• แต่งเพลงรักให้สาว “แค่บอกว่ารักเธอ” ไปประกวดดนตรี กลายเป็นเพลงดังแจ้งเกิดในวงการเพลง
  • ไม่คิดอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นนักแต่งเพลง แต่สุดท้ายยอมจับไมค์เพราะอยากให้แม่สบาย
  • มรสุมชีวิต ทำธุรกิจเจ๊งจนต้องขายรถ แฟนเท ผ่านมาได้เพราะแม่ โควิดมาต้องใช้เงินเก็บจนหมด แต่อยู่ได้เพราะปรับตัว ไม่ฟุ่มเฟือย

เป็นอีกหนึ่งศิลปินคุณภาพในวงการเพลง สำหรับ ปราโมทย์ วิเลปะนะ เจ้าของเพลงฮิตในวันวานมากมาย อาทิ แค่บอกว่ารักเธอ, คืนที่ดาวเต็มฟ้า, แค่คนอีกคน, หวาน ฯลฯ ล่าสุดเขากลับมาเป็นศิลปินอีกครั้งในสังกัดข้าวสาร เอ็นเตอร์เทนเมนต์ หลังห่างหายจากวงการไปนานหลายปี และมีผลงานเพลง “Move On” ที่มีกระแสตอบรับจากแฟนเพลงอย่างดี ขึ้นชาร์ตเพลงอันดับ 1 มาแล้ว

แต่ในวันวาน ปราโมทย์เล่าให้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า กว่าจะมีวันนี้ต้องผ่านอะไรมามากมาย ก่อนจะเป็นนักร้องชีวิตลำบาก ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย มีเงินติดตัวไปเรียนแค่ไม่กี่บาท จะจีบสาวก็ไม่กล้า สุดท้ายแต่งเพลงสื่อความในใจส่งเข้าประกวดจนกลายเป็นเพลงดัง พอได้เป็นนักร้อง มีเงินไปทำธุรกิจ แต่เพราะไม่มีเวลาสุดท้ายธุรกิจเจ๊ง โดนแฟนเทเพราะเชื่อเพื่อนมากเกินไปจนทุกอย่างพังหมด เรียกว่าเป็นมรสุมชีวิตที่หนัก แต่เขาผ่านมาได้เพราะกำลังใจจากคนที่รักที่สุดอย่างคุณแม่

...

แต่งเพลงรักให้สาว กลายเป็นเพลงดัง

ปราโมทย์เล่าถึงชีวิตช่วงแรกที่เริ่มชอบเสียงเพลงว่า มีพื้นฐานครอบครัวที่ใกล้ชิดกับดนตรี เลยชอบมาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนจะฟังเพลงลูกทุ่ง อยู่กับแม่ก็ฟังเพลงลูกกรุง คุณพ่อเป็นโฆษกวงดนตรีลูกทุ่ง ตอนอายุ 5-6 ขวบก็ตามคุณพ่อไปดูพุ่มพวง ดวงจันทร์ และศิลปินอีกหลายคน แต่พอโตขึ้นก็ไม่ได้ตามไปแล้ว

“ช่วงนั้นชอบฟังเพลงลูกทุ่งมาก แม่ผึ้ง (พุ่มพวง ดวงจันทร์) คือสุดยอดแล้ว เป็นไอดอลอันดับ 1 ของผมเลย ทั้งการร้อง จังหวะการเล่น ส่วนนักร้องชายที่ชอบคือยอดรัก สลักใจ ส่วนสุรพล สมบัติเจริญ ไม่เคยไปดู ไม่เคยเจอ แต่ชอบมาก แนวทางในการแต่งเพลง เมโลดี้ จังหวะในการร้องคือเทพจริงๆ ตอนนั้นยังเด็กมาก พอไปดูก็กลับมาฟังที่บ้านบ้าง ดูรายการทีวีบ้าง เวลาผมร้องจะมีเมโลดี้ลูกทุ่งมาหน่อยนึงถ้าสังเกตดีๆ ถามว่าชอบร้องเพลงมั้ย ก็ร้องเล่นๆ พอหัดเล่นกีตาร์ก็เปลี่ยนมาเป็นแนวสตริง เริ่มแต่งเพลงเรื่อยๆ”

เมื่อโตขึ้น นักร้องดังบอกว่าเริ่มหัดเล่นกีตาร์เพราะเห็นคนแถวบ้านเล่นแล้วเท่ ส่วนจุดเปลี่ยนที่ทำให้เข้าสู่วงการเพลงคือการแต่งเพลงไปประกวดจนได้รางวัลรองชนะเลิศ “ถามว่าทำไมถึงฝึกเล่นกีตาร์ คือผมเห็นรุ่นพี่ในหมู่บ้านเล่นกีตาร์แล้วเท่ เขาก็แนะนำ ผมก็ไปซื้อตารางคอร์ด หนังสือเดอะกีตาร์มาเปิดดูและเรียนเอง ผมก็เล่นได้แค่คอร์ดงูๆ ปลาๆ แต่ก็สามารถแต่งเพลงได้ ส่วนจุดเปลี่ยนในชีวิต ก็คือแต่งเพลง “แค่บอกว่ารักเธอ” ใช้แค่ 5 คอร์ด แล้วมันดังในมหาวิทยาลัย พอไปประกวดแล้วได้รางวัลรองชนะเลิศ แต่ว่าก็เปลี่ยนให้รุ่นน้องเป็นนักร้องนำแทน เพราะผมไม่อยากเป็นนักร้อง ขี้อายครับ”

นักร้องหนุ่มเล่าว่าเพลง “แค่บอกว่ารักเธอ” สมัยอยู่ในวงหมีพูห์ เป็นเพลงที่แต่งเพราะไปหลงรักสาวที่อยู่สถาบันข้างๆ “ผมแอบชอบสาวข้างสถาบัน ตอนนั้นผมเรียนอยู่สวนดุสิตฯ ชอบสาวสวนสุนันทาฯ รั้วติดกัน เอาจริงๆ ทุกวันนี้เขายังไม่รู้เลยว่าผมแต่งให้เขา คือผมแค่ขึ้นรถ ปอ. ตามไปมองเฉยๆ มาถึงทางเลี้ยวผมก็ไปต่อรถธรรมดาเพราะค่ารถ ปอ. มันแพง

ผมเจอเขาสมัยเรียนตลอด เจออยู่เกือบปีเลย แต่ไม่กล้าทำความรู้จักเขา เราจนขนาดนั้นจะทำอะไรได้ หน้าตาตอนนั้นคือหน้าแหลมๆ ดำๆ ผอมๆ ไม่กล้าไปจีบเขา ไม่รู้ว่าชื่ออะไรแต่จำหน้าได้ พอแต่งเพลงไปให้น้องๆ ในวงฟังเขาก็ชอบ เขาก็ให้มาเป็นนักร้องที่วงแล้วเอาเพลงนี้มาช่วยกันเรียบเรียง ตอนนั้นย้ายมาเรียนที่บ้านสมเด็จฯ ก็ได้ทำเพลงแล้วส่งเข้าประกวดครับ”

เป็นนักร้องเพื่อครอบครัว

หลังจากผ่านการประกวดไป 2 ปี โมทย์เล่าว่าก็ยังคงเรียนและทำงาน และมีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกับชมพู ฟรุตตี้ ก็เลยได้รู้จักกัน เป็นเหมือนอาจารย์คนแรก “ตอนนั้นมีการประชุมคนแต่งเพลง ผมอยากเป็นเด็กฝึกงาน พี่ชมพูก็ถามว่ามีอะไรมาเสนอเหรอ ผมบอกไม่มีครับ แต่เคยแต่งเพลง ก็เปิดให้ฟัง เขาก็อ้าว เพลงนี้ก็โอเค เคยได้ยิน คือพี่เขาเป็นคนที่กว้างมาก เพลงอินดี้ก็ฟัง เขาก็ให้ผมร้องให้ฟัง เขาก็บอกว่าเป็นนักร้องได้ แต่ผมบอกไปว่าผมไม่อยากเป็นนักร้อง ผมอยากเป็นคนแต่งเพลง

วันรุ่งขึ้นพี่ชมพูก็ให้เข้าประชุมกับทีมทำเพลง เราก็ไปนั่งฟังเรียนรู้วิธี แต่เรียนอยู่ได้ไม่กี่วันเพราะตังค์ไม่พอ เพราะค่ารถเวลาไปมันแพง วันนึงผมมีเงินแค่ 50 บาทเอง ก็ต้องหยุดไป จากนั้นก็มีน้องๆ ไปซ้อมดนตรีที่ห้องซ้อมที่นึง เราก็ไปร้องเพลงแล้วเล่นเพลงของวงหมีพูห์ เขาก็ชอบเสียง ถามว่ามีเพลงแต่งมั้ย ช่วงนั้นผมแต่งเพลง “คืนที่ดาวเต็มฟ้า” ก็เลยส่งเพลงนี้ให้เขาฟัง พอดีพี่เจ้าของห้องเสียงคือพี่จิ๋วเขาเป็นเพื่อนสนิทกับพี่ต้น (สุวัธชัย สุทธิรัตน์) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ เขาก็เลยเรียกมาคุย

...

เขาก็ยุให้ผมเป็นนักร้อง ผมก็บอกว่าไม่อยากเป็น แต่เขาบอกว่างานที่ตัวเองรักมันต้องมีองค์ประกอบด้วย เขาก็ถามว่าแม่มีบ้านอยู่ไหม ผมก็บอกว่าไม่มีครับ เช่าอยู่ เขาก็ถามอีกว่ามีรถพาแม่ไปไหนมาไหนมั้ย ผมก็บอกว่าไม่มี เขาก็ถามว่าอยากมีมั้ย ผมก็บอกว่าอยากมี เขาบอกว่าถ้าทำงานเขียนเพลงอยู่แบบนี้ไม่มีหรอก ยากมาก ให้มาเป็นนักร้อง ผมก็เลยคิดว่าทำไมเราถึงเห็นแก่ตัว ต้องลองพยายามหน่อย เลิกขี้อาย ทำเพื่อครอบครัว ผมก็เลยตัดสินใจเป็นนักร้อง แล้วก็ได้ตังค์จริงๆ ผมมีบ้านมีรถจริงๆ”

หลังจากออกอัลบั้มแรก “โมทย์ ร้องนำ” ภายใต้สังกัดโซนี่ มิวสิก เพลง “คืนที่ดาวเต็มฟ้า” กลายเป็นเพลงดัง ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงแบบเต็มตัว โมทย์ยอมรับว่าช่วงนั้นเอาแต่ใจ ร้องเพลงนิดหน่อยก็จะชวนเพื่อนมาร้องเพราะยังขี้อาย ให้เพื่อนร้องเยอะๆ เราร้อง 3 เพลง เพื่อนร้อง 7-8 เพลง “ตอนนั้นก็มีคนว่าเยอะเหมือนกัน จากค่าตัวราคาสูงๆ กลายเป็นราคาลดลง ช่วงนั้นก็เริ่มไม่อยากร้องเพลง อยากทำอย่างอื่น ก็ไปทำธุรกิจเปิดร้าน ไปหุ้นโน่นนี่ สุดท้ายก็เจ๊ง”

...

มรสุมชีวิต

โมทย์บอกว่าในชีวิตการเป็นนักร้อง ย้ายค่ายมาแล้ว 4 ค่าย หลังจากออกจากค่ายโซนี่ก็ไปอยู่ที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จากนั้นโซนี่ก็เปลี่ยนมาเป็นบีอีซี-เทโร มิวสิก ก็เลยได้กลับมาอีกครั้ง ก่อนจะมาเป็นศิลปินอิสระ และมาร่วมงานในสังกัดข้าวสาร เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเขาเล่าถึงชีวิตช่วงที่ย้ายค่ายว่า “ช่วงที่ย้ายมาอยู่แกรมมี่ก็ดีนะ แต่ไม่มีงาน คือเพลงดีทั้งอัลบั้มเลย แต่ว่างานน้อย เรามาใหม่แต่อยู่ตรงกลาง ไม่ได้ขึ้นกับค่ายในเครือ เขาก็ขายงานเบอร์ใหญ่มากกว่า เขาไม่ได้ขายเบอร์กลางๆ ก็เลยออกมาเป็นอิสระ แล้วก็ย้ายกลับมาที่บีอีซีเพราะสนิทกับพี่ๆ ที่เคยอยู่โซนี่ครับ”

หลังจากนั้นโมทย์ก็เป็นศิลปินอิสระ โฟกัสการทำธุรกิจ ซึ่งเขาบอกว่าทำธุรกิจมาตั้งแต่ออกอัลบั้มแรกแล้ว “ผมทำตั้งแต่ตอนเพลงคืนที่ดาวเต็มฟ้า ก็ทำมาเรื่อยๆ เจ๊งมาเรื่อยๆ ใช้เวลาสะสมการเจ๊งเยอะมาก เจ๊งจนหมด ต้องขายรถเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ ที่ผ่านมาก็ทำธุรกิจร้านอาหารกึ่งผับ ทำมาหลายที่ มีร้านหมูกระทะบ้าง ทำไปทำมาเราไม่มีเวลาไปดูมันก็เจ๊ง จะบอกว่าถูกโกงก็ไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน

สุดท้ายก็ขายรถไปหมดเลยแล้วซื้อมอเตอร์ไซค์มือ 2 มา ตอนนั้นก็มาอยู่แกรมมี่แล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วต่อด้วยแท็กซี่เพื่อจะได้ไม่อายเขา ช่วงนั้นก็หนักครับ งานตอนนั้นก็ไม่รุ่ง มีแฟนแล้วแฟนหนี เลิกกับแฟน ที่แฟนเลิกเพราะเขาโมโหที่เราไปเชื่อเพื่อนจนทุกอย่างพังหมด ถ้าเราเชื่อเขาก็คงไม่เจ๊ง อันนี้เราผิดอยู่แล้ว เราเลือกเพื่อน เลือกหุ้นส่วน ช่วงนั้นร่วงรอบทิศเลย”

...

ถามว่าผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้ยังไง นักร้องหนุ่มตอบว่า “ไม่มีอะไรเลยครับ มีคำเดียวคือ “แม่” ครับ แม่ก็บอกว่าเอาใหม่ๆ เสียไปแล้วช่างมัน เริ่มต้นใหม่ เพราะคำของแม่อย่างเดียวเลย หลังจากนั้นชีวิตก็เริ่มดีขึ้น มีเพลงดีๆ มาด้วย ก็เลยโชคดี มันเหมือนกับว่าเราเริ่มคิดได้ กลับมาคิดถึงครอบครัว เมื่อเรากตัญญู เป็นคนดีขึ้น มันก็อาจมีผลดีกลับมา อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อ”

แม้จะเจอวิกฤติจากการทำธุรกิจ แต่โมทย์บอกว่าไม่ได้เข็ด แต่ถ้าจะทำธุรกิจขอทำคนเดียวดีกว่า “ไม่ได้เข็ดครับ น่าจะจบแล้วละ ถ้าจะทำอะไรขอทำเองคนเดียวดีกว่า ไม่ร่วมกับใคร ไม่ไหวครับ ใจดีเกินไป ก็ร้องเพลงอย่างเดียวครับ มันเพิ่งฟื้นมาได้ไม่กี่ปีเอง แล้วก็มาอยู่ค่ายข้าวสารฯ และก็เจอโควิดพอดี ช่วงที่เป็นศิลปินอิสระก็ทำธุรกิจ ติดเพื่อน ก็นานครับ ก็หายไป 3-4 ปี ไม่รู้อยู่ได้ไงตอนนั้น รอดมาได้ยังไง (ยิ้ม) แต่ช่วงนั้นก็รับงานก๊อกแก๊กไปเรื่อยๆ ก็มีงานแต่น้อยมากครับ เราไปแจมกับเพื่อน อยู่ได้เพราะเสียงร้อง ไม่มีอะไรเลยครับ (หัวเราะ)”

คัมแบ็กทำเพลง

เมื่อถามว่าอะไรทำให้ตัดสินใจกลับมาทำเพลงอีกครั้งที่ค่ายเพลงข้าวสารฯ โมทย์บอกว่า “ก็มีคนที่หางานให้เราตลอดมาเป็นผู้บริหารของกลุ่มศิลปินยุค 90 เขาก็เลยชวนเรามาอยู่ในโปรเจกต์ เขาก็ส่งเพลงให้ผมฟัง ผมก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่ จนเขาส่งเพลง “มูฟออน” ให้ฟัง ผมบอกใช่เลย แล้วก่อนหน้านั้นโปรดิวเซอร์คนเดิมที่เคยทำเพลงคืนที่ดาวเต็มฟ้าแต่งเพลงขึ้นมาเพลงนึงให้เราร้อง มันก็เลยมี 2 เพลงนี้ที่ทำให้คนจำเราได้ว่ายังอยู่นะ กระแสตอบรับก็ดีครับ ขึ้นอันดับ 1 อยู่สัปดาห์นึง เป็นจังหวะที่คนไม่รู้จะฟังเพลงอะไรมั้งครับ (ยิ้ม)”

ส่วนความประทับใจในการร่วมงานกับข้าวสารฯ นักร้องดังเผยว่า “เขาดูแลดีมาก เจ้าของค่ายเป็นคนที่ฟังเพลงยุค 90 อยู่แล้ว เป็นคนที่สายบุญอยู่แล้ว เขาใจดีมาก จะทำอะไรก็ได้ เขาอะลุ้มอล่วยมากสุด ผ่อนผันให้มากสุด เป็นพี่เป็นน้องกัน เหมือนมีเจ้านายเป็นเพื่อน เขาปล่อยให้เราทำงานอิสระและโปรโมตเต็มที่ ศิลปินยุค 90 ที่เลือกมาเขาชอบอยู่แล้ว”

เมื่อถามถึงงานในช่วงนี้ ปราโมทย์เผยว่ากำลังทำเพลงประกอบละครทางช่อง 3 และช่องวัน 31 อีกทั้งเตรียมจะทำซิงเกิลใหม่ของตัวเอง ซึ่งคาดว่าจะปล่อยในเดือน มิ.ย. 2565 แต่ที่จะได้ฟังเร็วๆ นี้คือการคัฟเวอร์เพลง “พูดไม่ออก” ศิลปิน ตั้ม สมประสงค์ ส่วนเหตุผลที่เลือกเพลงนี้ นักร้องดังบอกว่า “เพลงนี้เพราะมาก ผมเป็นแฟนคลับพี่ตั้มอยู่แล้ว หลายๆ คนคงคิดถึงพี่ตั้ม เราก็อยากให้ทุกคนยังจำได้ พยายามร้องให้เหมือนต้นฉบับ ดนตรีจะทันสมัยหน่อย เนื้อหาเพลงก็ยังอยู่ในปัจจุบัน

เดี๋ยวนี้คนเลิกกันมักจะรุนแรง เลิกแล้วพาลใส่กัน แต่อันนี้เป็นความรู้สึกแมนๆ อกหักแต่เป็นคนดี เราก็อยากให้ได้มุมนี้กลับมา ก็จะพยายามทำเสร็จปลายเดือน ก.พ.นี้ครับ ถามว่าพี่ตั้มว่าไงบ้าง ผมเคยเจอพี่ตั้มตามงานบ้าง ก็พูดคุยถึงเรื่องคัฟเวอร์ พี่ตั้มบอกว่าเรื่องลิขสิทธิ์ไปคุยกับเขาเลย อยากทำก็ทำเลย ยินดี ถ้าเป็นผมก็ยินดีนะ ชอบที่มีคนมาคัฟเวอร์เพลงผม ผมว่าเราเป็นพี่น้องกัน เจอกันก็ทักทายกัน”

ส่วนการทำซิงเกิลเพลงใหม่ นักร้องหนุ่มบอกว่าเนื้อหาเป็นมุมมองความรักแนวบวก เป็นคนอินเลิฟแอบรัก สงสัยว่าทำไมเธอถึงมีอิทธิพลขนาดนี้ ความรักทำให้เราเป็นไปได้ขนาดนี้ เธออาจไม่ชอบเราก็ได้ เหมือนเพลง “แค่บอกว่ารักเธอ” แต่เพลงนี้จะโตขึ้นมาหน่อย พอแซวว่าเพลงดังๆ ของเขาส่วนมากจะเป็นแนวแอบรักทั้งนั้น เขาตอบทันที “ใช่ครับ เพลงของผมจะเป็นแนวคิดบวก ไม่คาดหวัง ยังคงคอนเซปต์เดิมคือไม่อันตราย ไม่คิดร้ายกับใคร ไม่รักก็ไม่เป็นไร อกหักก็ไม่ได้โทษใคร”

แต่พอถามถึงชีวิตจริงเรื่องความรักของเจ้าตัวเหมือนในเพลงมั้ย เขาตอบทันที “น่าสงสารครับ (หัวเราะ) จังหวะไม่ค่อยดี มันจำเป็นต้องโสด บางทีก็เจอนะ แต่ว่าเวลาไม่ตรงกัน ความคิดต่างกัน มันก็เป็นปัญหา โดนเพื่อนแย่งไปก็เป็นปัญหาอีก โดนแย่งนี่บ่อยมากครับ บางทีที่เขาเลือกคนอื่นเขาก็มีเหตุผล ไปแอบรักรุ่นน้องผมเอง บางทีผมไม่มีเวลาให้เขา เขาก็อาจไปคุยกันเป็นพี่น้องแล้วพัฒนาขึ้นไป ก็เป็นเรื่องสมัยก่อนครับ แต่ไม่ได้เอามาใส่ในเพลง เพราะเพลงผมเป็นเพลงที่ไม่ได้ว่าใครครับ ขอเก็บไว้ในใจครับ ตอนนี้ก็โฟกัสเรื่องงาน หาเงินดีกว่าครับ”

ชีวิตที่ต้องปรับตัว

ชีวิตของปราโมทย์ในวันที่โควิดเข้ามาก็ไม่ต่างจากศิลปินทุกคน คือได้รับผลกระทบอย่างหนัก เงินเก็บที่มีก็เอามาใช้จนหมด ต้องอยู่อย่างประหยัด แต่ยังมีข้อดีคือได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว ได้ดูแลฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า “พอเจอโควิดก็หนักเหมือนกัน มีรายจ่ายเยอะแต่รายได้น้อย เราก็ต้องประหยัด พยายามไม่เกี่ยงงาน นอกจากร้องเพลงก็มีขายนมอัดเม็ด ก็พออยู่ได้ ตอนนั้นได้เงินเดือนละหมื่นกว่าบาทเอง เราก็แจกเด็กๆ เยอะ แต่ตอนหลังเด็กๆ ไม่ค่อยกล้ารับของใคร เราก็ได้กำไรเยอะขึ้น (ยิ้ม)

ก็ต้องอยู่ให้ได้ครับ เราอยู่แต่บ้านไม่ได้ไปไหน สั่งอะไรมากินก็ไม่แพง ใช้วันนึงไม่เกิน 500 บาท เพราะไม่ได้ไปไหนเลย ส่วนรายได้ทางอื่นก็มาจากเราคัฟเวอร์เพลง เพลงที่แต่งเอง ก็พอช่วยได้ แล้วโชคดีที่เพลง “Move On” กับเพลง “ล้ำเส้น” ยอดวิวดี ก็เลยมีส่วนแบ่งบ้างเลยพออยู่ได้ ผมก็มีซื้อของไปแจกตามชุมชนบ้างในช่วงโควิด เราพอมีเงินก็แบ่งๆ ไปบ้างครับ

ยอมรับว่าโควิดเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ รายได้หายไป เงินเก็บไม่เหลือ แต่โชคดีที่ผู้ใหญ่ช่วย เขาเห็นเราลำบากก็หาโน่นหานี่ให้ทำครับ ส่วนเรื่องครอบครัวกับสุขภาพดีมากครับ มีเวลาดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ร่างกายดีขึ้นมาก ได้พักผ่อนอยู่กับแม่กับครอบครัว เราใกล้ชิดกัน ความรู้สึกเก่าๆ สมัยเด็กก็กลับมา ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เงินนะ มันคือร่างกายและจิตใจครับ แล้วผมไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวเสพยา ไม่ยุ่งอะไรเลย ใช้ชีวิตเรียบง่าย”

ถามว่าก่อนหน้านี้รายได้ในการเป็นศิลปินมีเยอะแค่ไหน นักร้องหนุ่มตอบว่า “เวลาทำงานผมได้รับย้อนหลังจากบริษัท ส่วนมากจะเป็นรายเดือนมากกว่า สมัยก่อนนี่ได้เยอะมากเลย เดือนละประมาณ 5 แสนบาท จากนั้นก็เดือนละ 3 แสนบาท ช่วงหลังๆ ก็ไม่ถึงแสนแล้ว แต่พอโควิดมา 5 หมื่นจะถึงหรือเปล่า ลดไปเยอะมาก ประมาณ 10 เท่าได้ ถามว่าใจหายมั้ย เขาเรียกว่าต้องเปลี่ยนวิธีคิดครับ พยายามพลิกวิกฤติเป็นโอกาส อะไรที่ไม่ใช้ตังค์ก็คือสุขภาพ เปลี่ยนโหมดตัวเอง เปลี่ยนการใช้เงิน เปลี่ยนอาหาร พอเปลี่ยนก็ดีขึ้นเยอะเลยครับ

ผมออกกำลังกายเยอะมากครับ เมื่อก่อนออกกำลังกายสัปดาห์ 2-3 ครั้ง ตอนหลังคือแทบทุกวัน เมื่อก่อนไปทานข้าวข้างนอกกับแม่ เดี๋ยวนี้สั่งอาหารมากิน ซื้อข้าวแกง เมื่อก่อนกินมั่ว กินทุกอย่าง เดี๋ยวนี้ดูแลตัวเองมากขึ้น สุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม 5-6 เท่า รู้สึกว่าหน้าตาที่แย่ๆ ก็ดีขึ้น ร่างกายเมื่อก่อนอวบๆ เดี๋ยวนี้ไม่อวบแล้ว กำลังน่ากอด (หัวเราะ) พูดเล่นๆ ตอนนี้เราจัดเวลาดีขึ้น แบ่งเรื่องสุขภาพกับการงาน เมื่อก่อนทำงาน ไปกับเพื่อน เดี๋ยวนี้กลับเร็ว ทำงานเสร็จก็ไปกับเพื่อนนิดหน่อยแล้วรีบกลับ ตื่นมาก็ดูแลสุขภาพตัวเองต่อ”

ขอบคุณแฟนๆ ที่ไม่ทิ้งกัน

เมื่อพูดถึงแฟนคลับ โมทย์บอกว่าจริงๆ แฟนคลับก็อยากให้ทำเพลงตลอด มีช่วงหนึ่งที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าท้อ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปจริงๆ แล้วเรื่องธุรกิจจะมีคนทำร้าย แต่เรื่องเพลงก็ทำตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำอะไรเรา อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่า เลยกลับมาทำ และคิดว่าจะปวดหัวหรือเศร้ากับสิ่งรอบข้างที่ไม่ใช่เราทำไม ทำไมเราไม่ทำเรื่องเพลงให้ดี ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะร้องเพลงให้เยอะๆ จะทำเพลงต่อไปดีกว่า ไม่ไปทำอย่างอื่น

ถามว่าทุกวันนี้ยังอายเรื่องการร้องเพลงอยู่ไหม โมทย์ตอบว่าน้อยมาก เราเริ่มรู้ว่าตรงไหนมีค่าแล้ว เราก็จะไม่ขัดเขิน ทำตรงไหนแล้วดีก็ทำตรงนั้นต่อ ก็ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในเรื่องการทำเพลง โมทย์บอกว่าอีก 2 ปีน่าจะยังพออยู่ได้ ที่เหลือแล้วแต่บุญว่าจะมีใครฟังหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จะกลับไปทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง แต่ถ้ายังไม่รู้จะทำอะไรก็ยังทำเพลงไปก่อน อีกทั้งบอกว่าหากจะมีใคร เราก็ต้องดูแลเขาให้ได้ ต้องมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีงานเยอะๆ

ปิดท้ายการพูดคุย เราให้เจ้าตัวฝากถึงแฟนๆ นักร้องหนุ่มบอกว่า “ผมขอบคุณมากเลย ไม่คิดว่าจะมีคนยังให้กำลังใจและติดตามเพลงเยอะมาก พอเข้าไปดูคอมเมนต์ในเพลง แฟนเพลงทำให้ผมมีพลังขึ้น คือแม่ผมทำให้ผมกลับมาที่จุดเดิม เริ่มต้นใหม่ แต่พลังมาจากแฟนคลับ เพื่อนๆ ผมอ่านข้อความแล้วประทับใจมาก รู้สึกดีมากเลย รู้สึกว่ามีค่ามากนะ

แต่ก่อนนี้แฟนๆ ส่งข้อความมา 2 แสนกว่าข้อความ แต่เราไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยเข้าไปอ่านในเฟซบุ๊ก ไม่แตะต้องโซเชียลมาหลายปี ซึ่งเฟซบุ๊กตรงนั้นบริษัทตั้งให้ ผมไม่ได้ไปยุ่งอะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้ก็มีตอบบ้าง ยอมรับว่าสมัยก่อนแย่มากเลย เห็นแก่ตัวมาก ไม่ได้สนใจเลย ก็ขอบคุณที่ยังอดทน ยังไม่ทิ้งกันครับ ก็สามารถติดตามผมได้ที่ยูทูบค่ายข้าวสารฯ รวมถึงอินสตาแกรมและเฟซบุ๊กของผมครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : Khaosan Entertainment
กราฟิก : Sathit Chuephanngam