เป็นนักร้องหนุ่มเสียงดีที่มีแฟนคลับติดตามเป็นจำนวนมาก สำหรับ นนท์ ธนนท์ แต่น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวชีวิตของ นนท์ กันแบบลึกๆ เพราะเจ้าตัวไม่เคยเปิดปากพูดที่ไหนเป็นครั้งแรก
และล่าสุดในรายการ ซานิ เบาได้เบา นนท์ ก็ได้เปิดใจเล่าเรื่องตัวเองเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็ก และครอบครัว รวมไปถึงเรื่องความรัก ซึ่ง นนท์ บอกว่า
ที่ไม่ค่อยเล่าเรื่องชีวิตของตัวเองให้คนอื่นฟัง เพราะรู้สึกว่าเรื่องราวของตัวเองมันจำเป็นสำหรับคนอื่น ยกเว้นว่าสถานการณ์มันซีเรียสจริงๆ จนหลังๆ เพื่อนเริ่มทักว่า พูดมากมากเลย แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของตัวผมเลย จนเราเริ่มมาคิดว่า เราไม่ค่อยเล่าเรื่องราวของเราในเชิงลึกให้ใครฟังจริงๆ เพราะเรามองว่ามันก็ไม่ได้พิเศษอะไรไปกว่าคนอื่น ในชีวิตจริงก็จะมีเพื่อนแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องในชีวิตแบบลึกๆ
...
เริ่มร้องเพลงครั้งแรกเลยตอนอายุ 4 ขวบ เพื่อนมีร้านคาราโอเกะแบบหยอดเหรียญ แล้วช่วงกลางวันตัวเองกับเพื่อนจะเป็นเด็กล้างตู้ ก็คือเก็บเหรียญตามตู้หยอดคาราโอเกะ ซึ่งช่วงระหว่างนั้นสามารถหยอดเหรียญร้องฟรีได้ มันเป็นสิ่งเดียวที่คนอื่นไม่ต้องมารับผิดชอบด้วย เพราะว่าตอนเด็กเป็นเด็กที่เกเรมาก แล้วการเป็นเด็กล้างตู้มันก็เหมือนเป็นกิจกรรมแรกที่เราทำได้ ได้ทิปเล็กน้อยจากที่ผู้ใหญ่ให้
และตอนเด็กเป็นเด็กติดเกมด้วย เลยอยากทำงานหาเงิน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขอแม่ จนกระทั่งมาประกวดร้องเพลง ซึ่งตอนเด็กๆ เป็นคนที่ร้องเพลงไม่เก่งเลย และก็ไม่ได้เดินสายประกวดร้องเพลงอะไรมากมาย ก็ไปอยู่กับวงลูกทุ่ง เพื่อที่จะได้ร้องเพลง และเป็นเด็กกิจกรรมด้วย
ตอนเด็กๆ ที่บ้านตึงๆ แต่พ่อกับแม่เลี้ยงเรามาไม่ให้ลำบากมาก พอได้มาทำกิจกรรมเราก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเราเห็นว่าพี่ชายเขาอยากได้อะไรก็ทำด้วยตัวเอง เราเลยเห็นพี่ชายเป็นต้นแบบ
ตอนที่ประกวด The Voice แล้วได้แชมป์ตอนอายุ 16 ก็โดนวิจารณ์หนักว่าไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา ซึ่งเราก็เข้าใจว่าทำไม เพราะในโซเชียลไม่ได้กรองเอาคนสติดีมาอยู่ด้วยกัน เหมือนเค้าต้องการปลดปล่อยแค่นั้น และเราก็มองว่า ตอนอายุ 16 คนอื่นก็อาจจะยังไม่ได้หน้าตาเปลี่ยนแบบ 100% อีกอย่างเรายังไม่ได้เริ่มดูแลตัวเองด้วย เลยทำให้ตั้งแต่นั้นมาเราก็เริ่มดูแลตัวเอง เราเป็นคนแพ้ง่าย ใช้แค่สบู่ก้อนเดียวทั้งตัว จนเข้ามาทำงานในวงการ เลยทำให้รู้จักวิธีดูแลตัวเอง กว่าจะเจอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเองก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตเลย
เมื่อถามว่า ทำศัลยกรรมมามั้ย เจ้าตัวบอกว่าไม่ได้ทำอะไรมาสักอย่าง แค่จัดฟันอย่างเดียว และความรู้เรื่องศัลยกรรมนั้นเป็นศูนย์
ส่วนเรื่องความรักนั้น นนท์ บอกว่า มีตลอด ไม่ได้ปิดอะไร ที่ไม่มีใครรู้เพราะเค้าไม่ได้ถาม ก็พากันไปเดินห้างกันปกติ คนก็ยังเจอ ตนเองไม่ได้ปิดเรื่องนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องประกาศ เป็นคนนอกวงการ และที่ไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกัน เพราะตนเองนั้นมีเวลาน้อย เลยไม่ได้ไปกับเค้าบ่อย พอโตขึ้นมันคือความเข้าใจ ก็คืองานมาก่อน เราก็คุยกัน ต้องเข้าใจกันสุดๆ ผู้หญิงคนนี้เค้าเด็กกว่า
นอกจากนี้ นนท์ เล่าว่า ตัวเองเป็นคนรักครอบครัวมาก ถามว่าเป็นเสาหลักของบ้านมั้ย ก็ช่วยๆ กัน ทุกวันนี้พ่อจะเป็นคนขับรถพาไปทำงานตลอด และอยู่ด้วยกันตลอด ส่วนแม่ก็จะทำกับข้าวไว้รอที่บ้านทุกวัน เคยมีช่วงหนึ่งที่อยู่คนเดียว ตอนนั้นรู้สึกสบายตัว ทำงานได้เต็มที่ แต่ก็จะมีความเหงาเล็กๆ ซ่อนอยู่ จนวันหนึ่งช่วงโควิด ก็ไม่อยากอยู่กับคนเยอะๆ เลยกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ แล้วตื่นเช้ามามีอาหารวางไว้ ส่วนพ่อแม่เค้าก็กินข้าวไปแล้ว
...
เลยทำให้รู้ว่า House กับ Home มันต่างกันจริงๆ บ้านกายก็คือบ้านกาย ตื่นมาก็ยังรู้สึกโหวงๆ ท้ายสุดแล้วเลยได้เข้าใจว่า คนต่างหากคือบ้าน และสิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าโชคดีมากที่สุด คือการที่มีพ่อกับแม่ไปทำงานด้วย และไม่มีใครน่าไว้ใจได้เท่าพ่อกับแม่เราอีกแล้ว.