• ทอย ปฐมพงศ์ จากเด็กฝึกงานข่าวบันเทิง ก้าวขึ้นเป็นพระเอกละคร 
  • จากเด็กอ้วนถูกสาวหักอก เลยหันมาดูแลตัวเองจนกลายเป็นดาวโรงเรียน
  • เจ้าของฉายาซงจุงกิเมืองไทย เจอกระแสวิจารณ์จนทำให้รู้สึกเฟล

เป็นอีกหนึ่งพระเอกหนุ่มที่หลายๆ คนชื่นชอบทั้งในเรื่องหน้าตาและผลงานการแสดง สำหรับ ทอย ปฐมพงศ์ เรือนใจดี เจ้าของฉายาซงจุงกิเมืองไทย ที่จากวันแรกจนถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าเวลาเดินไปเร็วเหลือเกิน เพราะเป็นเวลา 7 เกือบ 8 ปีแล้ว ที่หนุ่มหน้าอ่อนคนนี้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง 

และสำหรับเราต้องบอกว่า คุ้นหน้าพระเอกหนุ่มคนนี้ตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ เพราะทอยเคยเป็นเด็กฝึกงานโต๊ะข่าวบันเทิงมาก่อน เพราะความหล่อเหลาของหนุ่มทอย เลยทำให้นักข่าวสาวแท้สาวเทียมในตอนนั้นกระชุ่มกระชวยหัวใจสุดๆ 

วันนี้เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์อดีตเด็กฝึกงานโต๊ะข่าวบันเทิง ก็ทักทายย้อนอดีตไปในสมัยที่เจ้าตัวมาฝึกงานอีกครั้ง บ่งบอกอายุของคนสัมภาษณ์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งหนุ่มทอยก็ถึงกับหัวเราะกับเรื่องราวที่เคยผ่านมา พร้อมกับเล่าเรื่องสมัยนั้นให้ได้ฟังว่า 

จากเด็กฝึกงานข่าวบันเทิง ก้าวขึ้นเป็นพระเอกละคร 

"เอาจริงๆ นะ ผมมีความฝันตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากทำงานเป็นเบื้องหลัง อยากเป็นผู้กำกับ แต่ผมได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเนชั่นฯ การเรียนการสอนจะเป็นเรียนไปฝึกงานไปทุกปี

และตอนปี 1 ที่เข้ามาเรียน ผมก็เลือกไปฝึกงานที่โต๊ะข่าวบันเทิง เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสนุกสนาน และตอนนั้นก็ยังเด็ก ก็เลยเลือกสายบันเทิงก่อน ก็ไปฝึกที่หนังสือพิมพ์คมชัดลึก หน้าบันเทิง 

พอได้ไปฝึกงานเป็นนักข่าวบันเทิง บอกเลยว่า ยากมาก (ลากเสียง) เอาจริงๆ อาชีพนักข่าวเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันยากมาก

...

จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ไปลงสนาม เป็นงานบวงสรวงละครเรื่อง กลกิโมโน ของทางช่อง 3 มีพี่เบิร์ด ธงไชย, พี่ชมพู่ อารยา แล้วพี่นักข่าวที่เป็นคนดูแลการฝึกงานของผม ก็บอกว่าอยากได้เสียงพี่ชมพู่ตอนสัมภาษณ์เพื่อมาทำข่าว 

โอ้โห มันยากมากเลย เวลาเป็นงานใหญ่ๆ และมีนักข่าวมาเยอะๆ และผมเป็นนักศึกษาฝึกงาน ไม่รู้จะเข้าไปแทรกตรงไหน จะเข้าไปยังไง ถ้าอัดตรงนี้เขาจะได้ยินเสียงมั้ย

สรุปวันนั้นผมไม่ได้อะไรเลย เพราะไม่รู้จะทำยังไง ไปถ่ายรูปพี่ดิว อริสรา มาเพื่อทำข่าวก็ได้แต่รูปหันหลัง ด้วยความที่ยังเด็ก ก็ไม่รู้จะทำยังไง และมันยากมากจริงๆ

สุดท้ายเลยรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นนักข่าว ก็เลยเปลี่ยนมหาวิทยาลัย ไปเรียนฟิล์ม เรียนกำกับแบบที่ตัวเองชอบ 

แต่เอาจริงๆ ตอนที่ย้ายมหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ได้มีความคิดอยากจะเป็นนักแสดงเลยนะ อยากเป็นเบื้องหลัง ตอนที่เป็นนักศึกษาฝึกงานไปกองเพราะต้องไปทำงาน ก็ไม่ได้มีความคิดว่าอยากจะเป็นนักแสดง รู้แค่อยากจะเป็นผู้กำกับก็เลยไปเรียน"

ยอมเข้าวงการเพราะแม่ขอร้อง 

จากนั้น ทอย ปฐมพงศ์ ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่จับพลัดจับผลูจนได้มาเป็นนักแสดง จนได้ขึ้นแท่นเป็นพระเอกละครและมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ว่า 

"จุดเปลี่ยนของชีวิตผมก็เริ่มต้นจากที่มหาวิทยาลัยที่ใหม่ เพราะมีการประกวดดาว-เดือน รุ่นพี่ก็มาล็อกคอผมเพื่อจะให้ไปประกวด ตอนนั้นบอกตามตรงว่าอยากจะลาออกมากๆ เพราะผมไม่ชอบ เพราะผมเป็นคนขี้อาย ไม่อยากทำอะไรแบบนี้ แต่รุ่นพี่เขาก็มาขอ จนสุดท้ายผมก็ยอมทำให้ 

ซึ่งผมโชคดีที่ได้รับโอกาสเป็นเดือนของคณะนิเทศฯ คนก็เริ่มเห็นและแชร์รูปผมไปว่านี่คือเดือนนิเทศฯ ทางแกรมมี่ก็ติดต่อมาให้ไปเก็บโปรไฟล์ มีงานแคสต์เรียกมา แต่ว่าผมหนี กลัว ไม่ตอบกลับไป ไม่ได้หยิ่งนะ แต่กลัว จนเขาติดต่อมาทางดาวคณะให้พาผมไปแคสต์ 

แต่ก่อนหน้านี้ผมก็เคยไปแคสต์งานมาบ้างนะ แต่ผมก็บอกแม่ว่า นี่จะเป็นงานสุดท้ายที่ไป ถ้าไม่ได้ไม่เอาแล้วนะ เพราะผมไม่ได้อยากทำสิ่งนี้ อยากทำอย่างอื่นมากกว่า

คือก่อนหน้าที่จะเป็นเดือนคณะ มีคนเห็นว่าผมหน้าตาพอได้ อยากให้ไปลองแคสต์งานโฆษณาดู แต่ตอนนั้นผมดัดฟัน แคสต์ 10-20 ตัว แต่ไม่ได้สักชิ้น และผมก็ไม่ได้อยากทำอยู่แล้ว ยิ่งไม่ได้งานอีก ก็ยิ่งเฟล

...

ก่อนไปแกรมมี่ ก็เลยบอกแม่ว่า แม่อยากให้ทำใช่มั้ย นี่จะเป็นงานสุดท้ายนะ ถ้าไม่ได้ ผมจะไปตั้งใจเรียน ไปทำงานที่ผมอยากทำแล้วนะ เป็นตากล้อง เป็นช่างไฟ ทำสายงานที่ผมอยากทำ สรุปการไปแคสต์งานครั้งสุดท้ายผมได้ และก็ได้งานมาเรื่อยๆ ครับ"

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ทอยเริ่มรักงานแสดงเมื่อไหร่ ในเมื่อเริ่มแรกไม่ได้อยากจะทำงานนี้ งานนี้พระเอกหนุ่มหน้าหวานก็ตอบกับเราว่า 

"มันก็ใช้เวลานานอยู่นะครับ เพราะผมอยู่ในวงการบันเทิงมา 7-8 ปี เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองมีอาชีพนักแสดงก็ประมาณ 4 ปีหลังได้ ตอนแรกมาด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่น มาทำงานเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ ได้แบ่งเบาภาระก็ดีแล้ว 

และมาซื้อบ้านให้กับครอบครัว ซื้อรถที่อยากขับ ก็เริ่มแฮปปี้ จนเริ่มรู้สึกสนุกกับการทำงาน การแสดงเป็นงานลูทีน พอต้นปีเริ่มถามตัวเองว่ามีละครกี่เรื่องโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นแหละผมเริ่มรักงานแสดงโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่หลอกตัวเองว่ามันเป็นแค่การหาเงินมาซัพพอร์ตครอบครัว

พอรู้ว่ารักการแสดง การแสดงคืออาชีพ ก็บอกกับตัวเองว่า จะลุยให้เต็มที่ รับงานให้แปลก ท้าทายตัวเองมากขึ้น และสนุกกับการทำงานให้มากขึ้น แต่ผู้กำกับก็ยังอยากเป็นอยู่นะครับ แต่ก็สนุกกับการทำงานเบื้องหน้าอยู่ ขอทำเบื้องหน้าไปก่อน ถ้ามีโอกาสก็อยากทำงานเบื้องหลัง"

...

เจ้าของฉายาจุงกิเมืองไทย 

หลังจากที่เข้าวงการบันเทิงมา ทอย ปฐมพงศ์ ก็โด่งดังเป็นอย่างมาก และได้รับฉายาซงจุงกิเมืองไทย งานนี้นักแสดงหนุ่มเล่าถึงเรื่องวันวานนี้ให้เราฟังว่า 

"ตอนนั้นที่ได้ฉายาซงจุงกิเมืองไทย ผมรู้สึกกดดันมาก เพราะคอมเมนต์ก็แรงมาก ทำให้ผมเครียด มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับผมมาก ตอนนั้นเพิ่งเข้าวงการเอง ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทำไมคนต้องมาว่าผมขนาดนี้

ผมไม่ได้คิดฉายานี้เอง คนเขาเรียกผมเอง ตอนนั้นผมเฟลมาก แต่อีกมุมนึงก็ดีใจนะครับ ที่คนให้ฉายานี้ผมมา ก็ขอบคุณมากๆ 

และตอนที่ดังมากๆ ผมก็ไม่รู้ตัวนะ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้อยากมาทำงานตรงนี้เท่าไร ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา และก็ยังทำตัวเหมือนเดิม 

คือตอนนั้นก็รู้แหละว่ามีคนรู้จักผมมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดัง และต้องมาทำตัวให้ใช้ชีวิตยากขึ้น ไม่มีหลงไปกับชื่อเสียงในตอนนั้น มีแค่เรื่องใช้เงินเยอะมากกว่า (ยิ้ม) 

เอาจริงๆ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีคนรักและสนับสนุนผมมากขนาดนี้ แต่ความรู้สึกนี้มันเคยเกิดขึ้นกับผมแล้วตอนอยู่ ม.ปลาย" 

วงการบันเทิงไม่ได้สวยหรู นักแสดงมักจะเจอคำวิจารณ์แรงๆ จากคนทั่วไปที่มองมาอยู่เสมอ เวลาเจอกระแสแรงๆ ทอยรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง ซึ่งเจ้าตัวหัวเราะก่อนตอบเราว่า 

"ผมเชื่อเสมอว่าตัวเป็นคนโชคดี โชคดีเลย เพราะไม่ได้มาจากความเก่ง ไม่ได้ชอบทางด้านนี้ ผมยอมรับตัวเอง แต่ผมโชคดีที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสผม ให้โอกาสที่ดี เลยทำให้ผมมาอยู่ในจุดนี้ได้ และสิ่งต่างๆ ที่เจอระหว่างทางมันเป็นประสบการณ์ชีวิต คงจะไม่มี ทอย ปฐมพงศ์ ในวันนี้ ถ้ามันไม่มีวันแรก"

...

กลายเป็นหนุ่มฮอตเพราะถูกสาวหักอก

เราไม่รอช้า ถามหนุ่มทอยต่อว่า ในช่วงมัธยมปลายเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้ทอยมีคนรักและสนับสนุน ซึ่งพระเอกหนุ่มยิ้มหวานและเล่าเรื่องราวในวันวานให้เราฟังอีกครั้งว่า 

"เมื่อก่อนผมเป็นเด็กอ้วนมาก แทบไม่มีใครรู้จักผมเลย พูดชื่อทอยขึ้นมา ทุกคนจะงงทันทีว่าใคร แต่พอมาอยู่ ม.5 ผมเริ่มผอมลง เพราะถูกสาวบอกเลิก ก็เลยตั้งใจลดน้ำหนัก (ยิ้ม) พอผอมก็มีรุ่นน้องมาถามว่า พี่ทอยเข้ามาใหม่เหรอคะ (ยิ้ม) ก็เริ่มมีคนรู้จักเอาดอกไม้มาให้ 

แต่วันที่รู้สึกว่าพีกมากๆ คือตอน ม.6 วันปัจฉิมนิเทศและมันตรงกับวันวาเลนไทน์ เล่าให้ฟังก็เหมือนว่าโม้ แต่วันนั้นผมต้องเอากะละมังมาใส่ดอกไม้

จากเด็กที่ไม่เคยอยู่ในสายตาใคร เป็นใครก็ไม่รู้ จนมาถึงวันที่เสื้อมีแต่สติกเกอร์หัวใจ ดอกกุหลาบเต็มกะละมัง นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมรู้ว่า เออ ก็มีคนชอบนะ ก็ไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองในตัว อยากเป็นรุ่นพี่ในแบบที่เขาชอบ (ยิ้ม)"

ประสบการณ์ชีวิต

จากนั้น ทอย ปฐมพงศ์ เล่าถึงช่วงชีวิตที่เริ่มต้นเป็นนักแสดง และหลงไปกับเงินทองที่ได้มา หามาง่าย ใช้ได้ง่าย ให้เราฟัง เพราะเหตุการณ์นี้มันได้ให้บทเรียนชีวิตกับทอยไม่น้อยว่า 

"ตอนนั้นหาเงินได้ง่ายมาก และผมก็ยังเป็นวัยรุ่น ก็เลยใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่ผมเป็นผู้ชายที่ชอบซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ตอนนั้นได้เงินมาก็เอาไปซื้อกล้อง ซื้อรถ ซื้อบ้าน ไม่ได้ใช้ไปกับการเที่ยวและกินเท่าไร เพราะผมเป็นคนที่งกกับเรื่องเที่ยวและกิน (หัวเราะ) แต่ผมชอบกินนะ 

ทุกวันนี้ผมยังเป็นอยู่ เวลาไปกินอาหารที่ร้านญี่ปุ่น เจอเมนูผมชอบหอยเชลล์มากเลยนะ แต่พอเห็นราคาแพงมาก 800 กว่าบาท มี 5 ชิ้น สั่งซูชิกินละกัน (หัวเราะ) คำละ 79 บาท แต่กับกล้องไลก้าราคา 3-4 แสน ผมกลับไม่งก (หัวเราะ) 

แต่ผมไม่รู้สึกเสียใจกับการที่ตัวเองใช้เงินไปในตอนนั้นนะ เพราะว่ามันเป็นประสบการณ์ ถ้าไม่ฟุ่มเฟือยตอนนั้น ตอนนี้ผมคงใช้จ่ายหนักกว่านี้ (ยิ้ม) เพราะตอนเด็กอย่างมากก็ซื้อของเล่น แต่โตมาปัจจัยมันเยอะขึ้น

มันดีเสียอีกที่ไปฟุ่มเฟือยตอนนั้น และโชคดีกว่านั้นคือ มุมมองของผมไม่ได้หลงไปตามกระแส ของแบรนด์ผมมีบ้าง แต่ไม่ได้มีเยอะ ชอบซื้อของพวกนาฬิกา กล้อง เลยทำให้รู้สึกไม่ได้เสียดายเงินที่จ่ายไป 

ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะเดินมาไกลขนาดนี้ ทำงานได้เงินก้อนแรกเอาไปซื้อเข็มขัดแบรนด์เนมเพราะอยากได้ เพื่อนอยากกินอะไรมาเดี๋ยวเลี้ยง มันคือจุดเริ่มต้นของผมจริงๆ นะ ทุกวันนี้เงินที่ใช้จ่ายมันมาจากการทำงานการแสดง มันคืออาชีพ 

ก่อนหน้านี้อาชีพของผมคือนักเรียน แต่ตอนนี้กล้าที่จะกรอกอาชีพตัวเองว่าเป็นนักแสดงได้อย่างเต็มที่ เพราะผมคือนักแสดงไง"

ผู้ชายรักครอบครัว

เพราะ ทอย ปฐมพงศ์ เป็นหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่ารักครอบครัวมากๆ อีกคนนึง เพราะเคยผ่านช่วงเวลาวิกฤติของครอบครัวมา ซึ่งทอยเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นให้เราฟังว่า 

"ตอนนั้นคุณแม่ผมป่วย และตอนที่คุณแม่ป่วย ผมยังเด็กมาก ตอนนั้นไม่มีความคิดเรื่องพ่อแม่ตายอยู่ในหัวเลย มันไม่มีจริง พ่อแม่จะตายก่อนเราไม่ได้ ไม่มีวัน แม่เพิ่งอายุเท่านี้อีก จนมารู้ว่าแม่เป็นมะเร็งปากมดลูก เห็นแม่โกนหัว แม่ใส่วิก จึงทำให้ผมรู้สึกว่าแม่ป่วยและต้องดูแล 

จนปีต่อมา แม่สะดุดส้นสูง และท้องไปกระแทกกับแท่งคล้องเชือกจนตับแตก อันนั้นผมรู้สึกเหมือนโดนต่อยหน้า รู้สึกงงไปหมด ตอนไปหาแม่ที่โรงพยาบาล เห็นสายโยงในปาก ตกใจมาก ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ เคยเห็นแต่ในละคร แม่พูดไม่ได้ ต้องเขียนบอกให้ผมดูแลน้องด้วย 

ผมต้องแอบมาร้องไห้ข้างนอก จนวันที่พีกคือหมอโทรมาหาพ่อและบอกว่าแม่อยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้ มันทำให้ผมช็อกมาก สิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่ามันเกิดขึ้น และทำให้ผมรู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้

แต่สุดท้ายพวกเราก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ และทำให้ผมรู้ว่า ถ้าตอนนั้นแม่ไม่ป่วย ผมก็อาจจะยังทำตัวเป็นเด็กน้อยอยู่ และเหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ผมสนิทกับครอบครัวมากขึ้น อยู่กับครอบครัวมากขึ้นกว่าเดิมจากที่สนิทกันอยู่แล้ว 

และสำหรับผม ผมเป็นคนรักครอบครัวอยู่แล้ว และครอบครัวต้องมาเป็นอันดับ 1 ถ้าอะไรที่ไม่เข้ากับครอบครัวผม ผมจะปัดออกทันที เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"

ร่านดอกงิ้ว ละครสุดแซ่บ

และตอนนี้ ทอย ปฐมพงศ์ ก็กำลังมีผลงานละครเรื่อง ร่านดอกงิ้ว กับทางช่อง 8 ที่กำลังออกอากาศเรียกกระแสและเรตติ้งอยู่ในขณะนี้ ซึ่งบทบาทในเรื่องนี้ที่หนุ่มทอยได้รับนั้นเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าตัวบอกว่าได้ทำให้ชั่วโมงบินในการทำงานในวงการเพิ่มขึ้นไปอีก  

"สำหรับละครร่านดอกงิ้ว คือทางผู้ใหญ่ให้โอกาส ตอนที่รู้ว่าจะได้เล่นละครเรื่องนี้ ผมก็ยินดีรับเลย ครั้งแรกเห็นชื่อเรื่องตกใจมาก ทำไมมันแรงจัง กว่าจะมาได้ชื่อนี้ก็เปลี่ยนชื่อหลายชื่อมาก

แต่พอได้อ่านบทมาก็เห็นว่าตัวละครของผมไม่ได้บทแรง เป็นจุดพักเบรก อยู่ในโหมดรักหวานๆ รักที่คอยซัพพอร์ต ไม่ได้รุนแรงเลิฟซีน 

พอได้มาร่วมงานแล้ว บอกเลยว่าทุกคนน่ารักมาก เป็นกองที่สนุกสนานเฮฮามาก เลยทำให้ผมไม่ได้เกร็งไปกับบท แม้พี่ๆ จะเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ แต่บรรยากาศในกองมันสนุกเฮฮามาก ตั้งแต่ทำงานในวงการ มาทำงานเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมทำงานสนุกมาก

ในเรื่องนี้อย่างที่บอก บทของผมจะไม่ได้ดูรุนแรงมีเลิฟซีนร้อนฉ่าเหมือนพี่ๆ เขา แต่เป็นโหมดน่ารักๆ มาพักเบรกความแซ่บของเรื่อง และก็มีบทดราม่าในช่วงท้ายๆ เรื่อง และผมต้องเข้าฉากกับพี่ต้อง ณหทัย และผมไม่ค่อยสนิทกับพี่เขา

แต่พอตอนที่เล่น ผมรู้สึกว้าวมาก เพราะไม่คิดว่าจะเล่นกันได้ เพราะเจอกันน้อย รู้จักกันนิดเดียว แต่พอมาเล่นทุกอย่างมาหมด อยากให้ทุกคนรอชมฉากนี้ เพราะดูเหมือนคนในบ้านจะห่างกัน แต่ฉากนี้จะทำให้ได้รู้ว่า จริงๆ แล้วคนในบ้านนี้แหละคือคนที่จะคอยช่วยได้ทุกอย่าง   

ส่วนความยากของการเล่นเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องการปะทะคารมกับรุ่นพี่ ทั้งพี่ยุ้ย จีรนันท์ และพี่ธันน์ ธนากร เพราะในเรื่องผมต้องเป็นผู้จัดการโรงแรมที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหา เข้ามาชน เข้ามาปะทะ มันเลยค่อนข้างยาก และพี่เขาเก่ง ผมเกร็งมากๆ เวลาที่จะต้องเข้าฉากกับพี่เขา 

โหมดดราม่าพี่ยุ้ยเขามาเต็มอยู่แล้ว น้ำตาสั่งได้ ทำให้ผมกดดัน แต่พอพี่เขาส่งมาเต็มขนาดนี้ เราก็ต้องทำให้เต็มที่เหมือนกัน ส่วนพี่ธันน์จะเป็นโหมดแบบมองหน้า ถ้าต่อยกันได้ต่อยแล้ว (ยิ้ม) เป็นการฝึกการแสดงของผมอีกอย่างนึงเลย เพราะผมไม่ค่อยได้เห็นโหมดปะทะคารมแบบนี้เท่าไร เรื่องนี้ผมจะมีฉากแบบนี้เยอะ 

ตอนเล่นฉากปะทะ เครียดๆ กัน มันยากมากสำหรับผม บางทีจริงจังนะ แต่เผลอยิ้มมุมปาก มันทำให้หน้าดูหวาน ผู้กำกับก็บอกว่า ไม่ได้นะ พี่ธันน์เขามาเต็มขนาดนี้ เราก็ต้องใส่ให้เขาไปอีก

เวลาจะเข้าฉากกับพี่ยุ้ยพี่ธันน์ บทยาวมาก และคำก็เป็นแนวๆ คนทำงาน ผมต้องมานั่งทำการบ้าน ว่าจะต้องเน้นคำไหน 

ถือเป็นประสบการณ์การทำงานนอกบ้านที่ดีสำหรับผม เพราะได้มาเจอพี่ๆ นักแสดงเก่งๆ หลายคนมากๆ เจอพี่ๆ ที่กอง เหมือนเราได้เพิ่มสกิลการทำงานของตัวเอง เหมือนได้โตขึ้นไปอีกขั้น 

ความแซ่บของละครเรื่องนี้ บอกเลยว่าแซ่บมาก ตอนที่ผมนั่งดูพี่ๆ เล่นกัน บอกเลยว่าแซ่บมาก แซ่บตั้งแต่ตอนแรกจนตอนจบ แต่ไม่ได้มีแค่ความแซ่บนะครับ

ละครเรื่องนี้ยังมีมุมน่ารักกุ๊กกิ๊ก ความรักของคนในครอบครัว และทุกตัวละครจะให้บทเรียนกับคนดูแน่นอน มันจะแฝงอยู่ในนั้น ดูแล้วได้อะไรกลับไปอย่างแน่นอน

ยังไงก็ฝากติดตามละครเรื่องร่านดอกงิ้ว ด้วยนะครับ แซ่บ พวกเราทุกคนตั้งใจทำงานกันมากๆ สนุกสมชื่อละครอย่างแน่นอนครับ". 

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Chonticha Pinijrob