• พ่อคือแรงบันดาลใจการเป็นศิลปิน เรียนดนตรีตั้งแต่ 6 ขวบ แต่งเพลงตั้งแต่อายุ 15 ปี
  • เจอมรสุมดราม่าจนเคยท้อ กว่าจะก้าวข้ามผ่านต้องใช้เวลา แต่ไม่คิดยอมแพ้เลิกทำเพลง
  • ความรักปัจจุบันกับจัสมิน สุธิดา เกือบเสียเขาไปเพราะเคยเจ้าชู้จนถูกจับได้

ฝ่ามรสุมดราม่าข่าวต่างๆ มามากมาย สำหรับนักร้องหนุ่มหน้าใสวัย 22 ปี มิว ชิษณุชา ตันติเมธ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ MEYOU เจ้าของเพลงดัง อาทิ ภาวนา, พอจะรู้, Pattaya, อีกแล้ว ฯลฯ ซึ่งในช่วงปลายเดือน ก.ย. 2563 บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่มคนนี้ในช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นกระแสดราม่าต่างๆ แต่หลังจากนั้นมิวก็ยังคงเจอกระแสดราม่าต่างๆ ตามมาอีกรอบ

และเมื่อเรามีโอกาสกลับมาพูดคุยกันกับ MEYOU อีกครั้ง นอกจากจะคุยถึงเรื่องอัลบั้มใหม่ล่าสุด “Wednesday Child” ที่มีเพลงใหม่ “สร่าง (SOBER)” ซึ่งเขาได้มีโอกาสร่วมงานกับศิลปินในดวงใจ ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม เรายังได้ทำความรู้จักชีวิตก่อนมาเป็นศิลปินของมิวที่มีคุณพ่อเป็นแรงสนับสนุนที่ดี รวมไปถึงวันที่ต้องฝ่ากระแสดราม่าอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเคยท้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงความรักครั้งปัจจุบันกับ จัสมิน สุธิดา เถาเจริญ นางแบบสาว ที่ยอมรับว่าเคยเกือบเสียเขาไปเพราะเจ้าชู้จนฝ่ายหญิงจับได้

...

แต่งเพลงตั้งแต่อายุ 15

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ มิว ชิษณุชา ยังเป็นเด็ก มิวเล่าว่าเขาชอบในเรื่องเพลงมานานแล้ว “ตั้งแต่เป็นเด็กอายุ 6 ขวบ ผมเริ่มเล่นดนตรีแล้ว แต่เล่นไม่เก่งอะไรนะ คุณพ่อส่งไปเรียนเฉยๆ พอประมาณ ม.ต้น ก็ศึกษาการเขียนเพลง รู้สึกว่าเราชอบ เรื่องดนตรีก็เรียนถึงอายุ 16-17 แล้วก็เลิกไป แต่ผมไม่ได้เก่งอะไร เรียนไว้เพื่อแต่งเพลงมากกว่า ถามว่าทำไมถึงชอบแต่งเพลง ไม่มีอะไรครับ เผอิญชอบสาว รู้สึกว่าอยากแต่งเพลงให้ผู้หญิง มันเริ่มจากตรงนั้น ผมว่านักแต่งเพลงหลายคนน่าจะเริ่มจากตรงนั้นครับ

คือตอนนั้นเราย้ายมาโรงเรียนสหฯ ตอนแรกผมเรียนโรงเรียนชายล้วนที่อัสสัมชัญฯ ตอนมัธยมคุณพ่อย้ายเราไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯ ก็จะมีผู้หญิงด้วย เริ่มรู้สึกอยากเขียนเพลง เราเล่นดนตรีเป็นอยู่แล้วด้วย รู้สึกว่าถ้าเขียนเพลงได้ก็เท่ดี นับตั้งแต่นั้นมาผมก็เขียนเพลงมาตลอด ส่วนเพลงแรกที่แต่งผมจำไม่ได้แล้ว อายุ 15-16 ครับ ช่วงแรกที่ผมเข้า MBO เราร้องเพลงที่คนอื่นเขียนให้ด้วย เพราะตอนนั้นเรายังเด็กอยู่ แต่เราก็เริ่มเขียนเพลงด้วย เริ่มมีสต๊อกเพลงตัวเองเก็บไว้ แต่ยังไม่เคยเอามาใช้งาน เพลงแรกที่ผมเขียนเองและนำมาใช้งานคือเพลง “เวทมนตร์” เป็นเพลงที่ตั้งแต่ผมยังอยู่ใน MBO หลังจากนั้นก็ทยอยปล่อยเพลงที่เราเขียนมาเรื่อยๆ”

เมื่อถามว่าคุณพ่อเห็นแววตั้งแต่เด็กหรือเปล่าถึงส่งไปเรียนดนตรีตั้งแต่ 6 ขวบ มิวตอบว่า “คุณพ่อเป็นคนชอบฟังเพลงครับ คุณพ่อไม่ได้เป็นนักดนตรีนะ เป็นนักธุรกิจนี่แหละ แต่ชอบฟังเพลง ชอบนักร้อง แล้วตัวเขาอยากทำงานเกี่ยวกับเพลง แต่ว่าเขาเป็นครอบครัวคนจีน สมัยก่อนเขาจะหาว่าเป็นการเต้นกินรำกิน พ่อผมเลยไม่ได้ทำงานสายนี้ พอเขามีลูกชาย เขาก็อยากให้เราทำ ง่ายๆ คือเอาความฝันของเขามาให้เราทำ อยากให้เล่นกีตาร์เป็น เขาก็ให้เราเล่นกีตาร์ เหมือนเขามีความสุขเวลาเห็นเราทำอะไรในสิ่งที่เขาชอบ แล้วเราก็เอ็นจอยด้วยครับ

คือด้วยความที่ยุคสมัยมันเปลี่ยน ผมเกิดมาไม่เคยโดนเขาบังคับว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เขาค่อนข้างซัพพอร์ตผมมากๆ ที่บ้านผมไม่ได้รวยเลยนะครับ แค่พอมีพอกิน แต่คุณพ่อคุณแม่ซัพพอร์ตผมกับน้องสาวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การที่ครอบครัวมองว่าเต้นกินรำกินมันไม่ค่อยส่งผลเท่าไร มันไม่ได้มาถึงรุ่นผม มันเป็นความคิดของคุณปู่ที่เขามีในตอนนั้น

พอมาถึงรุ่นผมเป็นเจเนอเรชันใหม่ โตมาก็ไม่มีความคิดนั้นในหัวแล้ว ที่บ้านสนับสนุนทุกอย่างที่ผมทำ เขาเลี้ยงผมค่อนข้างฝรั่งหน่อย เพราะพ่อแม่ผมจบเมืองนอก คือฝรั่งจะเลี้ยงลูกแบบไม่ประคบประหงม อยากทำอะไรก็ทำ แต่ยังอยู่ในการดูแลอยู่นะ เขาก็จะปล่อยให้ผมกับน้องสาวตัดสินใจเอง สุดท้ายเขาก็จะช่วยดูว่าโอเคหรือไม่โอเค”

มิวเล่าต่อว่าตอนอายุ 6 ขวบเรียนเปียโนก่อน แต่ค่อนข้างยากไปนิดนึง เรียนได้ปีนึงก็ย้ายมาเรียนกีตาร์ หลังจากนั้นก็เล่นกีตาร์มายาวเลย “คือผมเล่นได้หมดนะครับ ทั้งเบส กีตาร์ เปียโน แต่ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น ผมเล่นเพื่อเอาไว้ทำผลงานเพลงของผม คือมันจำเป็นจะต้องใช้ เรียนเป็นพื้นฐานในการแต่งเพลง คือแค่มีกีตาร์หรือเปียโนหลังนึงก็สามารถแต่งเพลงได้แล้ว แต่ถ้าจะสร้างชิ้นงาน คุณต้องมีความรู้เรื่องเบส กีตาร์ คีย์บอร์ด เพื่อเอามาใส่ในคอมพิวเตอร์ ทำให้ออกมาเป็นเพลงได้ มันค่อนข้างซับซ้อนครับ”

...

เส้นทางสู่ศิลปิน

ในส่วนเส้นทางการเป็นศิลปิน มิวเล่าว่า “มันเริ่มจากการเรียนร้องเพลง อย่างที่บอกว่าเราเล่นดนตรีมาก่อน เราร้องเพลงไม่เป็น เราก็เลยมาเรียนร้องเพลงที่แกรมมี่ ซึ่งข้างล่างตึกแกรมมี่เมื่อก่อนจะมี G Vocal เป็นโรงเรียนสอนร้องเพลง ผมก็เริ่มจากตรงนั้น เผอิญว่าครูของผมคือครูนิคเขารู้จักกับทางผู้ใหญ่ แล้วเขาก็บอกว่าช่วงนั้นมีโปรเจกต์ MBO พอดี ผมก็อยากมาอยู่แกรมมี่อยู่แล้ว จากนั้นเราก็ได้มาออดิชัน MBO และเข้าไปลองประกวดโครงการ “MBO THE AUDITION หน้าใหม่ พร้อมเกิด” แล้วก็ชนะครับ”

ถามว่าคาดหวังกับการเป็นศิลปินแกรมมี่มากน้อยแค่ไหน มิวบอกว่าคาดหวังมากๆ ตั้งแต่วันแรกที่มาเรียน เวลาจะทำอะไรก็อยากทำให้ประสบความสำเร็จ “ผมอยากเป็นศิลปินมีเพลงดัง เป็นความฝันของเด็กคนนึง แต่พอได้มีโอกาสมาอยู่ MBO ก็มีให้ลองเต้น ลองการแสดงด้วย ผมว่ามันไม่ค่อยเข้ากับตัวเองเท่าไร ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยใช่ทางของผม คือผมไม่ปิดโอกาสนะ แต่ผมรู้สึกว่าถ้าสมมติให้ผมเลือกอย่างใดอย่างนึง ผมมุ่งหน้าไปกับเรื่องเพลงดีกว่า เพราะผมค่อนข้างถนัดกับการทำเพลง

แล้วผมก็มีโอกาสไปอยู่ 9 by 9 ด้วย ก็รู้สึกว่าไม่ใช่อีก อันนั้นเป็นโปรเจกต์ที่มีทั้งการแสดง การเต้น การร้องเพลง เราก็รู้สึกว่าการที่เราจะยืนเป็นบอยแบนด์ เราเขินนิดหน่อย ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี มันดีมากๆ ครับโปรเจกต์นี้ เป็นอะไรที่เท่มากๆ แต่ว่ามันไม่ค่อยเข้ากับผมเท่าไร ผมก็รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรที่ผมอึดอัด มันทำออกมาได้ไม่ดี ผมก็เลยตัดสินใจคุยกับคุณพ่อว่าออกมาทำเพลงดีกว่า หลังจากนั้นก็เลยไปขอลาออกจากโฟร์โนล็อก ช่วงนั้นผมก็ใกล้หมดสัญญากับ MBO พอดี มันก็เลยเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ดีที่เราจะเข้าค่ายใหม่ ช่วงนั้นหัวหน้าค่ายไวท์ มิวสิค มาชวนผมไปอยู่ด้วยพอดี เราก็เลยได้มาอยู่ไวท์ มิวสิค มาตั้งแต่ตอนนั้น”

...

ชีวิตกับการเป็นศิลปินสังกัดไวท์ มิวสิค ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มิวบอกว่า “ดีนะครับ คือเราอยากเข้าไวท์ มิวสิค ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เรามีไอดอลหลายคน ณ ตอนนั้น มีพี่อะตอม พี่โอ๊ต พี่ป๊อบ พี่ลุลา คือมีศิลปินดังมากหลายคนตั้งแต่ก่อนเราเข้ามาแล้ว มันคงเป็นความโชคดีของผมด้วยที่พี่อาร์ม หัวหน้าค่าย เขาเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม เขาก็เลยรู้สึกว่าอยากให้มาอยู่ด้วยกัน”

หลังจากปล่อยซิงเกิล “ภาวนา” ที่เป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้เขา มิวยอมรับว่าชีวิตช่วงนั้นเปลี่ยนไป “มันเปลี่ยนไปเลยช่วงนั้น จากเด็กคนนึงกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ คือเราไม่อยากเรียกตัวเองอย่างนั้น ตอนนั้นไปไหนมาไหนคนรู้จัก ตอนแรกที่ยังไม่ดังก็อยากดังมากเลย รู้สึกว่าอยากประสบความสำเร็จมาก แต่พอถึงจุดที่มันได้รับมาจริงๆ เรามีความรู้สึกว่าชอบมันนะ พอใจกับมันมากเลย แต่ถามว่าอยู่ยากขึ้นมั้ยก็อยู่ยากขึ้น มันมีดราม่าด้วย”

ท้อเจอดราม่าหนัก

เมื่อชื่อเสียงที่มาพร้อมกับดราม่าที่ตามมา มิวบอกว่ามันคือเรื่องใหม่สำหรับเขา “สำหรับผมมันค่อนข้างใหม่ในตอนนั้น จากการที่เด็กคนนึงจะก้าวเข้ามาสู่คนมีชื่อเสียง เหมือนทุกอย่างมันไวมากๆ ตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 20 เลย เราก็ยังเด็ก ยังเกรียนอยู่ มันเลยมีเรื่องดราม่าเข้ามา โชคดีที่ผมมีครอบครัวที่แน่นแฟ้น เราก็ผ่านตรงนี้มาด้วยกัน ถามว่ายากมั้ย มันค่อนข้างยากนะ แต่พอมาถึงวันนี้ เราก็รู้แล้วว่าเราควรต้องวางตัวอย่างไร รู้สึกว่าตั้งแต่ชีวิตมันเปลี่ยนมาอีกแบบนึง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะวางตัวให้เหมาะสม ไม่เป็นดราม่าเรื่อยๆ”

...

นักร้องหนุ่มวัย 22 ปีบอกว่า เราไม่พูดว่าเราประสบความสำเร็จ แต่พอมาถึงจุดนี้มองว่าชื่อเสียงหรือเงินทองมันมาพร้อมดราม่า พยายามเข้าใจในจุดนั้น พยายามมองให้บวกที่สุด ไม่คิดกับมันในแง่ลบ ซึ่งหลังจากที่บันเทิงไทยรัฐเคยพูดคุยกับมิวถึงเรื่องดราม่าตั้งแต่ปี 2563 จากนั้นเขาก็ยังคงเจอดราม่าเข้ามาอีก

ถามว่าทำให้มีท้อบ้างมั้ย เจ้าตัวบอกว่า “มันเคยมีจุดที่ท้อนะ แต่ว่าพอผ่านจุดนั้นมาแล้วรู้สึกว่ายังไงเราก็เลิกทำเพลงไม่ได้ มันเป็นชีวิตของเรา เราทำเป็นแค่อย่างเดียว เราเขียนเพลงเป็น ร้องเพลงเป็น จะให้เราเลิกทำอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี ผมเลิกไม่ได้หรอก ถามว่าเคยท้อมั้ยเคยนะ แต่ด้วยความที่มันหยุดไม่ได้ มันก็เลยก้าวต่อไป ทำต่อไปเรื่อยๆ ถามว่าเสียใจมั้ย รู้สึกมั้ย ผมเป็นคน ยังไงก็ต้องรู้สึกอยู่แล้ว แต่ถามว่าจะให้หยุดทำเพลงมั้ย ก้าวออกจากวงการนี้มั้ย ผมว่ามันไม่ใช่คำตอบที่จะทำให้ผมยอมแพ้”

เมื่อถามว่ากว่าจะก้าวข้ามผ่านความรู้สึกตรงนี้ใช้เวลาแค่ไหน มิวบอกว่า “มันก็นานนะครับ แต่อย่างที่บอกว่าโชคดีที่ผมได้ครอบครัวที่ดี ผมเจอแฟนดีด้วย (ยิ้ม) เราก็ต้องให้เครดิตกับเขาจริงๆ เขาก็เป็นคนที่ดีครับ นำพาผมไปในทางที่โอเคขึ้น และที่ผมพูดถึงครอบครัวบ่อยๆ เพราะว่าเขาอยู่ข้างๆ ผมจริงๆ ตั้งแต่วันแรกที่เกิดดราม่า หรือ ณ ตอนนี้ที่ยังมีอยู่เรื่อยๆ เขาก็ยังอยู่ข้างผม

ถามว่าทำให้หงุดหงิดมั้ย กลับกลายเป็นทำให้ผมรู้สึกขอบคุณมากกว่า เพราะทุกคนยังสนใจผมอยู่ (หัวเราะ) ผมพยายามมองให้มันบวก ถ้าเราไปเครียดกับมันจะยิ่งแย่ลง ไม่อยากแต่งเพลง วันๆ อยากนอนอยู่เฉยๆ ถามว่าตอนนั้นเป็นแบบนั้นมั้ย มันก็มีบ้าง ผมว่าเป็นปกติของคนทุกคนที่ถ้าเจอเรื่องเครียดก็ไม่อยากทำอะไร แต่พอผ่านมาถึงจุดนี้ได้ก็รู้สึกดีที่เราก้าวผ่านมันมาได้ด้วยครอบครัวของเรา คนใกล้ตัวเรา ด้วยตัวเราเอง ด้วยแฟนคลับ อย่างแฟนๆ ตอนนั้นช่วงที่เราโดนหนักมากๆ เขาก็ทำป้ายบอกว่าสู้ๆ นะ มันเป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ แต่ทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้ครับ”

หลังจากที่เจอดราม่าหนักอีกครั้ง จุดนี้ให้อะไรกับเราบ้าง มิว ชิษณุชา ตอบว่า “มองเห็นสัจธรรมครับ เรานิ่งกับมันมากขึ้น (นิ่งคิด) ไม่ใช่ไม่รู้สึก แต่ว่าพยายามเห็นและเข้าใจมากขึ้น แล้วเราก็ไปทำอย่างอื่น ไม่ได้จมปลักอยู่กับมัน แต่ก่อนเคยมีช่วงที่นอยด์ เจอคอมเมนต์แล้วคิดว่าเราทำอะไรผิดเนี่ย อันนี้เราไม่ได้ทำนะ แต่สุดท้ายผมไม่เห็นผลดีในการนอยด์ ไม่เห็นว่าจะช่วยอะไร งานก็ไม่เดิน ทานอะไรก็ไม่ได้ ผมว่ามันไม่ค่อยเวิร์กเท่าไร ตอนนี้ถ้าสมมติเห็นอะไรที่ไม่ดีก็พยายามปล่อยผ่าน พยายามเข้าใจเขามากขึ้น”

ความรักล้อมรอบตัว

แม้ชีวิตของนักร้องหนุ่มวัย 22 ปีคนนี้จะผ่านดราม่าหนักหน่วง แต่ก็ยังมีคนที่รักและซัพพอร์ตอยู่เสมอ อย่างล่าสุดมิวโผล่ไปเซอร์ไพรส์วันเกิด มิ้วกี้ ไปรยา ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ซึ่งมิ้วกี้เองปลื้มผลงานของมิวมานานแล้ว ทำเอาหลายคนยิ้มไปกับโมเมนต์แห่งความสุข เมื่อถามถึงที่มาที่ไป มิวบอกว่า “คือรู้จักกันแต่ไม่เคยเจอกันครับ รู้จักผ่านทางโซเชียลนี่แหละ คือพี่มิ้วกี้กับพี่แหม่ม ผู้จัดการ เขาชื่นชอบเพลงของผม ซึ่งผมรู้แต่ไม่เคยได้เจอกันสักที แล้ววันนั้นเป็นวันเกิดพี่มิ้วกี้พอดี ทางพี่แหม่มก็เลยชวนไปเซอร์ไพรส์ครับ ด้วยความที่เรามีคอนเน็กชันกับเขา คุยกับเขาต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความที่เขาเป็นคนน่ารักกันทั้งคู่ รวมถึงพี่แดนนี่ (สามีมิวกี้) ด้วย เขาก็ส่งอาหารให้ผมทานเรื่อยๆ”

และเมื่อไปร่วมรายการต่างๆ หลายคนก็ชื่นชอบในผลงานของเจ้าตัว พร้อมทั้งแสดงความคิดต่างๆ มากมาย ซึ่งมิวบอกว่าไม่ค่อยได้อ่านคอมเมนต์เท่าไร ส่วนมากจะเป็นพ่อแม่มากกว่าที่จะดู ด้วยความที่ตัวเองไม่อยากใส่ใจกับคอมเมนต์ลบๆ เพราะเป็นคนคิดมาก ถ้าไปเจอคอมเมนต์ไม่ดีเดี๋ยวคิดมากอีก เลยตัดปัญหาด้วยการไม่ดูคอมเมนต์เท่าไร โฟกัสที่ผลงานเพลงเรา งานของเรามากกว่า แต่คอมเมนต์ที่ชื่นชมและเข้าใจก็ถือว่าดีที่คนพูดถึงในแง่บวก ก็ขอบคุณ ส่วนคอมเมนต์ลบก็พยายามมองบวกว่าเขาแสดงความคิดเห็นของเขา

จากนั้นเราถามถึงโมเมนต์ที่มิวเสียอาการหนักมากเมื่อได้เจอนักแสดงสาว ออม สุชาร์ มานะยิ่ง ในรายการดังมิวบอกว่า “ก็ตามที่เห็นเลยครับ ผมไม่รู้มาก่อน แล้วตอนเด็กๆ เราชอบพี่ออมอยู่แล้ว เราเคยดูหนังเขา ไม่รู้ทางรายการรู้ได้ไง (หัวเราะ) ไม่เคยพูดเลย ก่อนที่จะถ่าย ทีมงานบอกว่านักร้องหลังกำแพงอยากร้องเพลง “ภาวนา” นะ เราก็เอ๊ะ ใครนะ น่าจะเป็นผู้หญิง เพราะคีย์ที่เขาให้มาค่อนข้างสูง เราก็คิดว่าส้ม มารี หรือเปล่า แต่ก็คิดว่าไปเจอของจริงเลยดีกว่า

พอไปเจอแล้วที่เห็นเสียอาการหนักมากขนาดนั้นเพราะผมไม่ได้คิดจริงๆ ว่าเป็นพี่ออม สองเราปลื้มเขามากอยู่แล้ว พอเปิดกำแพงออกมา จากร้องพอได้กลายเป็นร้องเพี้ยนหมดเลย (หัวเราะ) ได้เจอจริงๆ เขาเป็นคนน่ารักครับ เราไม่ได้สนิทอะไรกับเขามาก เราก็รู้จักกับเขาตั้งแต่วันนั้นมาครับ ก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ในมุมที่ผมเห็นเขาเป็นคนที่น่ารักมากคนนึงครับ เขาก็ชวนไปออกรายการยูทูบ แต่คิวไม่ตรงกันสักที ตอนนี้ก็หาคิวอยู่ ก็เคยมีดูบ้างครับ น่ารัก ส่วนรายการยูทูบผมถ้ามีโอกาสก็คงเชิญมาครับ”

Wednesday Child

กับผลงานเพลงล่าสุด “สร่าง” เพลงที่ 4 จากอัลบั้มใหม่ “Wednesday Child” ซึ่งได้มีโอกาสร่วมงานกับ ขันเงินไทยเทเนี่ยม มิวเล่าถึงการทำงานว่า “ส่วนตัวผมเป็นแฟนคลับพี่ขันตั้งแต่เด็กแล้วครับ เราเป็นนักแต่งเพลง เขียนเพลงเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ผมก็ได้เรื่องราวนึงตอนที่ผมสร่างขึ้นมา ตอนนั้นไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วเราเกิดอาการแฮงก์ แล้วช่วงสร่างเรารู้สึกเศร้า เราก็เลยหยิบก้อนอารมณ์ช่วงนั้นมาเขียนเป็นเพลงครับ

ทีนี้ก็รู้สึกว่าพอเป็นเราคนเดียวมันไม่คอมแพ็กขนาดนั้น ก็เลยไปชวนพี่ขันมาฟีตด้วย ซึ่งปกติรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยทำงานร่วมกัน ครั้งนี้ครั้งแรกครับ พี่ขันก็เซย์เยสเลยครับ เขาก็ขอฟังดนตรีฟังบีต ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอทำงานจริงๆ ก็โอเคครับ ทำงานตามฟีล ถามว่าจริงจังมั้ยก็จริงจัง แต่เราไม่ได้มีโหมดที่เครียดตลอดเวลา ไม่งั้นก็ไม่สนุกครับ โดยรวมพอใจมากครับ ก่อนที่ผมจะปล่อย ผมต้องพอใจผลงานของผมก่อนครับ”

ส่วนเนื้อหาเพลง มิวบอกว่าแม้จะเป็นเพลงเศร้าแต่ก็ไม่ได้เศร้าไปทั้งหมด เป็นการพรีเซนต์มุมที่คนสร่างจากอาการเมา ตอนสร่างจะมีความแฮงก์ พะอืดพะอม มีอาการคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา แต่ตอนที่เมาไม่ได้คิดถึงเขา เลยเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา ท่อนฮุกก็แปลตรงตัวว่าไม่ค่อยชอบตอนสร่างเมาเท่าไรเพราะยังคิดถึงเธออยู่ ด้านมิวสิกวิดีโอ มิวเล่าว่า “ก็ได้พี่เน็ต (DIRECTORNET) มากำกับ เป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมงานกับพี่เน็ต ก่อนหน้าร่วมงานเราก็ตื่นเต้นมาก พอได้ทำงานจริงๆ ก็ดี ได้มาเห็นชิ้นงานยิ่งดีเข้าไปอีกเพราะว่ามันตอบโจทย์มาก”

นอกจากนี้ มิวเล่าถึงคอนเซปต์ของอัลบั้ม Wednesday Child ไว้ว่า ถ้าแปลตรงตัวสำหรับฝรั่งคือลูกคนกลาง ซึ่งลูกคนกลางจะไม่ค่อยได้รับความรักเท่าไร เป็นคนที่มักถูกลืม เราก็เลยหยิบมุมนั้นของการเป็นเด็กมีปัญหามาตั้งชื่ออัลบั้มนี้ เพราะรู้สึกว่ามันเกี่ยวพันกับเพลงในอัลบั้ม ส่วนเพลงในอัลบั้มค่อนข้างเป็นเพลงสีหม่นๆ อาจไม่ได้เศร้ามาก แต่ก็ไม่ใช่เพลงที่สมหวัง แนวดนตรีเป็นเพลง Easy Listening ไม่ต้องเศร้าก็ฟังได้ แต่ถ้าเศร้าอยู่แล้วมาฟังอาจจะยิ่งเศร้าก็ได้

ส่วนเบื้องหลังการทำอัลบั้มนี้ มิวได้ Co-Producer คือ Janpat ซึ่งเป็นรุ่นพี่มาช่วยทำอัลบั้ม ถามว่าร่วมงานเป็นไงบ้าง มิวบอกว่า “ดีครับ ก็ใหม่ดี เพราะเราไม่เคยทำงานกับเขาเหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่เราทำงานกับพี่เจน รู้สึกว่าพี่เขาเก่ง ตอนแรกก็มีความเกร็งเพราะว่าเราไม่เคยทำงานกับเขา ไม่รู้ว่าทำงานด้วยกันออกมาจะเป็นยังไง แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มันก็ดี ก็ไม่เกร็งมากครับ”

เสียงตอบรับที่ได้กลับมา มิวบอกว่าค่อนข้างดีกว่าที่คิดไว้ ไม่คิดว่าการปล่อยเพลง 5-6 เพลงแล้วคนจะฟัง ปกติไม่ค่อยได้อ่านคอมเมนต์ แต่จะมีเข้าไปดูในทวิตเตอร์บ้างว่าพูดถึงเราและอัลบั้มใหม่ยังไงบ้าง โดยรวมแล้วแฮปปี้มาก เหนือความคาดหมาย เราไม่เคยปล่อยเพลงแบบนี้มาก่อน ปกติปล่อยทีละซิงเกิล แต่คนให้ความสนใจเยอะมาก แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้ออกไปเล่นคอนเสิร์ตเจอผู้คนได้ยาก มิวบอกว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างแย่ที่สุดในฐานะการเป็นศิลปิน เราอยู่บ้านทำเพลงได้ แต่ออกไปเจอแฟนๆ ไม่ได้ ก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน

ความรักปัจจุบัน

เราถามต่อถึงเรื่องหัวใจของเจ้าตัว ที่ปัจจุบันศึกษาดูใจกับ จัสมิน สุธิดา เถาเจริญ นางแบบสาว ซึ่งล่าสุดเพิ่งโพสต์คลิปไปกินโอมากาเสะในวันเกิดและวันวาเลนไทน์ เขาบอกว่า “อ๋อ ไปกินก่อนวันเกิดครับ อันนั้นเขาเลี้ยงวันเกิด อร่อยเพราะไม่ได้จ่ายตังค์ (หัวเราะ) ส่วนตัวผมก็ชอบกินอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว เขารู้ก็เลยพาไป เราไม่ได้กินทุกวัน ก็นานๆ ทีเลยไปกินบ้างครับ”

จากนั้นมิวเล่าว่าคบหาดูใจกับจัสมินมา 2 ปีแล้ว แต่รู้จักกันมาจะ 3 ปี ตั้งแต่ช่วงปล่อยเพลง “ภาวนา” แรกๆ เราแซวว่าเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วดูเขินที่จะพูดเรื่องความรัก แต่วันนี้เปิดตัวชัดเจน มิวบอกว่า “ถ้าเป็นผมแต่ก่อน เราก็คงไม่ลงรูปกับแฟน เพราะมันเป็นการบอกผู้หญิงคนอื่นว่าเรามีแฟนแล้ว มันเป็นการปิดทางเรา แต่ว่าพอเราโตขึ้นครับ เรารู้สึกว่าผู้หญิงต้องการอะไรที่มั่นคง เขาไม่ชอบคนเจ้าชู้หรอก

ผมก็เลยเลิกเจ้าชู้ดีกว่า เพราะผมเกือบจะเสียเขาไปแล้ว ด้วยความที่เราเจ้าชู้นี่แหละ เลยรู้สึกว่าไม่ดี น้องๆ อย่าทำนะครับ (หัวเราะ) เคยเกมมาแล้ว แต่เขาก็ให้โอกาสเรา เหมือนในเนื้อเพลง Pattaya ผมเคยเขียนไว้ว่าฉันเป็นคนไม่ดี แต่เธอยังให้อภัย ประมาณนั้นเลย ถามว่ามีคำสัญญามั้ยว่าจะไม่ทำอีก คือไม่สัญญาแล้วครับ ผมสัญญาจนเขาไม่เชื่อแล้ว ผมว่าคำพูดไม่ค่อยหนักแน่น แต่ถ้าเราโชว์ให้เขาเห็นว่าเราเปลี่ยนไปแล้ว เราน่ารักกับเขาขึ้น ผู้หญิงก็จะรู้สึกเองว่าเราโอเค ผมว่าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายจะรู้สึกได้ เน้นการกระทำมากกว่าคำพูดครับ”

เมื่อถามถึงความประทับใจในตัวจัสมิน มิวตอบทันที “หนึ่งเลยคือเขาเป็นคนดี คือเขาก็มีทะเลาะกับผมนะเหมือนคู่รักทั่วไป ทุกคนเป็นหมด แต่ว่าที่บอกว่าเขาเป็นคนดีเพราะเขาพาผมเข้าบ้าน พอผมกลับบ้าน ใช้เวลากับพ่อแม่ผม แต่ก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยกลับบ้าน เขาก็จะชวนว่าพี่มิวกลับบ้านกัน แนะนำให้ผมปรับเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นครับ ผมว่าความเป็นคนดีของเขาทำให้ผมอยู่กับเขาได้มานาน ไลฟ์สไตล์ก็คล้ายกันหลายอย่าง ชอบแต่งตัว ชอบกิน ชอบเที่ยว ถึงแม้จะไม่เหมือนเป๊ะๆ แต่ก็ใกล้เคียงกัน เลยอยู่ด้วยกันได้นาน”

มิวบอกว่าที่ผ่านมาได้เจอครอบครัวกันและกันแล้ว เวลาคบกับใครต้องให้พ่อแม่สกรีนก่อนว่าผ่านหรือเปล่า ซึ่งจัสมินก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน “เราก็ยังอยู่ในขนบธรรมเนียม เราอยากเจอพ่อแม่คุณนะ ก็ไปเจอมาแล้วครับ แสดงให้เห็นว่าเราจริงใจต่อลูกสาวเขา เขาก็น่ารัก มาเจอป๊ากับมี้ผมแล้วด้วย ก็ทำให้เขารู้จักกันดีกว่า เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเวลาเวลาผมไปบ้านมินหรือมินมาบ้านผม ก็ทำให้เขาได้รับรู้ว่าเราคบกันอยู่ครับ”

ส่วนงานนางแบบของจัสมินที่มีมุมเซ็กซี่ ถามว่ามีเป็นห่วงบ้างมั้ย มิวตอบว่า “ก็หวงอยู่แล้วนะ เขาเป็นแฟนเรา แต่ว่าก็มีขอบเขต ตอนเด็กๆ เคยหวงแบบเป็นบ้าเป็นบอ ห้ามใส่ แต่ผู้หญิงจะอึดอัดไง ถ้าไม่แอบไปทำก็รู้สึกแปลกกับเรา แล้วจะไปทำให้เขารู้สึกแบบนั้นทำไม ก็เลือกที่จะทำให้เขามีอะไรกล้าคุย แต่เราก็บอกว่าอย่ามากเกินไปนะ ไม่งั้นเดี๋ยวดูไม่ค่อยดี เดี๋ยวผู้ชายคนอื่นมอง ยังดีที่เขาฟังครับ คือเราก็พยายามไม่งี่เง่า ไม่งั้นจะเลยเถิดไปกันใหญ่ จากเรื่องไม่ใหญ่มากเดี๋ยวจะทะเลาะกัน แต่ว่าเราก็มีพูดว่าเนี่ยโป๊ไปมั้ย”

ถามว่าเป็นคนที่ใช่มั้ย มิวบอกว่า ณ เวลานี้ก็ใช่ หมายถึงว่าไม่เคยคิดที่จะเลิกกับเขา เขาเป็นคนดี ณ วันนี้เขาก็โอเคที่สุดตั้งแต่เราเจอมา ส่วนแพลนทำโปรเจกต์หรือทำธุรกิจร่วมกันก็มีคิดและคุยกัน แต่ว่ายังไม่ได้ลงมือทำเพราะว่าช่วงนี้ยังไม่น่าทำอะไร ยังไม่ใช่ช่วงที่ดี แต่ก็มีคุยกันบ้างว่าอยากทำเสื้อผ้า อยากทำโน่นนี่ ตอนนี้เลยทำออนไลน์ไปก่อน คือการทำยูทูบ กับคำถามว่าอยากบอกอะไรเขามั้ย มิวบอกว่า “เราไม่มีอะไรพิเศษ เพราะทุกวันผมพยายามทำให้เป็นวันพิเศษ ให้มันเป็นวันวาเลนไทน์ทุกวัน เขาจะได้มีความสุขทุกวัน ณ วันนี้ทำให้ดีที่สุดในพาร์ทของเรา อยู่ด้วยกันอย่างแฮปปี้ก็โอเคแล้วครับ”

เป้าหมายใหม่

อีกมุมใหม่ของมิวในปัจจุบัน คือการทำ Vlog ลงในยูทูบแชนแนลของตัวเอง มิวเล่าถึงเหตุผลที่ทำว่า “หนึ่งผมอยู่บ้านว่างๆ ในช่วงโควิด สองแฟนๆ ขอเข้ามาเยอะ อยากรู้ว่าวันๆ ผมทำอะไร มันก็ไม่ได้ยากเกินไป แค่เอากล้องตัวนึงมาถ่าย และส่งไปให้ทีมตัดต่อแล้วลงยูทูบ ก็เป็นกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดี หลายคนบอกว่าไม่เคยเห็นมิวในมุมนี้ ผมก็ทำเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ทำทุกอาทิตย์หรือทำจริงจัง ถ้าว่างหรือมีคอนเทนต์เฟี้ยวๆ ก็ทำครับ อย่างคลิปแต่งตัวผมก็แต่งสไตล์นี้อยู่แล้ว แล้วก็จะมีไอจีที่ผมไว้ปล่อยของมาขายให้คนอื่นด้วย ผมเสียเงินซื้อเสื้อผ้าเยอะมาก แต่งตัวทีก็หมดเงินเยอะ ไม่บอกตัวเลขแล้วกัน”

แต่ตอนนี้มิวบอกว่าจะพยายามไม่ใช้เงินเยอะแล้ว เก็บตังค์ซื้อบ้านใหม่ดีกว่า โดยเป็นความตั้งใจที่ทำให้พ่อแม่ “ผมลดการช็อปปิ้งมาสักพักแล้ว ก็เป็นปีได้ เพราะว่าที่เราชอบมีหมดแล้ว เราก็เลยเลิกซื้อ แล้วเวลาซื้อทีเยอะไง เลยไม่อยากซื้อแล้ว พ่อผมเคยพูดเวลาซื้อเสื้อผ้าเยอะๆ ว่าอาทิตย์นึงมีแค่ 7 วันเอง ซื้ออะไรเยอะขนาดนั้น ก็เลยคิดได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลยครับเพราะเพิ่งซื้อรถไป ขอผ่อนรถก่อน แต่แม่ผมขอบ้านไง คือเขาไม่ได้ขอจริงจังหรอก แต่ผมก็อยากทำให้เขา เราในฐานะลูก ถ้าไม่นับเรื่องการบวช ผมว่าเรื่องการซื้อของแบบนี้ให้เขา ทำให้เขาภูมิใจครับ ผมเลยอยากเก็บเงินซื้อให้เขา ทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”

มิวบอกว่าแพลนชีวิตต่อไปคือเตรียมทำอัลบั้มใหม่ และตั้งใจเก็บเงินให้มากขึ้น ปีที่แล้วกับปีนี้ไม่เหมือนกัน ปีนี้มีความรู้สึกว่าเก็บเงินได้แล้ว อยากเก็บเงินซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ไม่ไปฟุ้งเฟ้อกับเสื้อผ้าแล้ว ซื้อรถ ซื้อหุ้นดีกว่า โตแล้วควรมีอะไรแบบนี้บ้าง

เมื่อให้รีวิวชีวิตในวงการตลอด 7 ปีที่ผ่านมา นักร้องหนุ่มตอบว่า “มันก็ดีและท้าทายมาโดยตลอดครับ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ การที่เราจะมาถึงจุดนี้มันก็ไม่ได้ผ่านมาง่ายๆ ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ครับ ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป ผมก็คงยังทำเหมือนเดิม เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่สอนให้ผมเป็นผมในวันนี้ครับ ผมได้ข้อคิดจากในวงการนี้หลายอย่างว่าเราควรต้องปรับตัวยังไง ไม่เคยมองว่าอะไรมันแย่นะ รู้สึกว่ามันสอนเรา”

สุดท้ายมิวฝากถึงแฟนๆ ว่า “อยากขอบคุณแฟนๆ ถ้าไม่มีแฟนๆ ก็ไม่มีผมในวันนี้ ทุกอย่างมาได้ด้วยเพราะแฟนคลับ ขอบคุณที่ช่วยซัพพอร์ตกันมาตลอดครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์
กราฟิก : Theerapong Chaiyatep