• มีน พีรวิชญ์ จากเด็กเอ็กซ์ตราค่าตัว 1,500 บาท สู่การเป็นนักแสดงมีชื่อเสียง
  • เจอสารพัดคำดูถูกแต่ไม่ท้อเปลี่ยนคำพูดลบให้เป็นพลังผลักดันตัวเอง
  • ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้มีชื่อเสียงช้า

ถ้าจะพูดถึง มีน พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร หนุ่มตี๋สุดคิวต์ที่เก่งครบเครื่อง และแจ้งเกิดมีชื่อเสียงจากซีรีส์วายเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แต่ใครจะรู้ว่า ก่อนหน้านี้ มีน พีรวิชญ์ นั้นผ่านผลงานละครมามากมายหลากหลายเรื่องแล้วก่อนจะแจ้งเกิด ซึ่งเริ่มตั้งแต่เป็นเอ็กซ์ตราตัวประกอบได้ค่าแรงที่ยังไม่พอกับค่ารถ จนในวันหนึ่งโอกาสและจังหวะที่ดีก็มาถึง 

และในวันนี้ มีน พีรวิชญ์ ได้เข้ามาเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 3 บ้านหลังใหญ่ที่เจ้าตัวหมายมั่นว่าจะได้ลองทำงานใหม่ๆ จากที่แห่งนี้ และในตอนนี้ก็กำลังมีผลงานละครเรื่อง เพชฌฆาตจันทร์เจ้า ออกอากาศอยู่ 

จากเด็กเอ็กซ์ตราค่าตัว 1,500 บาท

อย่างที่บอก กว่า มีน พีรวิชญ์ จะก้าวมาอยู่ในจุดนี้ จุดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักของแฟนๆ เขาใช้เวลานานถึง 8 ปี ในระหว่างทางมีความท้อบ้างหรือเปล่า

ซึ่งนักแสดงหนุ่มหล่อหน้าตี๋ยิ้มละมุนและเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของการทำงานในวงการบันเทิงของตัวเองให้ฟังว่า  

"ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ ม.5 รับเล่นเป็นตัวเอ็กซ์ตราครับ ทำงานกระจุกกระจิก เงินที่ได้จากงานละครบทเล็กๆ น้อยๆ ตอนนั้นไม่พอค่ารถเลยครับ เพราะผมเป็นคนฉะเชิงเทราไง ยิ่งวันไหนเลิกกองดึก 4-5 ทุ่ม ต้องนั่งแท็กซี่กลับ ค่าตัวที่ได้ยังไม่พอค่าแท็กซี่เลย 

ตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าจบ ม.6 แล้วไม่ค่อยมีงานหรือเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ผมขอกลับไปตั้งใจเรียนดีกว่านะ เพราะอยู่ทำงานไปก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไร เสียเวลาเยอะด้วย 

...

และบอกตัวเองว่า ถ้าไม่มีงานจริงๆ จังๆ บทเด่นๆ ก็คงกลับมาเรียนหนังสือ แต่สุดท้ายก็มีโอกาสได้เข้ามา วงการบันเทิงก็ฉุดกระชากและยื้อผมไว้ (ยิ้ม) ก็เลยยังทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ 

ก็มีช่วงที่มันท้อ เพราะมันเหนื่อย แต่ก็คิดว่า ถ้าเราไม่เหนื่อย เราอาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่หรือเปล่า บางวันสนุกมาก ทำงานเต็มที่

แต่บางวันก็มีคำถามกับตัวเองว่า เรารออะไรอยู่ เราทำอะไรอยู่ ก่อนจะมาเล่นบังเอิญรัก คือก็พอจะมีชื่อเสียงบ้าง ได้เล่นโฆษณาบ้าง เล่นเอ็มวีบ้าง

คือเรารู้ว่าวงการบันเทิงมันไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะมีงานเมื่อไหร่ วันไหนเราจกตก ต้องกินเงินเก่าที่เก็บเอาไว้ รู้แค่ว่าเมื่อไหร่ที่มีโอกาส เมื่อไหร่ที่ได้งานมา ก็จะต้องทำมันให้เต็มที่

ช่วงนั้นผมก็เรียนแอ็กติ้งเยอะ เตรียมตัวเอาไว้สำหรับโอกาสที่จะเข้ามา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะเข้ามาเมื่อไหร่ เรียนมาอาจจะไม่ได้ใช้ หรือไม่มีงานเลยก็ได้ (หัวเราะ) แต่ก็เรียนไว้ก่อน 

ผมทำตัวเองให้พร้อมกับโอกาสที่จะเข้ามา เพราะผมเชื่อว่าโอกาสไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ เพราะวงการบันเทิงมันไม่ได้ใหญ่มาก ทีมงานนี้เจอเรา แล้วเราเล่นไม่เต็มที่ เขาก็จะจำภาพเราในวันนั้น

เพราะฉะนั้นทำตัวให้พร้อมไว้เสมอนั้นดีที่สุดครับ เพราะผมรักในอาชีพนี้ และตัดสินใจแล้วว่าจะทำงานอยู่ในวงการบันเทิงต่อไป"

ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้มีชื่อเสียงช้า

แล้ววันหนึ่ง มีน พีรวิชญ์ ก็ได้แจ้งเกิดจากซีรีส์บังเอิญรัก ความรู้สึกในวันนั้น วันที่รู้ว่าซีรีส์มันประสบความสำเร็จยังจำได้มั้ย งานนี้หนุ่มมีนเล่าให้ว่า

"ผมก็ไม่รู้หรอกว่างานที่มันจะประสบความสำเร็จ ทำให้ผมกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่เอาจริงๆ นะ คือผมศึกษาผู้คนที่อยู่รอบตัวผม ตั้งแต่คนที่เคยดัง คนที่ดังอยู่ ก็ดูชีวิตของเขาหลายๆ คนว่ามันเป็นยังไง

ซึ่งผมต้องขอบคุณโชคชะตาของตัวเองด้วยนะ ที่มีชื่อเสียงช้าเลยได้มีโอกาสได้เห็นคนที่เขามีชื่อเสียงว่าทำแบบนี้จะเป็นยังไง เลยวางแผนชีวิตของตัวเอง เพราะว่าอยากอยู่ยาวๆ

ไม่อยากรีบมารีบไป ถ้ารีบมารีบไปก็จะเขินๆ นิดนึงนะ อยากอยู่นานๆ ไม่ต้องเปรี้ยงตลอด แต่มีงานเรื่อยๆ ทำงานทุกวัน 365 วัน 7 ปีติดก็คงจะดี

ขออยู่ไปเรื่อยๆ เพราะการที่ค่อยๆ โต ระหว่างทางที่เดินทำให้ได้เห็นคนอื่นที่เขาแซงหน้าเรา คนที่เขาร่วงไปต่อหน้า คนที่พุ่งไปต่อหน้า ได้เห็นคนอื่นมาเยอะ เลยเอามาปรับใช้กับตัวเองเยอะ"

จากนั้น เราถาม มีน พีรวิชญ์ ด้วยความอยากรู้จริงๆ ว่าในวันที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักแล้ว วางตัวอย่างไร 

"ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองดัง หรือมีชื่อเสียงอะไรมาก และยังทำตัวเหมือนเดิม ทำงานเหมือนเดิม กินข้าวเหมือนเดิม ผมไม่ได้ทำตัวเยอะขึ้นกว่าเดิม

แค่ทำให้มันดีขึ้นในทุกๆ วัน ไม่เคยคิดว่าตัวเองดังแล้วจะทำตัวเยอะขึ้น ไปขออะไรมากขึ้น เพราะสุดท้ายเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง จงพอใจกับตัวเองในวันนี้น่าจะดีที่สุด"

...

เปลี่ยนคำดูถูกให้เป็นพลังผลักดันตัวเอง

ในระหว่างทางที่ค่อยๆ ทำงาน สะสมประสบการณ์ในการทำงานมาเรื่อยๆ เคยเจอคำพูด คำถามของคนที่อยู่รอบตัวที่ทำให้มีนรู้สึกบั่นทอนบ้างมั้ย งานนี้ มีน พีรวิชญ์ รีบบอกกับเราว่า

"มีครับคำพูดที่ทำให้ผมบั่นทอน และเชื่อมั้ยว่าคนที่พูดอะไรแบบนี้กับผมก็เป็นคนใกล้ตัวผมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน อย่างเช่น เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักเลยนะ มารู้จักเพราะเป็นเพื่อนกัน เมื่อไหร่จะดัง

ซึ่งคำพูดเหล่านี้มันก็บั่นทอนความรู้สึกเราแหละ แต่ไม่ท้อนะ เพราะผมเป็นคนที่สู้อยู่แล้ว ก็คิดในใจเวลาใครพูดแบบนี้ว่า เดี๋ยวจะได้รู้จัก มีน พีรวิชญ์ แน่ (ยิ้ม)

ผมชอบคิดแบบนั้น ก็เลยกลายเป็นพลังให้กับตัวเอง ซึ่งบางคนเขาอาจจะทำแบบเราไม่ได้ ใครที่อ่านบทสัมภาษณ์นี้ของผมอยู่ ก็อย่าไปว่าใครเขาแบบนี้เลยนะ มันไม่ดีหรอก เพราะมันทำให้คนฟังเสียกำลังใจ

ซึ่งผมได้ยินได้ฟังมาบ่อย อย่างก่อนที่จะมาเข้าช่อง 3 ก็ได้ยินเขาพูดว่า หน้าแบบนี้ไม่ใช่หน้าดาราช่อง 3 หรอก หน้าแบบนี้เขาไม่เอาไปทำอะไรหรอก เจอมาเยอะ แต่ยิ่งทำให้ผมสู้ (ยิ้ม)

และผมยังจะสู้ต่อนะ เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตแบบขั้นสุด มันจะต้องไปได้อีกไกลกว่านี้

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าในอาชีพนักแสดงและความสามารถของผม ที่สุดของตัวผมนั้นจะอยู่ที่ไหน ไปได้ไกลมั้ย แต่ผมคิดว่าน่าจะยังอีกไกล เพราะตอนนี้ผมยังเดินมาไม่ถึงครึ่งทางของชีวิตเลย ขอไปต่อเรื่อยๆ"

...

ใช้เงินให้เต็มที่กับความเหนื่อยที่ต้องทำงาน

"ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เงินจากการทำงาน ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานแล้วได้เงินมา แม้มันจะไม่พอค่ารถกลับบ้านก็ตาม หรือในตอนนี้ได้เงินก้อนใหญ่จากการทำงาน ผมก็ยังมีความสุขทุกครั้งกับการทำงานแล้วได้เงินมา แม้จะมากหรือน้อย 

อย่างตอนนั้นที่เริ่มทำงาน ได้ค่าตัว 1,500-2,000 บาทต่อวัน ผมก็รู้สึกแบบมันเยอะมาก แม้ตอนนั้นจะต้องไปนั่งรอเข้าฉากอยู่กองทั้งวัน สำหรับผมตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ดีมาก เท่มากๆ

เอาเงินไปให้พ่อ เงินก้อนแรกที่หามาได้ แล้วพ่อกับแม่บอกให้เราเก็บเอา (ยิ้ม) มันคือน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานของตัวเรา ผมจะคิดเสมอว่า เราทำงานให้คุ้มกับที่เขาจ้างเราหรือยัง ผมคิดแบบนี้มาตลอดจะได้วินๆ ทุกฝ่าย 

ในช่วงที่มีเงิน หลงไปกับชื่อเสียงและเงินทองที่เข้ามาในชีวิตบ้างหรือเปล่า นักแสดงหนุ่มหน้าตี๋หัวเราะ และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า 

"ผมเป็นคนมือเติบ แต่ก็มีการวางแผนในการใช้เงินอยู่ แปลงเป็นสินทรัพย์บ้าง แบ่งสรรปันส่วนไว้ ซึ่งมีนจะมีเงินก้อนนึงเอาไว้ใช้ และจะต้องใช้ให้หมดทุกเดือน เพื่อให้รู้ว่านี่คือเงินที่เราหามา

ถ้าทำงานอย่างเดียว เก็บอย่างเดียว ก็ไม่ได้กินของดีๆ อร่อยๆ ไม่ได้ใช้ของที่อยากใช้ ก็เหมือนเหนื่อยไปวันๆ แต่ทำแบบนี้ก็เหมือนให้รางวัลชีวิตกับตัวเองให้สมกับที่ทำงานเหนื่อยมา เป็นวิธีการบริหารความเครียด ความเหนื่อย ความกดดันของตัวผมเอง เพราะยังไงเราก็มีส่วนอื่นที่เราเก็บมันเอาไว้อยู่แล้ว"

...

ผู้กำกับอายุน้อย 

ประสบการณ์ในการทำงานในวงการบันเทิงแค่ 8 ปี แต่ทำไม มีน พีรวิชญ์ ถึงกล้าที่จะไปนั่งเป็นผู้กำกับซีรีส์ งานนี้ทำเอาเจ้าตัวถึงยังสงสัยในตัวเอง และอธิบายให้ฟังว่า 

"แต่อยากลอง ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร รู้แค่ว่าอยากจะลองทำ เพราะตัวผมเรียนจบทางด้านกำกับมา แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ มีแค่ประสบการณ์จากการเรียนและทำโปรเจกต์ตอนเรียนนิดๆ หน่อยๆ และก็ทำงานกับผู้กำกับมาก็หลายสิบคน เลยทำให้กล้าที่จะกระโดดเข้ามาเป็นผู้กำกับ

และผมก็อยากลอง เพราะในอนาคตของผม อาชีพผู้กำกับคงจะเป็นอีกอาชีพที่ผมจะต้องได้ทำแน่ๆ ถ้าไม่ลองวันนี้แล้วจะได้ลองเมื่อไหร่ ดีหรือไม่ดีอย่างน้อยๆ ในวันนี้ก็มีโอกาสได้แก้ไขในอนาคตอีกเยอะๆ

พอได้ลองแล้ว งานผู้กำกับปวดหลัง (ยิ้ม) มันเครียดนะ แต่ผู้กำกับก็จะเครียดอีกแบบ เครียดในภาพรวม ซีนต่อไปจะทำอย่างไร วันนี้เริ่มช้า ช่วงบ่ายจะทำอย่างไรให้ทัน มันเครียดคนละจุดกับการเป็นนักแสดง

นักแสดงจะเครียดแบบ ทำอย่างไรจะให้เล่นฉากนี้ผ่าน เพราะถ้าเล่นไม่ได้ ทุกคนก็จะต้องมารอเราคนเดียว ทุกอาชีพมันมีจุดเครียดที่แตกต่างกัน"

ส่งต่อพลังบวกถึงคนที่มีฝัน

เพราะเป็นคนมีพลังบวกและสู้ไม่ถอย แม้จะโดนหลายคนพูดจากบั่นทอนความรู้สึกมาไม่น้อย แต่ มีน พีรวิชญ์ ก็ยังอยากจะส่งต่อพลังบวกให้กับอีกหลายคนที่อาจจะกำลังเริ่มต้นอาชีพนักแสดงเหมือนกับเขาเมื่อหลายปีก่อนว่าอย่าได้ท้อเอาไว้ว่า 

"สำหรับใครที่อยากจะเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง และก็มีจุดเริ่มต้นเหมือนผม ผมอยากจะบอกว่า ทุกวันนี้วงการสื่อสารมวลชน มีช่องทางเยอะมากที่จะทำให้คนมีชื่อเสียง มีหลายทางมากๆ

เราต้องเห็นจุดเด่นในตัวเอง เห็นอนาคตของตัวเอง และพยายามฝึกมัน ทำมันให้ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าโอกาสจะมาเมื่อไหร่ เราอาจจะเป็นคนที่โชคดีคนนึงก็ได้ที่ได้โอกาสนั้นมา

และมาในจังหวะที่มันเหมาะสมด้วย แต่เราไม่มีทางรู้ว่าโอกาสจะมาเมื่อไหร่ สิ่งที่ทำได้คือการเตรียมความพร้อมเสมอเพื่อคว้ากับโอกาสที่จะเข้ามา

อย่าไปคิดว่าแค่มีความโชคดีอย่างเดียว หรือแค่ฝีมือดีอย่างเดียว มันไปไม่ได้ มันต้องมีจังหวะที่เหมาะสมของมันด้วย แล้วมันจะพาเราไปได้

และอย่าไปตื่นเต้นกับวงการบันเทิง วงการบันเทิงในวันที่คนจะดังมันง่ายมาก แต่พอดังแล้วจะอยู่ต่ออย่างไรให้มันยืนยาวอันนั้นอยากกว่า ไปซีเรียสในเรื่องนี้ตรงนั้นดีกว่า"

เพชฌฆาตจันทร์เจ้า ผลงานละครเรื่องแรกกับช่อง 3

และตอนนี้ มีน พีรวิชญ์ กำลังมีผลงานละครเรื่องแรกหลังจากที่มาเป็นนักแสดงในสังกัดของช่อง 3 อย่างเรื่อง เพชฌฆาตจันทร์เจ้า ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เล่าความรู้สึกของการทำงานกับบ้านหลังใหม่ให้ฟังว่า 

"ละครเรื่องแรกกับช่อง 3 ออกอากาศแล้ว ผมตื่นเต้นมาก มีรูปผมรูปเบ้อเริ่มอยู่ที่หน้าช่องด้วย (ยิ้ม) ผมคาดหวังกับละครเรื่องนี้ อยากให้เรตติ้งดี อยากให้คนดูชอบ ผู้ใหญ่ชอบ เป็นสิ่งที่นักแสดงหลายๆ คนอยากให้มันเป็นอย่างนั้น 

สำหรับละครเรื่องนี้ถ่ายอยู่ 9 เดือน ซึ่งตอนแรกผมคิดว่านาน เพราะปกติผมถ่ายซีรีส์ 3-4 เดือน ก็นานแล้ว ก็ไปบ่นกับทุกคนว่าเรื่องนี้ผมถ่ายตั้ง 9 เดือน คนที่ทำละครเขาก็บอกว่าแค่ 9 เดือนเอง เพราะละครบางเรื่องถ่าย 1 ปี ปีครึ่ง หรือ 2 ปี 

เรื่องนี้ผมต้องรับบทเป็นนักฆ่า ต้องไปเรียนแอ็กติ้งเยอะพอสมควร ไปเรียนกับครูสอนการแสดง ผมต้องเล่นให้นิ่งขึ้น ส่วนด้านแอ็กชั่นก็ไปเรียนเพิ่มเหมือนกัน 

ในเรื่องนี้ผมเป็นคนพูดหน่อย ใช้การกระทำมากกว่าคำพูด ชอบดูแล อยากเทคแคร์นางเอก แต่ไม่มีฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักเหมือนพระนาง จะเป็นฉากอบอุ่นๆ อยากปกป้องเขา 

พอมาเล่นละครในแนวนี้คือ ความยากมันคือการทำความเข้าใจกับการเป็นละครเพิ่ม ในการต้องเล่นให้ชัดขึ้น เล่นให้คนเขาเข้าใจเราง่ายขึ้น เป็นงานที่ค่อนข้างยาก แต่ว่าท้าทายผมมากๆ ครับ 

ตอนที่ถ่ายละครเรื่องนี้ พวกฉากแอ็กชั่นผมจะค่อนข้างหนักใจและเครียด เพราะต้องเล่นภายในเวลาที่กำหนด จะผิดคิวมั้ย ต้องจำคิวแอ็กชั่น ต่อยตรงนั้น เตะตรงนี้ ผมค่อนข้างใหม่ ก็กังวลนิดหน่อย 

มีฉากนึง ไม่ได้ผิดคิวนะ เป็นฉากที่ต้องยิงปืน พี่เก่งต้องยิงเฉียดหน้าผม แต่มันใกล้ ไม่ใช่ลูกกระสุนนะ แต่อาจจะเพราะด้วยแรงอัดของลม พอมันผ่านหน้าไปก็เป็นรอย แสบหน่อยๆ เล่นแอ็กชั่นก็ต้องมีบ้าง รอยฟกช้ำนิดๆ หน่อยๆ ให้รู้ว่าเราเล่นละครแอ็กชั่นนะ (ยิ้ม) 

ในเรื่องนี้เวลาที่ต้องเข้าฉากกับ พี่กบ ทรงสิทธิ์ ผมจะรู้สึกเกร็งมากๆ เพราะเวลาพี่เขาเล่นก็เหมือนจริงมาก ดูน่ากลัวจริงๆ ส่วนอีกคนที่เกรงก็คืออาตุ่ย พุทธชาด เพราะผมคาดเดาไม่ถูกว่าเขาจะเล่นอะไรออกมา มีหลุดบ่อย เพราะในเรื่องตัวผมห้ามขำ 

ทำงานกับช่อง 3 ช่วงแรกๆ ต้องปรับตัวเยอะหน่อย เพราะการทำงานมันก็เหมือนกันๆ แค่เราเปลี่ยนมาทำอะไรที่มันใหญ่ขึ้น จริงจังมากขึ้น แต่ว่าสุดท้ายวิธีการทำงานคล้ายๆ กัน ทีมงานก็เคยร่วมงานกันมาบ้าง

ส่วนกลุ่มแฟนๆ ก็ซัพพอร์ตผมเป็นอย่างดี ก็หวังว่าจะซัพพอร์ตกันต่อไปในผลงานทุกอย่างของผม และผมหวังว่าละครเรื่องนี้ออกอากาศไปคนจะรู้จักผมเยอะมากขึ้น (ยิ้ม) 

ละครเพชฌฆาตจันทร์เจ้า เป็นละครตลก สร้างสีสันให้คนดูตั้งแต่ต้นปี คลายเครียด มาสนุกไปด้วยกัน นอกจากสนุกก็ยังมีแอ็กชั่น ดราม่า โรแมนติก ละครเรื่องนี้มีครบทุกรสชาติเลย เข้าใจง่าย ดูได้ทั้งครอบครัว".

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : sathit chuephanngam