเงินให้กี่ % จากงานที่รับมา บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ สเปเชียลคอนเทนต์ Special Content จะเจาะลึกๆ ไปหาคำตอบเคลียร์ๆ
ดาราก็คนๆ หนึ่ง ทุกคนมีมืดมีสว่าง
ไปๆ ไปคุยกันเลยกับ เป้ วิสูตร วัลลา ผู้จัดการของพระเอกดังหล่อเท่ เข้ม หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล ปกติทำธุรกิจหลายอย่างอยู่แล้ว แต่หันมาทำงานเป็นผู้จัดการดารา เพราะใจรัก ทำมานานมากกว่า 6 ปีแล้ว
...
เปิดใจไวๆ ดังนี้ เราไม่จำเป็นต้องดูแลเด็กเยอะๆ เอาดูแลแค่ไม่กี่คน แต่ทำแล้วให้ดีๆ ไปเลย พี่ดูแลเด็กมาหลายคนแล้ว ก็มีหลุดระหว่างทางไปบ้าง เช่น หมดสัญญาแล้วเขาก็ไปต่อที่อื่น ซึ่งระหว่างทางของการเป็นผู้จัดการดารา ก็มีปัญหารอบข้างเข้ามาเรื่อยๆ ที่เหลือมาทุกวันนี้ได้ ก็ดีไป
การดูแลดารา แน่นอนว่าดาราก็เป็นคนๆ หนึ่ง ทุกคนมีมืดมีสว่างเนอะ แต่ภาพของดาราที่ออกมาสู่สาธารณะ ต้องออกมาดี การดูแลดาราต้องปลูกฝังตั้งแต่ต้น คอยชี้แนะว่า คุณต้องทำอย่างนี้ๆๆๆๆ มันต้องดีตั้งแต่หัวจรดเท้า อินเนอร์ต้องดีหมด ต้องออกมาดูดี เพราะเวลาจะได้งานพรีเซ็นเตอร์ ทางคนจ้างก็ต้องดูจากภาพภายนอกของดารา ว่าต้องดีนะ
ดาราทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง นิสัยบวกลบนิดหน่อยไม่เป็นไร แต่ต้องทำดีให้ต่อเนื่อง ยิ่งแก่ยิ่งต้องมีคุณค่ามากขึ้น ยิ่งให้มีภาพดีขึ้นๆ เพื่อที่เขาจะได้ขยับไปทำอย่างอื่นที่เขาถนัดต่อไป เช่น ไปเป็นผู้กำกับ ไปเป็นผู้จัดละคร ไปเป็นพี่เลี้ยงดาราต่อไป ฯลฯ ถ้าเราดูแลเขาดีตอนนี้ เท่ากับสร้างอนาคตที่ดีให้เขาได้เลย
เปอร์เซ็นที่ได้จากดารา
เป้ วิสูตร พูดๆ ต่อไปถึงประเด็นเงินจากงานที่ได้มา เรื่องการหัก % แรกๆ พี่ได้ 30% ตอนหลังลดเหลือ 15% ตอนนี้ตัวสัญญายังเหลืออีก 6 ปีค่ะ แต่สักพักต้องปลดปล่อยไปแล้วค่ะ พี่บอกเขาไปแล้วตั้งแต่ยังไม่ดัง ตั้งแต่ยังไม่มีงานพรีเซ็นเตอร์อะไร พี่บอกกับแม่เขาไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ว่าไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวอีกหน่อยพี่จะปล่อยเขาแล้ว และหลังจากนั้น ก็อยู่ที่ตัวเขาเองแล้วแหละว่าจะแบ่งให้เราเท่าไร เด็กโตแล้ว เขามีสิทธิ์จะคิดได้ พี่พูดเหมือนนางฟ้าเนอะๆ ดูสวยเนอะ (หัวเราะ)
สุดท้ายแล้ว ถ้าคนจะดี มันก็จะดีเอง เราดูแลเด็กแบบเราไม่ได้คาดหวังนะ เหมือนพ่อแม่ถ้าไปคาดหวังกับลูก จะทุกข์นะ พี่ใช้หลักเดียวกันเลย เราต้องมีความสุข แต่ถ้าถามว่าหวังมั้ย ไม่อยากจะให้ไปหรอก เราก็มีกิเลส (หัวเราะ) พี่คิดแบบไม่คาดหวังๆ ไม่ยึดติดมันทำยากนะ แต่ไม่อยากให้ถึงวันนั้นหรอก (หัวเราะ) มันต้องทำใจไว้เท่านั้นแหละ ถ้าหลงอดีต เราจะเสียปัจจุบัน และเสียอนาคตไปเลย
กว่าจะดันดังได้ ไม่ง่ายเลย
เป้ วิสูตร พูดเร็วๆ ถึง เข้ม หัสวีร์ ต่อไปว่า ช่วงที่เขายังไม่ดัง เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ เราก็ไปหางานให้ เป็นความกดดันของเราเองด้วยนะ ถึงเวลาจริงๆ เด็กเราไม่ได้โง่นะ เอ๊ะๆ ทำไมยังหางานให้ไม่ได้ พาไปแคสต์ๆ หลายที่ทำไมๆ ไม่ได้งานเลย เราก็ต้องเตรียมความพร้อมของเด็กเราในหลายด้าน เช่น ส่งไปเรียนภาษา เรียนการแสดง เรียนการร้องเพลง พาไปต่อยมวย ฯลฯ เพื่อให้เด็กเรามีของเยอะ
แต่พอไปแคสต์ๆๆๆ ก็ยังไม่ได้งานอีก มีทั้งบอกว่า สูงไปบ้าง หน้าไม่ได้บ้าง เล่นไม่ได้ ฯลฯ คือคนจะไม่ได้งานไง ก็มีเหตุผลต่างๆ เข้ามา เราเป็นผู้จัดการก็กดดันเหมือนกัน ตอนนั้นพี่วิ่งพล่านเหมือนหนูติดจั่นอะ นึกออกมั้ย แต่เราต้องแหวกๆ ไปหลายทาง ไปติดต่อคนนั้น คนโน้น คนนี้ตลอด พี่เป็นคนตื่นตัวอะ ยังบอกกับเข้มด้วยว่า เราต้องทนไปด้วยกันนะ ไปยืมเสื้อ เราทำทุกอย่างแหละ ตอนนั้นก็มีเริ่มถอดใจนะ
...
ตอนนั้นเข้มอายุ 18 เหมือนเราเอาเวลาเขามาทำงาน พอเริ่มได้งานโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ ก็ดีใจๆ หรือมีงานอะไรเข้ามา เราก็รับไป เช่น ไปเล่นมิวสิกวิดีโอเพลงลูกทุ่งก็เอา อุ๊ย ดีใจเด็กเรามีผลงาน
ตรงไหนที่เราคิดว่ามีโอกาส เราไปหมดเลย ไปเสียเวลานั่งรอเป็นครึ่งวัน ไปแคสต์มาหลายชั่วโมงแล้วไม่ได้ ก็ทำมาเยอะมาก (ลากเสียงยาวๆ) พอถึงจุดหนึ่งเราทำได้ ถึงจุดหนึ่งแล้ว แต่มันก็ห่วงไปหมด เหมือนแม่ห่วงลูกเลยแหละ ทั้งๆ ที่มันโตแล้ว
การเป็นผู้จัดการดาราตรงนี้ เราไม่ได้ทำอาชีพผู้จัดการดาราโดยตรง เพราะมีธุรกิจของตัวเองอยู่ แต่ทำเพราะเป็นความสุข ที่เราอยากจะทำ พอเขาได้ดี อุ๊ย เราทำได้ เราก็จะทำคนต่อไปใหม่ แต่เราก็หวัง อยากจะให้เขาอยู่กับเราไปตลอดแหละ
ไม่รู้ไม่เห็น มันย้อนแย้งมาก
เป้ วิสูตร ผู้จัดการ เข้ม หัสวีร์ วิเคราะห์คดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา ได้อย่างน่าคิด ดังนี้ คดีแบบนี้ในอดีต สามารถทำบิดเบือนได้ ทั้งพยานบุคคลก็ทำได้ แต่ตอนนี้ตำรวจต้องปวดหัวแล้วแหละ เพราะมีพยานบุคคลจริงๆ คดีอาจจะพลิกได้ ยุคโซเชียลนี้มีการแชร์ๆ ไปทั่ว คดีของแตงโมมันจะจบเร็ว น่าจะไม่เกินอาทิตย์นี้ เพราะสังคมบีบคั้นขนาดนั้น คนสนใจเยอะ มีการแชร์ๆ แท็กๆ ไปทั่วซึ่งสมัยก่อนทำไม่ได้ แต่ตอนนี้คนทำไม่ดี ต้องได้รับโทษ
...
การเป็นผู้จัดการดารา ต้องดูแลทุกอย่างสารทุกข์สุขดิบ ปฏิเสธไม่ได้เลย ผู้จัดการต้องรู้ทุกเรื่อง ถึงแม้ดาราจะเก๋าเกมแค่ไหน จะดังแค่ไหนแล้วก็ตาม เราต้องดูแลด้วย ยิ่งลงเรือไปด้วยกันแบบนี้ จะมาปฏิเสธไม่ได้! ว่าไม่รู้ไม่เห็น! มันย้อนแย้งมากเลย!
คนหายไปทั้งคนนะ ต้องโยนห่วงโยนไรลงไปช่วยก่อนมั้ย โมเมนต์ตรงนั้นทิ้งไม่ได้เลย! (เน้นเสียงดังมากๆ) มันไม่เต็มที่เลย! มันไม่ได้เลย! มันงงมาก! ทำหน้าที่แย่มาก! ตลกมาก! ทำตัวแบบนี้ไม่ใช่ผู้จัดการ
ผู้จัดการต้องคอยปะทะทุกอย่าง
นักปั้นดาวดังหลายยุค ปั้นพระเอกนางเอก นักร้องมาเยอะมากๆ อุ๊บ วิริยะ พงษ์อาจหาญ ให้สัมภาษณ์ตรงมากๆ ดังนี้ การเป็นผู้จัดการในยุคก่อนและยุคนี้ ไม่ต่างกัน คือผู้จัดการต้องปกป้อง ต้องเป็นทุกอย่างเป็นมือเป็นขา ดูแลภาพลักษณ์ ปกป้องด้วยใจด้วยชีวิตเต็มร้อย อย่างพี่เท่าที่ผ่านมา ก็ทำหน้าที่ของเราดีในระดับหนึ่ง
ผู้จัดการต้องหนังหน้าไฟ ต้องคอยปะทะทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนตัวพี่เท่าที่เห็นมานะ ส่วนมากกะเทยทำหน้าที่ เป็นผู้จัดการดาราได้ดีที่สุด ส่วนใหญ่ผู้จัดการดาราที่ดีมีเยอะ ส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำไม่ดี เอาแต่ผลประโยชน์ตัวเอง
ผู้จัดการดาราต้องระวังทุกสิ่งทุกอย่าง การเป็นผู้จัดการดาราต้องมีความซื่อสัตย์ ดูแลดาราเหมือนญาติพี่น้อง ไม่ใช่ไปเกาะดารากิน ไม่ใช่ใครก็ได้จะมาเป็นผู้จัดการดารา ต้องมีสามัญสำนึกที่ดีด้วย
เงินที่ได้แล้ว หักจากดาราไม่เท่ากัน
อุ๊บ วิริยะ เปิดใจต่อเรื่องเงิน ดังนี้ การแบ่ง % บางคน 40-50% เป็นเรื่องน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แต่ละคนพี่หัก % ไม่เท่ากัน ตอนนั้นที่พี่ทำเป็นผู้จัดการดารา พี่หัก 20% แต่ละคนตั้งเรตราคาไม่เหมือนกันแล้วแต่งานด้วย
...
รายละเอียดเยอะ กับการเป็นผู้จัดการดารา
ดาราหลายคน มีแม่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้ มารีญา พูลเลิศลาภ นางงามสุดปังที่เริ่มมาลุยการแสดงแล้ว ก็มีคุณแม่เป็นผู้จัดการให้ด้วยคือ คุณณัฐ ชนกสรวง พูนเลิศลาภ
คุณแม่มารีญา บอกเคลียร์ๆ ถึงการเป็นผู้จัดการให้ฟังว่า โห! ผู้จัดการมันมีหัวข้อเยอะมากๆ ไม่ใช่แค่หางาน รับเงินแล้วจบ! สมัยก่อนแม่เป็นผู้จัดการให้ลูก ต้องทำเองทุกอย่าง ติดต่อเองตามไปด้วย ตอนนี้น้องโตแล้ว แม่ก็ฝึกผู้จัดการขึ้นมาใหม่ ให้เขาดูแลกันไปค่ะ ให้ดูแลทำนองเดียวกับแม่ดูแลน้อง
เวลาไปทำงาน กฎเกณฑ์ต่างๆ ของน้องมีอะไรบ้าง มีระบุในตัวสัญญาด้วย เช่น แพ้อาหารอะไรบ้าง อาหารไม่ใส่กล่องโฟม ไม่ใส่ในกล่องพลาสติก ฯลฯ แม่ค่อนข้างมีระบบค่ะ
ตอนนี้แม่เป็นคนมองดูภาพรวม ไม่ได้เข้าไปรับงานเองแล้ว เพราะมีผู้จัดการอีกคนมาคอยช่วยดูแล แต่เวลามีงานอะไร แม่ต้องดูทุกอย่าง ต้องรับรู้ ไปทำงานที่ไหน งานอะไร ต่อรองกันเท่าไร ลักษณะนี้ค่ะ ถ้ามีเซ็นสัญญาต้องเอาสัญญามาให้แม่ดูด้วย
แม่ดูแลน้องตั้งแต่อายุ 13 ปีที่เข้าวงการ ตอนนี้แม่ 72 แล้ว แต่ก็ยังคอยแนะนำอยู่ แต่ก่อนเบอร์โทรศัพท์ของแม่ จะอยู่ในไอจีน้อง หลังหมดสัญญากับกอง แม่อายุเยอะแล้ว ก็เลยถือโอกาสพักผ่อน อีกอย่างสุขภาพแม่ไม่ดีด้วย เดี๋ยวจะทำงานไม่ได้เต็มที่ ก็เลยสอนให้มีผู้จัดการสองคนเข้ามาช่วยค่ะ
เรื่องเงินหักให้ แล้วแต่งานๆ
คุณแม่มารีญา ให้สัมภาษณ์ต่อ ถึงเรื่องการหักเงิน ให้กับผู้จัดการในแต่ละงาน ตอนนั้นกองประกวด หักไป 30% เขาดูแลทุกอย่าง มารับมาส่ง ตอนนี้ที่มีผู้จัดการ ไม่ใช่หักให้ 30% แล้วค่ะ แล้วแต่งาน เช่น ถ้าเราไปงานเอง ก็หักให้ 5-10% หรือถ้าเราไปลุยด้วยกัน ก็จะให้เยอะขึ้นมาหน่อยค่ะ
ผู้จัดการดารา งานยุ่งแยะกว่าที่คิด
หลายคนรู้ดีแล้วว่า ผู้จัดการดารามีหน้าที่ภาระความรับผิดชอบที่สูงมากๆ ต้องดูแลทุกสิ่งอย่างของดารา เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย มีความยุ่งยากแยะอยู่ มีเรื่องจุกจิกทั้งตัวดาราเองและคนว่าจ้าง ให้ต้องคอยตามแก้ปัญหาอยู่เรื่อยๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวด้วย
ดาราก็เป็นคน ย่อมมีทั้งข้อดี-ข้อเสีย เทาๆ กันไป ซึ่งผู้จัดการดาราต้องเก็บความลับเป็น ไม่ปากสว่างเกินไป ถ้าผู้จัดการไม่สนิทกับดาราให้มากพอ ไม่มีใจกับการทำหน้าที่เป็นผู้จัดการให้มากพอ บอกเลยว่า การเป็นผู้จัดการรอวันดับ ตรงกันข้าม ถ้าผู้จัดการใจแลกใจ ดูแลดาราได้ดีพอ เต็มที่สุดๆ เก่งเป็นงาน รอบจัดในการดีลกับคน รู้จักการรับมือกับสื่อมวลชน-แฟนคลับ
คอยปั่นข่าวให้มีกระแสแบบไม่โป๊ะ คอยเสริมปรับแต่งทักษะต่างๆ ให้ตลอด เสื้อผ้าหน้าผมชุดสวยหล่อ เวลาไปงานต่างๆ ต้องเป๊ะจริง คอยเลือก-รับงานที่ดีมีคุณภาพจริงๆ
ที่สำคัญผู้จัดการดารา ต้องมีคอนเน็กชันเจ๋ง ขยันหาคอนเน็กชันใหม่ๆ เพิ่มด้วย ต้องเข้าถึงผู้จัดละคร ผู้กำกับ ออร์แกไนซ์ เอเจนซี่ เจ้าของสินค้าแบรนด์ดังต่างๆ ที่จะช่วยหางานให้ได้ด้วย เป็นการต่อยอดชื่อเสียง หารายได้เพิ่มให้ดารา ส่วนแบ่งที่ผู้จัดการจะได้ไป ตั้งแต่ 10-50% ถือว่ามากอยู่ เป็นรายได้ที่ดี โอเคเลย.
นักเขียน : รุ่งโรจน์เรืองรอง
กราฟิก : Sathit Chuephanngam